หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 234 แม่ลูกพบหน้า (1)
ณ สวนอู๋ถง อวี๋หวั่นอาบน้ำให้เด็กชายทั้งสาม ยิ่งอายุมากขึ้นพวกเขาก็ยิ่งมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่เชื่อฟังเหมือนตอนที่พวกเขาอายุเพียงสองขวบ บอกให้นั่งดีๆ ก็ทำเอะอะวุ่นวายอยู่ในอ่าง
ต้าเป่าเคยองอาจและมีอำนาจมากที่สุด แต่เพราะน้องชายทั้งสองพูดได้แล้ว พวกเขาก็มักจะรวมหัวกลั่นแกล้งต้าเป่า เพียงอวี๋หวั่นหันตัวไปหยิบเสื้อผ้า ต้าเป่าก็ถูกน้องชายทั้งสองสาดน้ำใส่
“เอ้อร์เป่า! เสี่ยวเป่า!” อวี๋หวั่นเพียงมองเห็นเงาที่พื้น ก็จับได้ว่าเด็กน้อยทั้งสองกำลังทำตัวร้ายกาจ เมื่อหันกลับมา เธอก็จ้องมองพวกเขาด้วยท่าทางดุร้าย
ทั้งสองก้มหน้าลงอย่างกระมิดกระเมี้ยน ทำท่าไร้เดียงสาไม่มีพิษภัย และอาบน้ำต่อไป
อวี๋หวั่นเช็ดน้ำบนใบหน้าของต้าเป่า อุ้มเขาขึ้นมา เช็ดตัว สวมเสื้อผ้าและวางลงบนเตียง
เสี่ยวเป่าร้องเรียก “ท่านแม่! ท่านแม่! ข้าอยากสวมด้วย!”
“ฝูหลิง!” อวี๋หวั่นเรียกไปทางประตู
ฝูหลิงก้าวเข้ามา อุ้มเสี่ยวเป่าที่เปียกปอนขึ้นมาเช็ดตัว มือหนาหยาบใหญ่ถูตัวเสี่ยวเป่าจนเด็กน้อยแลบลิ้นตาเหลือก
เสี่ยวเป่าที่ถูก ‘ย่ำยี’ ปีนขึ้นไปบนเตียงอย่างน่าสงสาร และพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของมารดา
แง~
เด็กน้อยทั้งสามเปลี่ยนชุดนอนเรียบร้อย พวกเขานอนมากแล้วในตอนกลางวัน จึงไม่รู้สึกง่วง กระโดดบนเตียงจนเหงื่อออกอีกครั้ง การเช็ดตัวเมื่อครู่จึงเปล่าประโยชน์
ขณะที่อวี๋หวั่นหยิบน้ำมาและกำลังจะเช็ดตัวเด็กๆ เสียงสนทนาของจื่อซูกับผู้เฝ้าประตูก็ดังขึ้นจากด้านนอก
“…ได้ ข้าทราบแล้ว เจ้าถอยไปก่อนเถิด” หลังจากจื่อซูส่งผู้เฝ้าประตูไปแล้ว นางก็มาเคาะประตูเบาๆ “คุณหนูใหญ่”
“เข้ามา” อวี๋หวั่นตอบ
จื่อซูดันประตูเข้ามา
“จื่อซู! จื่อซู! ดูข้าสิ!” เสี่ยวเป่าพลิกส้อมอย่างโอ้อวด นี่เป็นท่าใหม่ที่เขาได้เรียนรู้และชื่นชอบที่จะโอ้อวดคนอื่นมากเป็นพิเศษ
จื่อซูรู้สึกขบขัน “เสี่ยวเป่าเก่งจริงๆ!”
เสี่ยวเป่าตบหน้าอกและกล่าวว่า “ข้าเก่งยิ่งนัก!”
“ข้าก็ทำได้” เอ้อร์เป่ากล่าว
“เจ้าทำไม่ได้” เสี่ยวเป่ากล่าว
สองพี่น้องทะเลาะกัน
ต้าเป่ากระโดดไปมารอบๆ และจมอยู่ในโลกของตัวเอง โดยไม่สนใจน้อยชายโง่เขลาทั้งสอง
อวี๋หวั่นมองเด็กน้อยทั้งสามด้วยรอยยิ้มและถามจื่อซู “ดึกเช่นนี้แล้ว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ?”
จื่อซูกระซิบ “เมื่อครู่ผู้เฝ้าประตูบอกว่า ด้านนอกจวนมีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาอ้างว่าตนเองเป็นญาติของคุณชายน้อย สตรีผู้นั้นมีลักษณะคล้ายกับคุณหนูใหญ่มาก ผู้เฝ้าประตูตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง จึงเข้ามารายงานคุณหนูใหญ่”
“ดูเหมือนข้าหรือ?” แน่นอนว่าปฏิกิริยาแรกของอวี๋หวั่นไม่มีทางเป็นท่านพ่อท่านแม่ของเธอ ทว่าต่อมากลับคิดว่าอาจจะใช่ แต่คิดแล้วก็ไม่น่าเป็นไปได้ ท่านพ่อของเธอเป็นท่านโหวที่ฝ่าบาทแต่งตั้งให้ด้วยตนเอง มียศของขุนนาง แม้แต่เมืองจิงเฉิงก็ยังไม่สามารถออกไปได้ตามใจชอบ นับประสาอะไรกับการออกเดินทางจากต้าโจวมายังหนานจ้าว ที่เยี่ยนจิ่วเฉาสามารถออกจากจิงเฉิงได้ เพราะเยี่ยนจิ่วเฉาสามารถไปมาได้อย่างอิสระ ฝ่าบาททรงคิดว่าเขากลับไปที่เมืองเยี่ยน เรื่องหลังจากนั้นก็ให้จวนเยี่ยนอ๋องปิดเป็นความลับไว้ก็เพียงพอแล้ว ทว่าหมู่บ้านเหลียนฮวาไม่เหมือนกัน ราชสำนักจะมาตรวจสอบทุกสามวันห้าวัน หากไม่พบท่านพ่อ อย่างไรก็คงต้องถามถึงอยู่บ้าง
ดังนั้นแม้ว่าความรู้สึกของอวี๋หวั่นจะหวังให้เป็นท่านพ่อกับท่านแม่ ทว่าตามหลักเหตุผลแล้วคิดว่าเป็นไปไม่ได้
แต่ไม่ว่าอย่างไร อวี๋หวั่นก็ออกไปพบกับคนทั้งสอง
ทันทีที่ประตูเปิดออกไป เธอก็ต้องตะลึง
“ท่านพ่อ? ท่านแม่?”
“อา..อา..อา….อาหวั่น?”
อวี๋เซ่าชิงประหลาดใจยิ่งกว่าอวี๋หวั่น เพราะเหตุผลที่พวกเขามาที่จวนเห้อเหลียนไม่ใช่เพราะพวกเขารู้ว่าบุตรสาวอยู่ที่นี่ กลุ่มของอวี๋หวั่นได้ติดตามเห้อเหลียนเป่ยหมิงกลับเมืองหลวง ที่อยู่ของพวกเขาก็ไม่ทราบแน่ชัด ทว่าอาเว่ยและไข่ดำทั้งสามทิ้งตำนานไว้มากมายตลอดทาง พวกเขาไปหาที่วิหารพิษ และพบบ้านที่วิหารพิษมอบให้พวกเขา ท้ายที่สุดถึงมาที่บ้านสกุลเห้อเหลียน
สำหรับอวี๋หวั่น ยามที่เธอจากมากับเยี่ยนจิ่วเฉา เธอบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับจวนเยี่ยนอ๋องและทั้งสองต้องกลับไปที่เมืองเยี่ยน
“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” อวี๋เซ่าชิงถามด้วยความประหลาดใจ
“เรื่องนี้…ต้องเล่ากันยาว” อวี๋หวั่นมองผู้คนรอบๆ และกระซิบ “ยามนี้เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นหลานชายของฮูหยินผู้เฒ่า ถือเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเห้อเหลียน และข้าเป็นคุณหนูใหญ่ภรรยาคุณชายใหญ่”
“อะไรนะ?!” อวี๋เซ่าชิงสะดุ้งอีกครั้ง ความประหลาดใจถาโถมยิ่งกว่าตอนที่เขาเห็นบุตรสาวในแวบแรก “นี่เขามีพ่อกี่คนกันแน่!!!”
เหตุใดถึงมาเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลเห้อเหลียนได้?!
ความสับสนฉายชัดในดวงตาของคนทั้งสอง อวี๋หวั่นก็ยากที่จะอธิบายเล็กน้อย เธอจึงส่งสายตาเป็นเชิงบอกท่านพ่อ “…ไว้ข้าจะเล่าให้ท่านพ่อกับท่านแม่ฟังโดยละเอียด ยามนี้เข้าจวนก่อนเถิด”
อวี๋เซ่าชิงไม่ได้รีบร้อนเข้าจวน แต่กวาดตามองดูบุตรสาวขึ้นๆ ลงๆ เมื่อแน่ใจว่าบุตรสาวของเขาไม่ผอมลงหรือได้รับความลำบากใดๆ สายตาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย จากนั้นก็กัดฟันอีกครั้ง “รู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าไม่ได้กลับไปที่เมืองเยี่ยน! เจ้าเด็กตัวเหม็น! กล้าโกหกข้า!”
คว้ากระเป๋าออกมาเร็วเกินไป ราวกับพายุหมุน อวี๋หวั่นลูบปลายจมูกด้วยความผิดหวัง ยากที่จะบอกท่านพ่อว่าทุกอย่างเป็นความคิดของเธอ ในตอนแรกเธอมาที่หนานจ้าวเพื่อหายาให้เยี่ยนจิ่วเฉา และจับพลัดจับผลูกระโดดเข้ามาในเหตุการณ์นี้ “ทว่าท่านพ่อ ไยพวกท่านถึงมาที่นี่?”
อวี๋เซ่าชิงกลอกตา “จะเพราะเหตุใดได้? เด็กๆ หายไป ข้ากับแม่เจ้าจะไม่ออกตามหาได้หรือ?”
เด็กๆ หายไป อาเว่ยก็ไม่อยู่ ใช้หัวแม่เท้าคิดก็พอเดาได้ว่าอาเว่ยเป็นคนพาเด็กๆ ไป คราแรกอวี๋เซ่าชิงโกรธยิ่งนัก แม้ว่าเขาจะเป็นครูไปชั่วชีวิต แต่อย่างไรเขาก็ไม่ใช่พ่อแท้ๆ จะพาเด็กๆ ไปโดยไม่กล่าวสักคำได้อย่างไร?
อวี๋หวั่นกล่าว “อย่าได้โทษอาเว่ยเลย เด็กๆ ปีนขึ้นรถม้าอาเว่ยมาด้วยตัวเอง กว่าอาเว่ยจะรู้ก็สายไปแล้ว เด็กๆ รู้ว่าเขากำลังตามหาพวกเรา จึงยืนกรานที่จะติดตามเขามาด้วย”
อวี๋เซ่าชิงถามข่าวมากมายมาตลอดทาง และรู้ว่าอาเว่ยดูแลเด็กๆ เป็นอย่างดี อันที่จริงก็พอเดาได้ว่าตนเองมองเขาผิดไปหรือไม่
เมื่อนึกบางสิ่งขึ้นได้ อวี๋หวั่นก็กล่าวว่า “จริงสิ ท่านออกจากจิงเฉิงมา ฝ่าบาท…”
อวี๋เซ่าชิงกล่าว “ข้าบอกว่าไปตามหาเจ้าที่เมืองเยี่ยน ฝ่าบาทก็ทรงเห็นชอบ”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ “ฝ่าบาทเมตตาถึงเพียงนี้เชียว…ไม่เหมือนกับนิสัยปกติของเขาเท่าใด…”
เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ที่ให้ความสนใจกับการตัดขนมาเป็นร้อยปี มองขึ้นไปบนท้องฟ้า มองท้องฟ้า และมองฟ้า
“พวกเจ้า…” อวี๋เซ่าชิงอยากถามว่าเหตุใดพวกเขาถึงมาที่หนานจ้าว แต่ก็กลืนคำพูดลงไป นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะจะเสวนา รอให้ได้ห้องสงบๆ สักแห่ง ค่อยถามบุตรสาวให้กระจ่างอีกที “แล้วเด็กๆ เล่า?”
อวี๋หวั่นโค้งมุมปาก “อยู่ในเรือน”
“สะ สบายดีกระมัง?” อวี๋เซ่าชิงถามอย่างอึดอัดเล็กน้อย
อวี๋หวั่นอดยิ้มไม่ได้ “ดี ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ”
ข่าวที่อวี๋เซ่าชิงได้ยินมา คือเด็กๆ มีความสุขยิ่ง ยามนี้พวกเขาก็ได้เห็นอวี๋หวั่นอยู่ในจวนที่เด็กน้อยอาศัยอยู่ มารดาและบุตรได้พบกัน จะมีสิ่งใดดีไปกว่านี้อีก?
แม้รู้ว่าทุกคนมีช่วงเวลาที่ดี แต่ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ นี่คงเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ที่ฝังอยู่ในกระดูกกระมัง
อวี๋หวั่นอมยิ้มและกล่าวว่า “พวกเขาคงมีความสุขมากหากรู้ว่าท่านตาท่านยายคิดถึงพวกเขาเช่นนี้”
อวี๋เซ่าชิงเอ่ยโดยไม่คิด “ผู้ใดเป็นห่วงพวกเขา! แม่ของเจ้าร้อนใจ พวกเราจึงออกมาตามหา!” ไข่ดำทั้งสามมีคุณธรรมเหมือนกับบิดาของพวกเขา จึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขาเลย!
เตาะแตะ เตาะแตะ!
เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบื้องหลังอวี๋หวั่น ทันใดนั้นร่างเล็กทั้งสามก็ปะทะกับด้านหลังอวี๋หวั่น หัวโล้นกลมๆ ทั้งสามโผล่ออกจากด้านหลังอวี๋หวั่น หนึ่งหัว สองหัว สามหัว
เจ้าเด็กน้อยกลายเป็นเด็กหัวโล้น แต่ก็ยังเป็นหัวโล้นที่งดงามที่สุดในใต้หล้า
อวี๋เซ่าชิงวิ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วราวหมอกควัน
อวี๋หวั่น “…”
ไหนว่าไม่คิดถึง? หืม?
หัวโล้นทั้งสามถูกอวี๋เซ่าชิงกอดไว้แน่น
ทั้งสามคนดิ้นรนขัดขืน พวก…พวกเราต้องการท่านยาย!
อวี๋หวั่นหัวเราะและกล่าวว่า “ท่านพ่อท่านแม่ ตามข้าเข้าไปในเรือนก่อน จื่อซู ฝูหลิง นำกระเป๋าของนายท่านกับฮูหยินไปเก็บ”
“เจ้าค่ะ!” จื่อซูและฝูหลิงดีใจมากที่ได้พบนายท่านและฮูหยินของพวกเขา รีบโค้งคำนับด้วยความเคารพและไปหยิบกระเป๋าเดินทางบนรถม้า
อวี๋หวั่นจับแขนนางเจียง และกล่าวอย่างทรมานใจ “เดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ ลำบากท่านแม่ยิ่งนัก”
ท่านแม่ของเธอร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เดินทางมาด้วยความยากลำบาก คงเหนื่อยล้าอ่อนแรงแน่แล้ว เธอต้องชดเชยให้ท่านแม่อย่างดี!
นางเจียงกล่าวอย่างอ่อนโยน “ได้เห็นหน้าอาหวั่น ลำบากอีกเพียงใดแม่ก็ไม่กลัว”
อวี๋หวั่นมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่กำลังเดินตามอยู่ด้านหลังเด็กน้อยทั้งสาม จากนั้นก็หันไปมองนางเจียงที่พุ่งไปกอดเยี่ยนจิ่วเฉาภายในหนึ่งวินาที มุมปากพลันกระตุก “…”
ท่านปล่อยสามีข้าก่อน แล้วค่อยกล่าวประโยคนี้ได้หรือไม่?
ฝูหลิงและจื่อซูหยิบกระเป๋าใบน้อยใหญ่ลงจากรถม้า อย่ามองว่าพวกเขามาเพียงสองคน ทว่ากระเป๋าเดินทางกลับมีไม่น้อย โดยพื้นฐานมักเป็นของนางเจียง ส่วนอวี๋เซ่าชิงมีเพียงถุงผ้าสองใบ และยังเป็นกระเป๋าที่เบาที่สุด
จื่อซูถือถุงสัมภาระของอวี๋เซ่าชิง ส่วนฝูหลิงดูแลส่วนที่เหลือ
ระหว่างทางกลับเรือน อวี๋หวั่นคิดว่าจะให้ท่านพ่อท่านแม่พักอยู่อย่างไร จวนเห้อเหลียนกว้างใหญ่นัก ฮูหยินผู้เฒ่าและเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็รักและเอ็นดูเธอ ไม่รังเกียจที่จะให้ท่านพ่อท่านแม่ของเธอพักอาศัยอยู่ในจวน ทว่าอย่างไรก็เป็นครอบครัวฝั่งแม่ของเธอ ในสายตาผู้คนภายนอก ท่านพ่อท่านแม่ของเธออาจไม่สบายใจที่จะอยู่มากนัก ทว่าเด็กน้อยทั้งสามมีจวนอยู่สามหลังในเมืองหลวง ซึ่งหนึ่งในนั้นอยู่ไม่ไกลจากบ้านสกุลเห้อเหลียน จึงเป็นการดีกว่าที่จะให้พวกเขาไปพักที่นั่น
แน่นอนว่าตอนนี้เริ่มเย็นแล้ว ให้พักอยู่ที่ชีสยาย่วนสักคืนหนึ่งก่อน วันพรุ่งเธอจะส่งคนไปทำความสะอาดแล้วค่อยให้ท่านพ่อท่านแม่ของเธอย้ายเข้าไป
หลังจากเข้ามาที่ชีสยาย่วน อวี๋เซ่าชิงก็ได้พบกับครอบครัวของอาเว่ย ซึ่งก็คืออาม่า
คนที่ควรไปเมืองเยี่ยน ไม่ได้ไปเมืองเยี่ยน คนที่ควรกลับบ้านเกิด ก็ไม่ได้กลับบ้านเกิด หากบอกว่าไม่ได้จงใจวางแผนไว้แต่แรก อวี๋เซ่าชิงก็คงไม่เชื่อ
ดูเหมือนว่าตลอดทางจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น แต่ยังมีเวลาอีกหลายวัน อวี๋เซ่าชิงจึงไม่ได้รีบร้อนที่จะถาม หลังจากอาบน้ำ เขากับนางเจียงก็เข้าไปยังชีสยาย่วน
คืนนี้เด็กชายตัวน้อยๆ สามคนก็นอนที่นี่
ท้องฟ้าสดใส อวี๋เซ่าชิงตื่นขึ้นมา วันนี้เขาต้องย้ายไปที่บ้านพักของปรมาจารย์พิษอาวุโสตัวน้อย เขาเก็บข้าวของของตนเองกับนางเจียงก่อน แม้ว่าเขาจะอยากอยู่กับบุตรสาวและหลานๆ ทว่าไม่มีครอบครัวฝ่ายหญิงที่ใดพักอยู่ที่บ้านฝั่งสามี หากข่าวแพร่งพรายออกไปอาจทำให้บุตรสาวตกเป็นขี้ปากของชาวบ้าน
หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปที่ห้องครัวเล็กเพื่อทำอาหารเช้าให้นางเจียงและเด็กๆ
เขานึ่งซาลาเปาหมูมาถาดหนึ่ง
ยามที่ถือถาดเข้ามาในเรือน ก็พบกับฮูหยินผู้เฒ่าที่มาตามหาเหลนโดยไม่คาดคิด
…………………………………………