หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 214 กลับมาพร้อมชัยชนะ ความจริงของราชบุตรเขย
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 214 กลับมาพร้อมชัยชนะ ความจริงของราชบุตรเขย
ยามเข้าวิหารพิษซับซ้อนยากเย็น จากตีนเขาไปถึงประตูวิหาร ร้อยก้าวเจอหนึ่งผู้คุม สิบก้าวเจอหนึ่งลาดตระเวน การแอบพาคนเข้ามานั้นยากยิ่ง ทว่ายามออกจากวิหารพิษไม่เป็นเช่นนั้น อันที่จริงเมื่อเข้ามาได้ก็เกือบจะพ้นอันตรายแล้ว ดังนั้นผู้คุมในวิหารพิษจึงไม่แน่นหนาเหมือนด้านนอก
พวกอาเว่ยสามคนรออยู่ที่ทางเข้าเขาพิษ ส่วนเจียงไห่รีบวิ่งเข้าไปด้านหลังของวิหารพิษ เพื่อขโมยเสื้อผ้าของคนรับใช้มาสองสามชุด นำไปให้พวกเขาเปลี่ยน
ในฐานะที่เรียกว่าการแสดงก็ควรแสดงให้ครบชุด ในเมื่อพวกเขา ‘ตาย’ ในเขาพิษ จึงเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ให้คนในวิหารพิษเห็นว่าพวกเขามีชีวิตรอดออกมา ส่วนศพของพวกเขานั้นเป็นเรื่องง่ายที่จะจัดการ ภายในเขาพิษมีสัตว์ร้ายมากมาย ศพจึงถูกกินไปแล้ว
เมื่อเสื้อผ้ามาอยู่เบื้องหน้า อาเว่ยกลับปฏิเสธ
ทุกคนต่างมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้ายังไม่ตาย ข้าแค่สลบไป หลังจากตื่นขึ้นมาข้าก็ออกมาด้วยตนเอง”
ทุกคน “…”
เอ่อ เจ้าแสดงจริงจังถึงเพียงนี้เลยรึ?
บทของอาเว่ยเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงยืนยันที่จะเล่นบทนี้ไปจนจบ อย่ามองว่าเขาอายุน้อยที่สุดในนี้ ในเวลาปกติเขาแทบไม่มีคำพูดตัดบทใดๆ ทว่าเมื่อตัดสินใจอะไรแล้ว ต่อให้เอาม้าแปดตัวมาฉุดก็ไม่อยู่
ผลก็คือ เพื่อจับแมลงพิษให้ปรมาจารย์พิษอาวุโสตัวน้อย เหลือเพียงอาเว่ยคนเดียวที่รอดออกมา
ผู้คุมมองอาเว่ย และก็มองไปยังเบื้องหลังของอาเว่ย พลันเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ขอถามใต้เท้าอาเว่ย เพื่อนร่วมทางของท่านอีกสามคนเล่า? พวกเขามิได้ออกมากับท่านหรือ?”
เหอะ พวกเขาปะปนออกไปหมดแล้ว
อาเว่ยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตายหมดแล้ว พวกเขาถูกสัตว์ร้ายกิน แม้แต่ศพก็ไม่เหลือ”
แต่ท่าทีของท่านดูไม่เหมือนคนเศร้าสลดแม้แต่น้อย ผู้คุมมองอาเว่ยอย่างงุนงง “ข้า ข้าเสียใจด้วย”
“อื้อ” อาเว่ยเดินจากไปอย่างไร้อารมณ์
หลังจากนั้นหนึ่งในแปดชั่วยาม ด้านหลังก็เกิดความโกลาหล เพราะผู้คุมผู้นั้นกล่าวว่า “ข้าสงสัยว่าปรมาจารย์พิษขั้นสูงจะฆ่าเพื่อนของเขาอีกสามคนไปแล้ว! ทั้งยังเอาศพของพวกเขาไปให้สัตว์ร้ายแทะกินอีก! ช่างเลือดเย็นยิ่งนัก! เขาเป็นอาจารย์ของปรมาจารย์พิษอาวุโสน้อยทั้งสาม เหตุใดถึงฆ่าเพื่อนของเขา ข้าก็ไม่รู้ ข้าไม่กล้าถาม!”
ทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับอาเว่ยและสหายทั้งสามที่ถูกอาเว่ย ‘ฆ่า’ อีกแล้ว ทั้งสี่คนชิงของมาได้แล้ว และขึ้นรถม้าเดินทางกลับจวนเห้อเหลียนได้สำเร็จ
อีกด้านหนึ่ง ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งก็ออกจากวิหารพิษเช่นกัน ด้วยความโกรธในขณะนั้นจึงไม่ได้สนใจความกลัว แต่ทันทีที่ขึ้นรถม้า ความหวาดกลัวก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในใจของเขา เขาพยายามบังคับตัวเองให้สงบลง แต่กลับพบว่าขาทั้งสองข้างของเขากำลังสั่นระริก
“ใต้เท้าเมิ่ง พวกคนที่เหลือเล่า? พวกเขาไม่กลับมาแล้วหรือ?” สารถีเอ่ยถาม
ไม่เอ่ยถึงจะดีเสียกว่า ก่อนหน้านั้นหนึ่งวินาทียังพูดคุยอยู่กับเขา เพียงหนึ่งวินาทีหลังจากนั้นเพื่อนร่วมทางกลับตายโหงไปกันหมด นี่มันชั่วร้ายเกินไปแล้ว ไม่ใช่ภูติผีทำจริงหรือ? ปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่งเหลือกตาด้วยความหวาดกลัวเป็นลมสลบไป
สลบไปครั้งนี้ ทำให้การเดินทางกลับจวนประมุขหญิงล่าช้า
ประมุขหญิงที่ไม่รู้ว่าคางคกหิมะที่ตนเฝ้าฝันถูกพรากไป นอนอยู่บนเตียงอันหรูหราและอ่อนนุ่ม หลับฝันดีอย่างสุขสงบ
นางฝันว่าตนเองได้ครอบครองคางคกหิมะ และด้วยความช่วยเหลือของปรมาจารย์พิษอาวุโสเมิ่ง คางคกหิมะจึงยอมรับตนเป็นนาย คางคกหิมะเป็นที่รู้จักในนามราชินีพิษ แต่แท้จริงแล้วก็เป็นราชันพันสัตว์พิษที่ทรงพลังที่สุด มันใกล้เคียงกับการมีอยู่ของของศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าว ลมหายใจของมันแม้แต่ราชครูก็แทบไม่อาจแยกจริงเท็จได้
ลูกปัดพิษร้อยเม็ดเปล่งแสงอ่อนๆ ในมือของนาง นางยืนอยู่บนแท่นบูชาซึ่งที่เป็นของกษัตริย์
เสด็จพ่อหยิบตราราชลัญจกรหยกที่ส่องแสงสีทองแวววาวออกมา ยื่นมาด้านหน้านางด้วยความอ่อนโยนและเมตตา
เมื่อเห็นว่าตราหยกมาอยู่ในมือของนาง ร่างกายพลันสะดุ้งตื่นขึ้นมา
ที่แท้ก็เป็นความฝัน…
นางถอนหายใจยาวเหยียด
เพียงไม่นานก็กลับมาฮึกเหิมอีกครั้ง มุมปากเชิดขึ้น อีกไม่นานมันก็จะไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป นางทุ่มเทเพื่อวันนี้มาหลายปีแล้ว ถึงเวลาที่นางสมควรจะได้รับสิ่งตอบแทน อำนาจ ตำแหน่ง บุรุษ แม้จะยากลำบาก ทว่าในที่สุดสิ่งที่นางต้องการก็มาอยู่ในมือของนางแล้ว
นางลูบผืนเตียงข้างกาย และพบว่ามันว่างเปล่า พลันรีบร้อนหยัดกายขึ้นและเอ่ยน้ำเสียงเยียบเย็น “ราชบุตรเขยเล่า?”
หญิงรับใช้ที่เฝ้ากะดึกรีบเดินเข้ามา คำนับผ่านม่านกั้น และรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท ราชบุตรเขยไปห้องตำราแล้วเพคะ”
ประมุขหญิงมุ่นขมวดคิ้ว “นี่ยามใดแล้ว?”
หญิงรับใช้เอ่ย “ยามโฉ่ว สี่เค่อแล้วเพคะ”
เพิ่งผ่านค่อนคืน เหตุใดราชบุตรเขยไปที่ห้องตำรา?
“ต้องการให้บ่าวไปเชิญราชบุตรเขยมาหรือไม่เพคะ?” หญิงรับใช้ถามเบาๆ
“ไม่ต้อง เจ้าออกไปเถิด” ประมุขหญิงรับสั่ง
“เพคะ”
หญิงรับใช้ถอยออกไปอย่างเคารพนอบน้อม
ประมุขหญิงสวมเสื้อคลุม สยายผมดำขลับราวกับน้ำหมึก เยื้องย่างไปยังห้องตำรา
กลางห้องตำรา ราชบุตรเขยนั่งบนขอบหน้าต่างเพียงลำพัง เหม่อมองแสงจันทร์ที่สาดส่องจากท้องฟ้า
แสงจันทร์สีเงินพาดผ่านลงมา ราวกับผ้าโปร่งสีเงินบางเบาที่เคลือบพื้นห้องและเรือนร่างของบุรุษไว้ชั้นหนึ่ง
สายตาของประมุขหญิงหยุดชะงัก ค่อยๆ ก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้ามาเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เสื้อผ้าเนื้อเย็นสีกับธรณีประตูส่งเสียงสวบสาบ
นางเดินให้เบาลง มาอยู่ด้านหลังของราชบุตรเขยอย่างเงียบๆ และลดหัวลงอย่างอ่อนโยน “นอนไม่หลับอีกแล้วหรือ? กำลังดูสิ่งใดอยู่?”
ราชบุตรเขยไม่ตอบ
ประมุขหญิงคุ้นชินเสียแล้ว เมื่อใดที่เขามีเรื่องในใจก็มักเหม่อมองท้องฟ้า และไม่รู้ว่าความคุ้นชินเช่นนี้มาได้อย่างไร
ประมุขหญิงนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้าง กุมมือข้างหนึ่งของเขาเบาๆ “สองวันมานี้ข้ายุ่งเกินไปจนละเลยท่าน มีเรื่องลำบากใดที่เน่ย์เก๋อใช่หรือไม่?”
“ไม่ใช่” ราชบุตรเขยกล่าว
เขายังคงมองท้องฟ้า ไม่อาจรู้ได้ว่าเขากำลังมองดวงจันทร์ หรือดวงดาวบนท้องฟ้า หรือจะเป็นความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุดกันแน่
ประมุขหญิงกล่าวอีกครั้ง “เช่นนั้นเหตุใดท่าทีของท่านดูมีเรื่องหนักใจเล่า? ฝันร้ายหรือ?”
“ไม่ใช่” ราชบุตรเขยเอ่ย
ประมุขหญิงพยักหน้า “ดี ท่านมิได้มีเรื่องในใจ ท่านเพียงอยากชมจันทร์เท่านั้น เช่นนั้นข้าก็จะชมจันทร์เป็นเพื่อนท่าน”
ในที่สุดราชบุตรเขยก็ถอนสายตาที่เหม่อมองท้องฟ้ายามค่ำคืน กลับมามองนาง “วันพรุ่งเจ้าต้องไปว่าราชการเช้า”
ประมุขหญิงบีบมือของเขาและเอ่ยอย่างลึกซึ้ง “ราชการเช้าไม่สำคัญเท่าท่าน”
ราชบุตรเขยมองตรงไปข้างหน้า สายตาตกกระทบดอกโบวตั๋นที่บานสะพรั่งอยู่บนขอบหน้าต่าง คล้ายกับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และจึงถามว่า “เจ้าไม่รังเกียจที่ข้าหน้าตาน่าเกลียดหรือ?”
ประมุขหญิงมองใบหน้าด้านขวาอันไร้ที่ติของเขาและกล่าวอย่างจริงจัง “ไยท่านถึงคิดเช่นนี้? เราเป็นสามีภรรยากัน ข้าไม่ได้บอกท่านไปแล้วหรือว่า ไม่ว่าท่านจะเปลี่ยนไปอย่างไร ท่านก็เป็นสามีของข้าเสมอ”
“จริงหรือ?” ราชบุตรเขยพึมพำ
ประมุขหญิงมองเขาด้วยสายตาลึกซึ้ง “ความงามเป็นสิ่งไม่คงทน หรือหากวันใดข้าดูไม่ดีแล้ว ท่านจะรังเกียจข้าและทิ้งข้าไป?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร?” ราชบุตรเขยตอบกลับ
ประมุขหญิงยิ้มนุ่มนวล “ใช่หรือไม่เล่า? อีกอย่าง ที่ใบหน้าของท่านเป็นเช่นนี้ก็เพราะข้า หากข้ารังเกียจท่าน เช่นนั้นข้าเป็นคนเช่นไรไปแล้ว? หากไม่ใช่เพราะท่านขวางดาบของนักฆ่านั่นไว้เพื่อปกป้องข้า ยามนี้แผลเป็นนี่ก็คงปรากฏอยู่บนใบหน้าของข้าแล้ว”
ราชบุตรเขยส่ายหน้าอย่างเลื่อนลอย “ข้านึกไม่ออกแล้ว”
ประมุขหญิงใช้มือเปล่าลูบแก้มของเขาเบาๆ “หาใช่ความทรงจำน่ารื่นรมย์ นึกไม่ออกก็หาได้สำคัญไม่ ขอเพียงท่านรู้ไว้ว่า ในใจของท่านมีข้าอยู่ แม้แต่ชีวิตของท่านก็ยอมแลกได้ ข้าก็เช่นกัน ไม่ว่าผู้ใดหรือเรื่องใดในใต้หล้าก็ไม่อาจแยกเราสองคนได้”
ราชบุตรเขยกุมหัวใจของตนเอง ในหัวใจของเขามีใครบางคนอยู่ในนั้น เขากับคนผู้นั้นให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง
“คือข้า และลูกชายของเรา” ประมุขหญิงกล่าวอย่างรู้ความ
“เจ้าชอบ….” ราชบุตรเขยชะงัก ชั่วครู่หนึ่งจึงเอ่ยพึมพำ “เจ้าชอบกินเนื้องู ข้าไม่ชอบ แต่ในเมื่อเจ้าชอบ ข้าก็จะชอบเป็นเพื่อนเจ้า”
ประมุขหญิงหัวเราะ “นี่มิใช่คิดออกแล้วหรือ?”
ราชบุตรเขยส่ายศีรษะ
“ยังอยากชมจันทร์ต่อหรือไม่?” ประมุขหญิงกล่าว
ราชบุตรเขยตอบ “ข้าจะนั่งต่ออีกประเดี๋ยว เจ้าก็อย่านอนดึกนัก อย่างไรก็ต้องดูแลร่างกาย”
เอ่ยจบ นางก็ลุกขึ้นกำลังเดินจากไป
จู่ๆ ราชบุตรก็เอ่ยขึ้น “ข้าวาดรูปรูปหนึ่งไว้”
ประมุขหญิงได้ยินเช่นนั้นก็ชะงัก และหันมองเขา “จริงหรือ? ให้ข้าดูหน่อยสิ”
ราชบุตรเขยเปิดลิ้นชัก หยิบม้วนภาพวาดออกมา และค่อยๆ กางบนโต๊ะอย่างเบามือ
ประมุขหญิงมองเห็นภาพของบุรุษผู้หนึ่ง แรกเห็นถึงกับผงะ และตามมาด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ “ภาพนี้มิใช่ตัวท่านเองหรือ?”
ถึงแม้จะเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่แววตากลับไม่เหมือนนัก ทั้งยังเยาวว์วัยอายุประมาณยี่สิบ ใบหน้านั้นไม่มีรอยแผลเป็น แต่ก็มองออกว่าเป็นเขาได้ไม่ยาก อย่างไรเสียนอกจากตัวเขาเองแล้ว จะมีผู้ใดที่เหมือนเขาได้เช่นนี้อีก?
ประมุขหญิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านวาดรูปตัวเองเพื่ออันใดหรือ? แล้วยังวาดรูปลักษณ์ที่อายุน้อยเช่นนี้ ข้าบอกแล้วว่าข้ามิได้ใส่ใจเรื่องใบหน้าที่เสียหายของท่าน ท่านเองก็อย่าได้รังเกียจเลย”
ราชบุตรเขยม้วนเก็บภาพวาดเงียบๆ
“ข้าพูดสิ่งใดผิดไปหรือ? ข้าไม่ได้โทษว่าท่านวาด…ข้า…” จู่ๆ ประมุขหญิงก็รู้สึกเหนื่อยจะกล่าวต่อ บุรุษผู้นี้ใจน้อยยิ่งนัก เกิดความไม่พอใจได้โดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว เอาใจยากยิ่งนัก
“ไม่ใช่ข้า” ราชบุตรเขยกล่าว
“ท่านว่าอย่างไรนะ?” ประมุขหญิงไม่เข้าใจ
“ไม่มีอันใด” ราชบุตรเขยเก็บม้วนภาพวาดลงในลิ้นชัก
…………………………………………