หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 228 หินก้อนเดียวได้นกสองตัว
อาม่าเป็นผู้เก็บรักษาเห็ดหลินจือและราชินีสัตว์พิษ เมื่อรู้ว่าต้องเอาเห็ดหลินจือแดงที่หามาอย่างยากลำบากไปช่วยเห้อเหลียนเป่ยหมิง อาม่าก็ไม่ได้พูดอะไรและมอบเห็ดหลินจือแดงให้กับอวี๋หวั่น
ภายในห้อง ชุยเฒ่าดึงมีดออกมา ห้ามเลือดและเย็บแผลให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงในคราวเดียว ด้านนอกห้อง อวี๋หวั่นปรุงยาบำรุงเลือดและแกงเห็ดหลินจือตามสูตรยาของชุยเฒ่า นอกจากรสชาติยังไม่อร่อยก็ไม่มีอะไร
อวี๋หวั่นป้อนยาให้เห้อเหลียนเป่ยหมิง จริงๆ แล้ว เห้อเหลียนเป่ยหมิงมีสติอยู่เลือนราง ทว่าเขาไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อย่างเต็มที่ ยานั้นมีฤทธิ์กล่อมประสาทเล็กน้อย เขาจึงผล็อยหลับไปอีกครั้ง
“ท่านกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถิด ข้ากับชุยเฒ่าจะดูแลท่านลุงเอง” อวี๋หวั่นกล่าวกับเยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ข้างหลังเธอ
เยี่ยนจิ่วเฉาอยู่ที่นี่ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากนัก เขาจึงกลับไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า
อวี๋หวั่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอกังวลว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่ไป ดูเหมือนเธอจะประเมินความสามารถในการแก้ปัญหาของเยี่ยนจิ่วเฉาต่ำเกินไป คนผู้นี้ในเวลาปกติคาดเดายากเพียงใด ทว่ากลับสงบในช่วงเวลาวิกฤตได้ หากอยู่ในห้องนี้ต่อไปก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจ้องมอง มิสู้กลับไปพักผ่อนที่เรือนให้สบาย อย่างน้อยก็มีคนหนึ่งที่ยังเหลือแรงไปดูแลฮูหยินผู้เฒ่ากับเด็กๆ
อวี๋หวั่นและชุยเฒ่าเฝ้าดูอาการบาดเจ็บของเห้อเหลียนเป่ยหมิง ในช่วงฟ้าสาง อาการบาดเจ็บของเห้อเหลียนเป่ยหมิงยังนับว่าควบคุมได้ ขั้นต่อไปคือป้องกันการติดเชื้อหลังผ่าตัด สำหรับชุยเฒ่า ทักษะทางการแพทย์ของเขายอดเยี่ยม ปัญหาไม่ร้ายแรง ทว่าร่างกายของเห้อเหลียนเป่ยหมิงเสียหายไปนานแล้ว ดังนั้นเขาจะรอดจากช่วงเวลาอันตรายนี้หรือไม่จึงยังไม่อาจบอกได้
ทั้งสองไม่กล้าออกจากห้องของเห้อเหลียนเป่ยหมิง ชุยเฒ่านอนลงบนเก้าอี้ม้ายาวสองตัว ส่วนอวี๋หวั่นฟุบอยู่ข้างเตียง จิ้งจอกหิมะก็กระโดดขึ้นไปบนหมอนและนอนขดตัว
ยามที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง เขาเห็นศีรษะเล็กๆ นอนอยู่ที่ขอบเตียง เขาค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบมัน
อวี๋หวั่นตื่นขึ้นในทันที พลันเงยหน้ามองเห้อเหลียนเป่ยหมิง และกล่าวอย่างตกตะลึง “ลุงใหญ่ ท่านตื่นแล้วหรือ? รู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเจ็บปวดทรวงอกอย่างยิ่ง เพียงหายใจเข้าออกก็รู้สึกราวกับจะฉีกออกจากกัน ทว่าเขากลับยังฝืนยิ้มออกมาช้าๆ “ดีมาก”
“ดีอะไรกันละ? ต้องเจ็บเจียนตายแล้วเป็นแน่” อวี๋หวั่นรีบคว้าข้อมือเขามาตรวจชีพจร ชีพจรไม่ต่างจากก่อนหน้านี้มากนัก ไม่ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แย่ลง มันคือความโชคดีในความโชคร้าย “ท่านลุงไม่ต้องกังวล แผลได้รับการรักษาอย่างถูกต้องแล้ว อีกไม่นานก็หาย”
ไม่อาจกล่าวถึงระยะอันตรายได้ อย่างไรเสียการต่อสู้กับอาการบาดเจ็บก็ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด ช่วงเวลาเช่นนี้ไม่ควรทำสิ่งใดกระทบจิตใจ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงหาใช่เด็กน้อยไร้เดียงสา ยามออกรบจับศึกเขาได้รับบาดเจ็บมาไม่รู้กี่ครั้ง เขาจะไม่เข้าใจสถานการณ์ของตนเองได้อย่างไร? แต่หากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ไม่ให้เขากังวล เขาก็ไม่ต้องกังวลแล้ว
“ขอโทษนะ” จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น
เสียงนั้นช่างแผ่วเบายิ่งนัก ไม่เหมือนกล่าวกับอวี๋หวั่น แต่เหมือนพึมพำกับตัวเองเสียมากกว่า
ทว่าหูของอวี๋หวั่นนั้นแตกต่างจากคนทั่วไป เธอยังได้ยินอยู่
อวี๋หวั่นตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะตระหนักได้ว่าเขาขอโทษเรื่องใด เขารู้เรื่องที่พวกเธอจำเป็นต้องใช้เห็ดหลินจือแดง เขารู้สึกขอโทษเยี่ยนจิ่วเฉา ในตอนนั้นเขาควรจะมีสติ หยุดยั้งตัวเอง แต่เขาก็ตื่นขึ้นมาไม่ได้
อวี๋หวั่นจับมือของเขาราวกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ได้รับความเอ็นดูจากผู้ใหญ่ พลางกล่าวด้วยสายตาชื่นชม “อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย หากไม่ใช่เพราะท่านลุง พวกเราคงไม่อาจมีชีวิตอยู่ในหนานจ้าวไปนานแล้ว เราคงไม่มีโอกาสที่จะได้รับเห็ดหลินจือแดงเลยด้วยซ้ำ”
ริมฝีปากแห้งของเห้อเหลียนเป่ยหมิงขยับราวกับว่าเขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าทันใดนั้นก็ผล็อยหลับสนิทปลุกไม่ตื่น
เรื่องที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงได้รับบาดเจ็บไม่อาจปิดบังฮูหยินผู้เฒ่าได้อีกต่อไป ช่วงนี้เห้อเหลียนเป่ยหมิงทานอาหารที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าทุกวัน จู่ๆ ก็ไม่ไปกะทันหัน ฮูหยินผู้เฒ่าต้องถามอย่างแน่นอน ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองยังพอกล่อมได้ ทว่าหากนานไปความย่อมแตก
อย่างไรก็ตาม ยามนี้อาการบาดเจ็บของเห้อเหลียนเป่ยหมิงได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงรอให้อาการดีขึ้น
“เมื่อวานนี้ท่านลุงเดินทาง และได้พบกับมือสังหาร จึงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
“ร้ายแรงหรือไม่?” ฮูหยินผู้เฒ่าถามอย่างเป็นห่วง
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “ไม่ร้ายแรง เพียงแต่ต้องอยู่บนเตียง”
ฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “มือสังหารนั่นเป็นใคร?”
เยี่ยนจิ่วเฉาถอนหายใจ “ไม่แน่ชัด เขาหนีไปได้”
อย่างไรก็เป็นบุตรชายแท้ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่รักเขาได้อย่างไร? นางใช้ไม้เท้าพยุงตัวเองไปที่เรือนของเห้อเหลียนเป่ยหมิงพร้อมกับเยี่ยนจิ่วเฉาด้วยความร้อนใจ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงดื่มยาและเพิ่งหลับไป เมื่อรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังมาหา อวี๋หวั่นจึงขอให้จื่อซูและฝูหลิงทำความสะอาดเลือดในห้อง และใช้ธูปสมุนไพรกับธูปหอมกลบกลิ่นคาวเลือดที่หลงเหลืออยู่ในอากาศ
เห้อเหลียนเป่ยหมิงนอนอยู่บนเตียงสะอาดโดยมีผ้าพันแผลพันรอบร่างกายส่วนบน สีหน้าของเขาย่ำแย่เกินไป ทว่าคนชรามักสายตาฟ่าฟาง ยามเข้าใกล้จึงเห็นไม่ชัด
อวี๋หวั่นและชุยเฒ่าอยู่ที่นั่น เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเข้ามา พวกเขาก็ลุกขึ้นและหลีกทางให้นาง
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งบนขอบเตียง เอื้อมมือลูบหน้าผากของบุตรชายและกล่าวอย่างกังวล “โอ้ ท่านหมอชุย ลูกชายข้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ชุยเฒ่ากล่าวอย่างปกติ “บาดแผลเพียงเล็กน้อย ตามที่ข้าบอกไว้ ไม่จำเป็นต้องพันแผลด้วยซ้ำ! หากไม่ใช่เพราะข้าถูกปลุกขึ้นมากลางดึกให้ต้องทำนู่นทำนี่! คนแก่อย่างข้าก็เลยว่างมากไงละ!”
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็โล่งใจ แต่ในไม่ช้านางก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง และถามอวี๋หวั่นเบาๆ “ลุงใหญ่ของเจ้าไม่เป็นไรจริงๆ รึ?”
อวี๋หวั่นอมยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “แน่นอนท่านย่า หากลุงใหญ่เกิดเรื่องใหญ่จริง สามีกับข้าไม่ร้อนใจแย่แล้วหรือ?”
“นั่นก็ถูก” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าทันควัน แต่คิดๆ ดูแล้วก็ไม่ถูกนัก “เช่นนั้น เหตุใดเขายังไม่ตื่นละ?”
อวี๋หวั่นยิ้มและกล่าวว่า “สูตรยาของท่านหมอชุยช่วยให้ผ่อนคลาย ดื่มเข้าไปอาจทำให้ง่วงนอนได้”
วาจานี้หาได้เป็นเท็จ ยาแกงมีส่วนผสมที่ให้ผ่อนคลาย แต่สาเหตุหลักคือเห้อเหลียนเป่ยหมิงอ่อนแอจากการเสียเลือดมากเกินไป ไม่ว่ายาห้ามเลือดและยาบำรุงเลือดมีประสิทธิภาพเพียงใด ก็ไม่อาจเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง ดังนั้นผลการรักษาจึงต้องใช้เวลาสองสามวันจึงจะเห็นผล
โชคดีที่ฮูหยินผู้เฒ่าถูกเกลี้ยกล่อมสำเร็จ จิตใต้สำนึกของนางไม่เคยคาดหวังให้เกิดอะไรขึ้นบุตรชาย โดยปกตินางเต็มใจเชื่อว่าสิ่งที่เยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นกล่าวเป็นความจริง ขณะที่เยี่ยนจิ่วเฉากำลังตัดสินใจว่าจะส่งฮูหยินผู้เฒ่ากลับสวนอู๋ถง คนจากจวนตะวันตกกลับมาโดยไม่ทันคาดคิด
ดวงตาของทั้งคู่พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาในเวลาเดียวกัน ข่าวแพร่ไปจวนตะวันตกเร็วยิ่งนัก พวกเขายังบุกมาเสวนาอีก คนจากจวนตะวันตกมาถึงประตูแล้ว
คนที่มาคือนายท่านรองใหญ่และสองพี่น้องเห้อเหลียนอวี่เห้อเหลียนเฉิง
“ลุงใหญ่ของข้าเกิดเรื่องขึ้น จริงหรือ?” เห้อเหลียนเฉิงเดินเข้ามาอย่างโวยวาย อาการตกตะลึงบนใบหน้านั้น ไม่เหมือนกับเสแสร้ง เห้อเหลียนอวี่ก็มีท่าทีไม่ต่างจากเขามากนัก หลังจากสองพี่น้องได้ยินเรื่องอาการบาดเจ็บของเห้อเหลียนเป่ยหมิง พวกเขาก็รีบวางหนังสือที่อ่านไปได้ครึ่งหนึ่งลง ก่อนจะรีบวิ่งมาในทันที
ดีร้ายอย่างไรเขาก็เป็นลุงใหญ่ที่อยู่ด้วยกันมาหลายปี หากจะบอกว่าไม่สนใจเลยคงเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ความสนใจนั้นมีขอบเขต เขาเป็นลุงใหญ่ จะเทียบกับปู่แท้ๆ พี่ชายแท้ๆ ได้อย่างไรละ?
ชุยเฒ่าขยี้ตา กล่าวอย่างไม่ทน “ทำอะไรกัน ทำอะไรกัน? คนป่วยเพิ่งได้พัก พวกเจ้าอย่าเอะอะโวยวายปลุกเขาให้ตื่นสิ!”
เห้อเหลียนเฉิงจ้องมองเขาอย่างเย็นชา ทำจมูกฮึดฮัด “ให้เจ้าพูดได้แล้วเรอะ?”
อวี๋หวั่นกล่าว “ท่านหมอชุยเป็นหมอที่มีชื่อเสียง ซึ่งได้รับเชิญจากเรือนใหญ่ พวกท่านโปรดใส่ใจวาจาที่ใช้กับท่านหมอชุยสักหน่อย”
“หึ!” เห้อเหลียนเฉิงกลอกตา คิดจะกล่าวบางอย่าง ทว่าถูกเห้อเหลียนอวี่หยุดไว้
เห้อเหลียนอวี่ถลึงตาใส่เขา ผู้ใหญ่ก็อยู่ที่นี่ เจ้าจะโวยวายอะไร?
“ยังไม่คำนับฮูหยินผู้เฒ่าอีก?” นายท่านรองใหญ่กล่าวด้วยเสียงที่ลุ่มลึก
สองพี่น้องทักทายย่าอย่างเชื่อฟัง
“แล้วพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้เล่า?” นายท่านรองใหญ่กล่าว
ทั้งสองทักทายพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้อย่างไม่เต็มใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่แม้แต่จะสบตาพวกเขาตรงๆ
นายท่านรองใหญ่เดินไปที่เตียงอย่างกังวล และกล่าวทักทายฮูหยินผู้เฒ่า “พี่สะใภ้ หมิงเอ๋อร์ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
ฮูหยินผู้เฒ่าตอบ “ไม่เป็นไร แค่ถลอกผิวหนังเล็กน้อย ไม่นานก็หายเป็นปกติแล้ว เหตุใดพวกเจ้าถึงมาที่นี่กันละ?”
นายท่านรองใหญ่กล่าวอย่างอบอุ่น “มิใช่เพราะได้ยินว่าหมิงเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บหรอกหรือ? ข้าได้เชิญท่านหมอมาดูอาการหมิงเอ๋อร์โดยเฉพาะแล้ว”
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าว “ไม่ต้องหรอก ท่านหมอชุยกับอาหวั่นดูหมิงเอ๋อร์แล้ว”
นายท่านรองใหญ่กล่าวต่อ “เอ่อ…ให้ตรวจดูหลายๆ คนก็ยิ่งดี หมอหลิวเป็นหมอที่มีชื่อเสียงแห่งจิงเฉิง เชี่ยวชาญด้านรักษาบาดแผล ยิ่งไปกว่านั้นเขายังประสบความสำเร็จในการรักษาเส้นเอ็นและเส้นเลือดอีกด้วย มิสู้ให้เขาตรวจดูหมิงเอ๋อร์สักหน่อย บางทีอาจช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บเดิมของหมิงเอ๋อร์ก็เป็นได้”
หากเขาว่าให้หมอมาดูอาการบาดเจ็บภายนอกของเห้อเหลียนเป่ยหมิงเท่านั้น ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่มีทางหวั่นไหว เพราะอย่างไรเสียหลานสะใภ้กับหมอชุยก็ได้รักษาแล้ว หากให้หมออื่นเข้ามาแทรกแซงอีก เกรงว่าจะดูเป็นการไม่ไว้ใจพวกเขา ทว่าผลต่างออกไปหากเขากล่าวถึงการรักษาแผลเดิมของเห้อเหลียนเป่ยหมิง ซึ่งหาได้ขัดต่อการวินิจฉัยและรักษาของพวกเขาแม้แต่น้อย
แน่นอนว่านี่เป็นมุมมองของฮูหยินผู้เฒ่า หากเปลี่ยนเป็นมุมมองของเยี่ยนจิ่วเฉา อวี๋หวั่นและชุยเฒ่ากลับกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ต้องกล่าวว่าบาดแผลเก่าของเห้อเหลียนเป่ยหมิงหมดหนทางรักษาแล้ว หากสามารถรักษาให้หายได้จริง เหตุใดไม่พาหมอผู้นี้มาเร็วกว่านี้ ผ่านมานานก็ยังไม่เชิญหมอผู้นี้มา กลับพาเข้าจวนในยามที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงใกล้ตาย นี่เป็นความบังเอิญในด้านเวลา หรือจงใจใช้เป็นข้ออ้างเพื่อเปิดเผยอาการบาดเจ็บของเห้อเหลียนเป่ยหมิงกันแน่?
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว นางจะทนได้อย่างไรหากรู้ว่าบุตรชายเพียงคนเดียวได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้? และหากเกิดอะไรขึ้นกับฮูหยินผู้เฒ่า เห้อเหลียนเป่ยหมิงผู้นี้ก็คงไม่มีทางรักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้อย่างสงบใจ
ช่างเป็นอุบายหินก้อนเดียวได้นกสองตัวจริงๆ นายท่านรองใหญ่
…………………………………………