หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 229 พี่จิ่วทารุณ
คราวนี้ ไม่ต้องรอให้คนทั้งสองออกหน้า ชุยเฒ่าก็ลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับหมอแซ่หลิว พลางกล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้ากล้าดีอย่างไร วิ่งมาแย่งธุรกิจของข้า?”
คำพูดนี้กล่าวได้งดงามยิ่ง ชุยเฒ่าเป็นหมอของเยี่ยนจิ่วเฉาไม่ผิดแน่ ตั้งแต่เข้าจวน เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ได้ลงค่าหมอของเขาไว้ในบัญชีสาธารณะแล้ว
…เดิมทีเขาแค่ถูกลักพาตัวมาเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินสำหรับการปรึกษาทางการแพทย์
คนผู้นี้ก็มาทำการรักษาในจวนตะวันออกเช่นกัน ซึ่งเท่ากับเป็นการชิงธุรกิจของเขาไป เขาขวางไว้ด้วยคำพูดที่มีเหตุผลยากลบล้าง
หมอหลิวไม่เคยพบคนที่ตรงไปตรงมาขนาดนี้ จะเอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาได้อย่างไร?
หมอหลิวสำลักโกรธจนหน้าแดง “เจ้า เจ้ากล่าวได้อย่างไร?”
ชุยเฒ่าฮึดฮัด “หรือว่าไม่ใช่ละ? เจ้าไม่ได้มาแย่งธุรกิจของข้ารึ?”
หมอหลิวยืดเอวกล่าว “ข้ามาที่นี่เพื่อรักษาแม่ทัพใหญ่! หากเจ้ารักษาไม่ได้ ก็จะไม่ยอมให้คนอื่นรักษาอย่างนั้นรึ?”
“กล่าวเช่นนี้ เจ้ารักษาหายแล้วหรือ?” ชุยเฒ่าเพิ่มน้ำเสียง
หมอหลิวพยายามสงบสำรวม “นี่ต้องวินิจฉัยเสียก่อน ไหนเลยจะหาข้อสรุปได้โดยไม่ต้องตรวจผู้ป่วย?”
ชุยเฒ่ากล่าว “เจ้าก็รู้ว่าเจ้ายังไม่ได้พบผู้ป่วย เช่นนั้นทุกคำที่นายท่านรองใหญ่บอกว่าสามารถรักษาให้หายได้ มันเรื่องใดกัน? ข้าว่าพวกเจ้าไม่ได้มารักษา แต่เพื่อสร้างปัญหาเสียมากกว่า!”
หมอหลิวไม่ได้มาที่นี่เพื่อรักษาโรค แต่มาเพื่อเปิดเผยอาการบาดเจ็บของเห้อเหลียนเป่ยหมิง กลับถูกเปิดเผยตั้งแต่เริ่ม พลันเกิดความรู้สึกผิดจนพูดสิ่งใดไม่ออก
นายท่านรองใหญ่ที่อยู่ด้านข้างยังคงสงบอารมณ์ได้ หันไปกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าอย่างสุภาพอ่อนน้อม “พี่สะใภ้ ข้ามิได้ไม่ไว้ใจในทักษะแพทย์ของหมอชุย ข้าเพียงหวังว่าหากมีหมอรักษาหมิงเอ๋อร์มากคน ความหวังก็ยิ่งมีมากมิใช่หรือ? หากพี่สะใภ้ไม่ไว้ใจข้า ก็ถือเสียว่าวันนี้ข้าไม่ได้มาที่นี่”
เห้อเหลียนเฉิงรีบกล่าว “ใช่แล้ว ท่านย่าใหญ่ พวกเราก็คำนึงถึงอาการป่วยของท่านลุงเหมือนกัน คนแซ่ชุยผู้นี้ ผีเท่านั้นที่จะรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่? ถึงไม่ยอมให้หมอหลิวรักษาอาการป่วยของท่านลุง!”
อวี๋หวั่นเอ่ยปากอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ลุงใหญ่ของข้าร่างกายล้ำค่าดั่งทอง จะให้คนที่ใดมาเข้าใกล้ได้ง่ายๆ หรือ? มิใช่เพราะพวกเรากังวลว่านายท่านรองใหญ่จะรักหลานชายมาก จนถูกคนหลอกเข้าหรอกหรือ? หากเป็นการชักนำหมาป่าเข้าเรือน—”
เห้อเหลียนเฉิงเอ่ยขัดอวี๋หวั่น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร? ผู้ใดชักนำหมาป่าเข้าเรือน? หมอหลิวเป็นคนที่ท่านปู่ของข้าเชิญเข้ามา—”
ก่อนจะพูดจบ ก็ได้ยินเสียงแหลมหนึ่งดังขึ้น เขามองกลับไปและเห็นว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจับข้อมือของหมอหลิว กริชสว่างแวววับหลุดออกจากแขนเสื้อของหมอหลิว
ทุกคนถึงกับผงะ
“ไอ้หยา!” ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าถอดสี!
หมอหลิวตกตะลึงตาค้าง กริชเล่มนี้มันเรื่องใดกัน? เขาหาได้นำของบ้าบอนี่เข้ามาในจวนเสียหน่อย!
แน่นอนว่าเขาไม่ได้นำมันมา แต่เยี่ยนจิ่วเฉาใส่มันลงในแขนเสื้อของเขาในพริบตาก่อนจะเขย่ามันออกมา
ขณะนั้น ทุกคนกำลังเฝ้าดูอวี๋หวั่นโต้เถียงกับเห้อเหลียนเฉิง จนไม่ได้สังเกตการเคลื่อนไหวของเยี่ยนจิ่วเฉา
ชุยเฒ่าใช้เท้าเตะ “เหอะ! บอกแล้วว่ามีเจตนาร้ายแอบแฝง! เจ้าดูสิกริชออกมาแล้ว! พวกเจ้ามาลอบสังหารแม่ทัพใหญ่อย่างชัดเจน!”
ประโยคว่าพวกเจ้านี้ ทำให้จวนตะวันออกเกิดเสียงก่นด่า
“เราไม่ได้ทำ!” สองพี่น้องเห้อเหลียนโต้กลับอย่างพร้อมเพรียง
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “หากไม่ใช่พวกเจ้า แล้วจะเป็นพวกเรารึ? อย่าลืมเสียละว่าเขาเป็นคนที่พวกเจ้าเชิญมา! แล้วพวกเจ้าก็รบเร้าจะให้เขารักษาท่านลุงของข้าให้ได้! ท่านลุงของข้าสลบไปยังไม่ฟื้น หากให้เขามาเข้าใกล้จริงๆ คิดว่าจะหลบได้หรือ?”
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าคิดเช่นนี้ ก็เริ่มหวาดกลัวและสั่งข้ารับใช้ในจวน “พวกเจ้า! ลากมันออกไป!”
สตรีผู้มากพละกำลังหลายคนจากเรือนอู๋ถงรีบวิ่งเข้ามา ดึงตัวหมอหลิวที่ครวญครางร้องห่มร้องไห้ออกไป
การใส่ความครั้งนี้รุนแรงยิ่งนัก นายท่านรองใหญ่กลับกลายเป็นสร้างความเดือดร้อนให้ตนเอง นายท่านรองใหญ่เดาได้ว่าหมอหลิวถูกคนวางแผนจัดการ ทว่าคนที่จัดการเขากลับเป็นหลานชายที่ฮูหยินผู้เฒ่ารักมากที่สุด ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่มีทางสงสัยเห้อเหลียนเฉาเป็นแน่
นายท่านรองใหญ่รีบเข้ามาขอโทษ “ทั้งหมดต้องโทษข้า! ทันทีที่ได้ฟังหมอผู้นี้กล่าวกับข้าว่า เขาสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของหมิงเอ๋อร์ได้ ข้าก็ดีใจสับสนจนลืมระวังภัย ข้าประมาทเอง! หวังว่าพี่สะใภ้จะไม่ถือโทษข้า!”
ฮูหยินผู้เฒ่าจิตใจดี ไม่ติดใจสงสัยในความตั้งใจของเขาแม้แต่น้อย ทว่าเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าคิดถึงความประมาทของเขา ที่เกือบทำให้บุตรชายของนางเป็นอันตราย ก็ไม่อยากมองหน้าเขาอีก จึงทำหน้าไม่พอใจเดินผ่านเขาไป!
ในระยะสั้นนี้ เขาอย่าคิดจะมาเป็นปีศาจที่จวนตะวันออกอีกเลย
ทว่าหากเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงตรงนี้ ก็คงจะไร้เดียงสาเกินไป
นายท่านรองใหญ่พาหลานชายทั้งสองออกจากเรือนของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
ก้าวไปเพียงสองสามก้าว หูนายท่านรองใหญ่ก็ได้ยินเสียงบางอย่าง ขาที่ก้าวพลันหยุดชะงัก
“ท่านปู่ มีอะไรหรือขอรับ?” เห้อเหลียนอวี่ถาม
ดวงตาของนายท่านรองใหญ่มีประกายวาบผ่าน ก่อนจะเอ่ยกับหลานชาย “เจ้ากลับไปกับน้องชายเจ้าก่อน ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ”
“ขอรับ” เห้อเหลียนอวี่ไม่ดื้อรั้นเหมือนน้องชาย หลังจากท่านปู่ออกคำสั่งเขาก็พาเห้อเหลียนเฉิงกลับเรือนแต่โดยดี
รอจนกระทั่งสองพี่น้องเดินจากไป นายท่านรองใหญ่ก็ค่อยๆ หมุนตัวกลับมา “ออกมาเถิด”
เยี่ยนจิ่วเฉาเดินออกมาด้วยท่วงท่าสบายๆ ในมือมีกริชเล่มหนึ่งที่เพิ่งใช้ใส่ความหมอหลิว
ที่นี่ไม่มีบุคคลที่สามอีกแล้ว นายท่านรองใหญ่ไม่จำเป็นต้องแสร้งแสดงความรักปู่หลาน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเหตุใดเยี่ยนจิ่วเฉาถึงตามมา ภายในใจของเขาค่อยๆ ปรากฏอารมณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้
เยี่ยนจิ่วเฉาแกว่งกริชในมือไปมาอย่างแผ่วเบา “นายท่านรองใหญ่จำกริชเล่มนี้ได้หรือไม่? มันถูกเก็บมาจากร่างกายลุงใหญ่ของข้า”
นายท่านรองใหญ่มองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉาอย่างไม่ตระหนก “เฉาเอ๋อร์กล่าวเรื่องใด? ปู่รองไม่ค่อยเข้าใจ ลุงใหญ่ของเจ้ามิใช่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยหรอกหรือ? เหตุใดยังดึงกริชออกมาเล่มหนึ่ง?”
เยี่ยนจิ่วเฉายิ้มเย้ยหยัน “ข้าแค่บอกว่าเก็บมา หรือข้าเอ่ยว่าดึงมารึ?”
ใบหน้าของนายท่านรองใหญ่เปลี่ยนไปทันที
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวอย่างไร้ซึ่งความสงสัย “ฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังคือเจ้าสินะ”
อันที่จริงก็เดาได้ไม่ยาก ประการแรกในด้านแรงจูงใจ ความน่าสงสัยของนายท่านรองใหญ่นั้นสูงมาก แม้ว่าจะเป็นอากับหลาน ทว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้าทรัพย์สมบัติและอำนาจของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดนี้จะสำคัญอย่างไร? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่า หลังจากที่เยี่ยนจิ่วเฉามา หลานชายคนโตก็ถูกเปลี่ยนมือ จวนตะวันออกก็มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดตระกูลเห้อเหลียนอีกครั้ง นายท่านรองใหญ่จะยอมสละตำแหน่งผู้นำตระกูลที่ตกถึงมือแล้วได้อย่างไร? เขาจำต้องกำจัดหินขวางเท้าอย่างเห้อเหลียนเป่ยหมิงออกไป จากนั้นก็ใช้การตายของเห้อเหลียนเป่ยหมิงเอาชนะฮูหยินผู้เฒ่า เมื่อเป็นเช่นนี้เยี่ยนจิ่วเฉาก็จะสูญเสียร่มบังหัวถึงสองคันไป จากนั้นค่อยมากำจัดเขาก็ง่ายดายขึ้นแล้ว
ประการที่สองคือโอกาสในการก่อเหตุ เห้อเหลียนเซิงไม่ใช่นักวิชาการที่มีชื่อเสียงแต่อย่างใด ลายมือของเขาไม่ได้ถูกเผยแพร่ออกไปนอกจวนอย่างกว้างขวาง หากต้องการได้ลายมือของเขา ก็ต้องเป็นคนที่เคยสนิทกับเขาอย่างมาก
นอกจากนี้ เห้อเหลียนเซิงถูกขับไล่ออกจากบ้าน เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ไม่เคยถามไถ่สนใจบุตรชายคนนี้ โลกภายนอกล้วนมองว่าความสัมพันธ์บิดาบุตรของพวกเขาขาดสะบั้นแล้ว ผู้ใดจะโง่ขนาดใช้เห้อเหลียนเซิงล่อ เห้อเหลียนเป่ยหมิงออกมาเล่า?
ในงานเลี้ยง นายท่านรองใหญ่ใช้ข้ออ้างความมึนเมากล่าวกับเห้อเหลียนเป่ยหมิง ‘ข้าแก่แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไร หวังว่าเด็กๆ จะสามารถดูและตระกูลเห้อเหลียนได้ อันที่จริงในเด็กเหล่านั้น คนที่ข้าให้ความสำคัญที่สุดก็คือ…’
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็จงใจไม่กล่าวต่อ แต่คนโง่ก็ยังได้ยินชื่อที่เขาไม่เรียกนั้น ว่าคือเห้อเหลียนเซิง
เขาจงใจทำให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงโหยหาเห้อเหลียนเซิง จากนั้นก็ให้ ‘เห้อเหลียนเซิง’ ไปพบกับเห้อเหลียนเป่ยหมิง ในสถานการณ์เช่นนี้ เห้อเหลียนเป่ยหมิงจะมีเหตุผลไม่เข้าสู่กลอุบายนี้ได้อย่างไร?
ทันที่เยี่ยนจิ่วเฉาจัดการหมอหลิวได้ นายท่านรองใหญ่ก็พอเดาได้ว่าแผนการของเขาถูกเปิดเผยแล้ว ดังนั้นคำพูดของเยี่ยนจิ่วเฉาจึงไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจ ทว่าสิ่งที่เขาประหลาดใจก็คือ เด็กคนนี้กล้ามาถามเขาต่อหน้า
หากเป็นฮูหยินผู้เฒ่า นายท่านรองใหญ่อาจจะยังดิ้นรนอยู่บ้าง ทว่าสำหรับเด็กชายที่น่ารังเกียจคนหนึ่ง นายท่านรองใหญ่ไม่แม้แต่มีความปรารถนาที่จะแสร้งทำดีกับเขาเสียด้วยซ้ำ
นายท่านรองใหญ่มองเขาอย่างยโสโอหัง พลันหัวเราะเยาะ “ใช่แล้วอย่างไร? ไม่ใช่แล้วอย่างไร? เจ้ามีหลักฐานรึ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงัก “อ้อ ก็เหมือนจะไม่มีจริงๆ”
“ฮ่าๆๆๆ!” นายท่านรองใหญ่หัวเราะเย่อหยิ่ง “แม้แต่หลักฐานก็ไม่มี มีแค่เจ้าเป็นพยาน! เจ้าคิดว่าจะมีใครเชื่อเจ้ารึ?”
“เหตุใดข้าต้องการให้คนอื่นเชื่อ?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับ
นายท่านรองใหญ่ถึงกับผงะ ประหลาดยิ่งนัก หากเจ้าไม่ได้ต้องการให้คนอื่นเชื่อ เช่นนั้นมาเผชิญหน้ากับข้าเพื่อเหตุใด? มิใช่ต้องการประกาศความผิดของข้าให้คนทั่วหล้าได้รับรู้หรอกหรือ?
“เด็กน้อย ข้าไม่สนใจว่าเจ้ามาจากที่ใด แต่ข้าแนะนำให้เจ้าออกไปจากจวนเห้อเหลียนเสีย อย่างน้อยก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้ เจ้าคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่ากับเห้อเหลียนเป่ยหมิงจะปกป้องเจ้าได้อีกนานเพียงใด? พวกเขาอายุมากแล้ว อีกไม่นานก็ต้องลงไปพบพี่ใหญ่ของข้าที่ยมโลก ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะไม่มีกำบังของพวกเขาอีกต่อไป เจ้าก็จะเป็นเพียงแมลงน้อยน่าสงสารบนเขียง”
นายท่านรองใหญ่กล่าวอย่างมีชัย ทันใดนั้นก็นึกบางสิ่งขึ้นได้ พลันเผยยิ้มเย็นชา “อ้า ลืมบอกเจ้าไป แม้ว่าแผนการในวันนี้จะถูกเจ้าทำลาย เจ้าคงรู้ว่าเดือนหน้าก็จะเป็นวันกลับบ้านไหว้บรรพบุรุษ เรื่องนี้ตั้งแต่บรรพกาลมาผู้นำตระกูลล้วนเป็นผู้ขึ้นไปจุดธูป น่าเสียดายที่ปีนี้จวนตะวันออกของเจ้าไปไม่ได้เสียแล้ว”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถลุกจากเตียงในช่วงนี้ ส่วนเห้อเหลียนเฉาก็ยังไม่ได้เข้าลำดับวงศ์ตระกูล ตามกฎของตระกูล เขายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะไป
ตราบใดที่ขึ้นไปจุดธูป ก็นับเป็นการประกาศสถานะของตนเองในตระกูลเห้อเหลียน
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวต่อ “อ้อ กล่าวเช่นนี้ ปู่รองอยากขึ้นไปจุดธูปรึ?”
นายท่านรองใหญ่กล่าวอย่างยโสโอหังยิ่ง “ไม่ใช่ว่าข้าอยากไป แต่อย่างไรข้าก็ต้องไป เว้นเสียแต่ว่า เจ้าจะฆ่าข้าให้ตาย”
ฉึก—
ทันทีที่สิ้นเสียง กริชแวววาวก็พุ่งเข้าที่ท้องของเขา
นายท่านรองใหญ่ “…?!”
…………………………………………