หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 235 แม่ลูกพบหน้า (2)
หากจะกล่าวถึงสาเหตุที่ฮูหยินผู้เฒ่ามาที่ชีสยาย่วน ก็ต้องเริ่มต้นจากชีวิตประจำวันของเด็กทั้งสาม เดิมทีพวกเขาอาศัยอยู่ที่สวนอู๋ถง เรือนของฮูหยินผู้เฒ่า ทุกคืนพวกเขาเข้านอนแต่หัวค่ำ และโดยปกติก็มักจะตื่นแต่เช้าเช่นกัน สิ่งแรกที่พวกเขาจะทำหลังจากตื่นนอน ก็คือเดินเตาะแตะมาที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่า และบ่อยครั้งที่ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งตื่นขึ้นในเวลานั้นพอดี วันนี้ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ในห้องมาค่อนวัน ก็ยังไม่เห็นเหลนมาหา เมื่อถามถึงได้ทราบว่าเมื่อคืนเด็กน้อยไม่ได้นอนที่เรือนของนาง แต่ไปที่ชีสยาย่วน
คำพูดหลังจากนั้น หญิงรับใช้กล่าวว่าอย่างไร มิได้เข้าหูนางแม้แต่น้อย นางรับรู้เพียง เมื่อคืนเหลนตัวน้อยของนางไปนอนที่เรือนอีกหลัง ซึ่งห่างไกลจากนางยิ่งนัก!
ด้วยความโกรธ ฮูหยินผู้เฒ่าจึงไปหาเหลนของนางด้วยตัวเอง แต่นางได้พบกับอวี๋เซ่าชิงโดยมิได้คาดคิด
เมื่อคืนอวี๋เซ่าชิงเข้าจวนมาก็ดึกแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ากับเห้อเหลียนเป่ยหมิงพักผ่อนกันหมดแล้ว เขาจึงไม่ไปรบกวน ตามหลักแล้ววันนี้จึงควรจะไปพบกับญาติ ‘ฝ่ายเขย’ ทว่าตระกูลเห้อเหลียนหาใช่ญาติที่แท้จริง ผีเท่านั้นที่รู้ว่าเหตุใดเจ้าเด็กนั่นถึงได้สวมรอยเป็นคุณชายใหญ่ อย่างไรเขาก็ไม่ควรพบกับคนตระกูลเห้อเหลียน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น
แต่ใครจะคาดคิด ว่าพวกเขาจะบังเอิญพบกันอย่างมึนงงเช่นนี้
อวี๋เซ่าชิงไม่ได้เตรียมใจมาก่อน
แน่นอน อวี๋เซ่าชิงไม่ทราบว่านางเป็นใคร
รู้สึกเพียงใบหน้าของหญิงชราผู้นี้ดูใจดียิ่งนัก…
ในวินาทีต่อมา หญิงชราผู้มีใบหน้าที่ดูใจดีผู้นี้ก็ทิ้งไม้เท้าและพุ่งเข้าหาอวี๋เซ่าชิง
อวี๋เซ่าชิงถึงกับผงะ ซาลาเปาหมูในจานแทบจะร่วงลงพื้น
นั่นคือสิ่งที่เขาตั้งใจทำมาตลอดทั้งเช้า เพื่อให้ไข่ดำตัวน้อยได้คลายความตะกละโดยเฉพาะ!
“ท่าน ท่าน ท่าน ท่าน …”
อวี๋เซ่าชิงยังไม่ทันเอ่ยคำหลังออกมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็ร้องไห้คร่ำครวญในลำคอ “หนิวตั้นนน——”
หัวใจของอวี๋เซ่าชิงเต้นรัว นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ฮูหยินผู้เฒ่าดึงเสื้อของอวี๋เซ่าชิง น้ำตาไหลอาบแก้ม ร้องไห้ราวกับเป็นเด็ก “หนิวตั้น ท่านกลับมาแล้ว— ท่านทิ้งเราสองแม่ลูกมาหลายปีถึงเพียงนี้ จิตสำนึกของท่านคงถูกสุนัขกินไปแล้ว…”
ไม่ใช่นะ ข้า…. นั่น…. อะไร…. ท่าน….
อวี๋เซ่าชิงสับสนมึนงง
นี่เขาตื่นหรือยัง? เหตุใดทำอาหารเช้าออกมาก็เจอเรื่องเช่นนี้ได้?
หนิวตั้น โก่วตั้นอะไร บุตรชายของเขาก็ยังเป็นเถี่ยตั้น!
หากเป็นสตรีวัยเยาว์เขาคงจะผลักออกไปแล้ว ทว่านางบังเอิญเป็นสตรีสูงวัย เขาอาจพลั้งมือทำให้นางตายได้ หากขยับตัวโดยไม่ตั้งใจ เขาทนไม่ได้ จึงตัดสินใจอธิบายกับอีกฝ่ายด้วยเหตุผล
เขาสูดหายใจเข้าและกล่าวอย่างอดทน “ท่านผู้เฒ่า ท่านฟังข้านะ…”
หลังจากประโยคนั้นออกจากปาก เสียงร้องไห้ของฮูหยินผู้เฒ่าก็หยุดลงทันที ก่อนที่นางจะกล่าวด้วยดวงตาที่เบิกโพลงพร้อมสังหารคน “ท่านบอกว่าข้าแก่เรอะ?!”
“เอ่อ…” น้ำเสียงนี้ดูไม่ปกติ หรือเขากล่าวสิ่งใดผิดไป? ผ่านไประยะเวลาหนึ่ง อวี๋เซ่าชิงจะยอมรับก็ไม่ใช่ จะปฏิเสธก็ไม่เชิง
ฮูหยินผู้เฒ่าทักทายเขาด้วยฝ่ามือฉาดใหญ่!
หน้าผากของอวี๋เซ่าชิงถูกกระทบอย่างหนัก ยิ่งทำให้เขามึนงงกว่าเก่า
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งร้องไห้กับพื้นอย่างเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าเดิม “ท่านมันไร้จิตสำนึก…ผ่านไปไม่กี่ปี ท่านก็หาว่าข้าแก่แล้ว…ข้าทำงานหนักเพียงนี้เพื่อใครกันละ…ท่านไปทำสงคราม ใครอยู่บ้านดูแลอึฉี่ของพ่อแม่ท่าน ใครดูแลลูกๆ ท่านให้ดื่มกิน? ใครที่เลี้ยงน้องชายท่านมาจนโต? ใครกันละ ใครกันละ?!”
หญิงชราก็เป็นคนหนึ่งที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย ทว่าท่านผู้เฒ่า ข้าไม่ใช่หนิวตั้นของท่านจริงๆ!
ฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้ดีดขา ทำให้ผู้คนทั้งในและนอกเรือนต่างตกใจ
เมื่อข้ารับใช้มองเข้าไปในดวงตาของอวี๋เซ่าชิง ก็ดูเหมือนคนที่เล่นกับความรู้สึกสตรีจริงๆ!
อวี๋เซ่าชิง “!!!”
อวี๋เซ่าชิงรอหาที่มุดหลบแทบไม่ไหว ฉวยโอกาสขณะที่ฮูหยินผู้เฒ่าร้องห่มร้องไห้ ใช้ถาดซาลาเปาหมูปิดหน้า ย่องไปทางห้องด้านในอย่างเงียบๆ ไหนเลยจะรู้ว่า ขณะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู ฮูหยินผู้เฒ่าก็กอดเท้าข้างหนึ่งของเขาไว้
เขาถูกจับโดยไม่ทันตั้งตัว พลันล้มลงกระแทกกับพื้นดังพลั่ก เกือบทำให้ตัวเองล้มคะมำ
ถาดซาลาเปาหมูร่วงลง ซาลาเปาหมูก็กระจัดกระจายเต็มพื้น
หลังจากนั้น ภายใต้สายตาร้อนผ่าวของทุกคน เขาถูกฮูหยินผู้เฒ่าจับเท้าไว้ข้างหนึ่ง และใช้พละกำลังที่ไม่เคยมีมาก่อน ลากเขากลับไปที่เรือนของตนเอง!
ชีสยาย่วนที่ถูกปกคลุมด้วยแสงยามเช้า เหลือเพียงซาลาเปาหมูที่กระจัดกระจายเกลื่อนพื้น เป็นฉากที่งดงามปนความเศร้า
เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์นอนแผ่หลา กอดไข่ดำน้อยสามฟองไว้ในอ้อมแขน หลับสนิทฝันหวาน ไม่รู้ตัวว่าสามีของตนได้ถูกฉกไปแล้ว
ไข่ดำน้อยเล่นกันอย่างเมามันมาตลอดทั้งคืน ยามนี้พวกเขาจึงนอนหลับสนิท แม้บอกว่าท่านตาถูกฉกไป ก็คงต้องปล่อยให้ถูกฉกไป อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ท่านยายที่ถูกฉกไป
อวี๋หวั่นได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวบางอย่าง ทว่าเธอก็คิดว่าเป็นเสียงของเด็กๆ ที่ซุกซน พลางพลิกตัว พาดแขนกับเยี่ยนจิ่วเฉาหลับไป
อวี๋เซ่าชิงร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา พวกเจ้า พวกเจ้ามาช่วยข้าที!
ท้องฟ้าสดใส เห้อเหลียนเป่ยหมิงตื่นขึ้นจากการหลับใหล เขานอนพักฟื้นอยู่บนเตียงเป็นเวลาหลายวัน และอาจจะนอนมากแล้ว เขาจึงตื่นขึ้นมาก่อนรุ่งสาง
หญิงรับใช้กะดึกฟุบหลับไปบนโต๊ะ เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว ก็รีบกลับมานั่งหลังตรงและกล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่ ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?”
“อื้ม” เห้อเหลียนเป่ยหมิงตอบอย่างเฉยเมย “อวี๋กังเล่า?”
หญิงรับใช้ตอบ “อยู่ในครัวเล็กเจ้าค่ะ บ่าวจะไปตาม”
อวี๋กังกำลังทำยาให้เห้อเหลียนเป่ยหมิงอยู่ที่ครัวเล็ก นี่เป็นคำแนะนำของชุยเฒ่า ต้มวันละสามเวลา ครั้งละครึ่งชั่วยาม เริ่มแรกใช้ไฟแรง จากนั้นเคี่ยวอย่างช้าๆ ด้วยไฟอ่อนและใส่บัวหิมะหนึ่งเม็ดทุกๆ ครึ่งเค่อ ทั้งเวลาและแรงไฟต้องควบคุมไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด อวี๋กังไม่ไว้ใจให้คนอื่นทำ คนที่ทำจึงเป็นเขากับอวี๋หวั่น
ยามที่สาวใช้มาเรียก เขาก็ปรุงยาเสร็จแล้ว
เขาได้คำนวณเวลาไว้เสร็จสรรพ เมื่อยากำลังเย็นได้ที่ แม่ทัพใหญ่ก็คงตื่นพอดี
“พี่อวี๋ ท่านแม่ทัพใหญ่ตื่นแล้ว” หญิงรับใช้กล่าว
“หือ? วันนี้ตื่นเช้าถึงเพียงนี้?” อวี๋กังแปลกใจ แต่เมื่อคิดไปคิดมา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างไรก็นอนมาหลายวันแล้ว คาดว่าคงนอนจนอิ่ม เขาจึงตอบหญิงรับใช้ “รู้แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
อวี๋กังยกถ้วยยาเข้าไปในห้องของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
จู่ๆ เช้านี้เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็อยากกินซาลาเปา
อวี๋กังสั่งให้พ่อครัวนึ่งซาลาเปามาเข่งหนึ่ง
“ทานโจ๊กรองท้องสักสองคำก่อน เมื่อดื่มยาแล้ว ไม่นานซาลาเปาก็คงเสร็จพอดี” อวี๋กังกล่าว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพยักหน้ารับชามยาที่อุ่นๆ ดื่มไปเพียงจิบหนึ่ง หญิงสาวคนสนิทของฮูหยินผู้เฒ่าก็เข้ามาด้วยหน้าตาตื่น “ไอ้หยา ท่านแม่ทัพใหญ่ แย่แล้วเจ้าค่ะ! เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงย่นคิ้ว “เกิดเรื่องอันใดถึงได้ตื่นตระหนกเช่นนี้?”
ดีร้ายอย่างไรก็เป็นหญิงรับใช้ส่วนตัวของฮูหยินผู้เฒ่า ท่าทีบุ่มบ่ามเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ? แม้ท้องฟ้าจะถล่มลงมาแล้วอย่างไร? กฎของตระกูลใหญ่ก็ยังต้องมีมิใช่หรือ?
หญิงรับใช้จะไม่รู้ตัวได้อย่างไรว่านางเสียกิริยา? แต่สิ่งที่ฮูหยินผู้เฒ่าทำนั้นน่าตกใจเหลือเกิน นางเกือบคิดว่ากรามของนางหล่นลงไป และเก็บขึ้นมาต่อใหม่อีกครั้ง
“ฮู ฮู ฮู ฮูหยินผู้เฒ่า นาง…”
“แม่ข้าเป็นอะไร?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงถาม “โรคประสาทกำเริบรึ?”
หญิงรับใช้กล่าวด้วยความตกใจ “นางลากบุรุษผู้หนึ่งกลับมาเจ้าค่ะ!”
พรูด—
เห้อเหลียนเป่ยหมิงพ่นยาออกมา
ฮูหยินผู้เฒ่าสติฟั่นเฟือน มักทำเรื่องแปลกๆ เป็นครั้งคราว เห้อเหลียนเป่ยหมิงเคยชินมานานแล้ว ตราบใดที่ไม่ทำร้ายตัวเอง เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ไม่คิดว่าสำคัญมากนัก ทว่าลากบุรุษผู้หนึ่งกลับมา——
ป้ายหลุมศพของบิดาเขากลายเป็นสีเขียว
เรื่องนี้ทำไม่ได้!
“ลากกลับมาจากที่ใด?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงถามอย่างเย็นชา
หญิงรับใช้เนื้อตัวสั่น “ดู ดูเหมือนว่าจะเป็นชีสยาย่วน”
ชีสยาย่วน?
เมื่อคืนอวี๋เซ่าชิงและนางเจียงเข้าจวนมากลางดึกจึงไม่ได้ไปรบกวนคนอื่น เห้อเหลียนเป่ยหมิงกับหญิงรับใช้จึงไม่ทราบว่าที่ชีสยาย่วนมีแขกมา
ชีสยาย่วนมีเจียงไห่และครอบครัวของอาเว่ยอาศัยอยู่ คนหนุ่มพวกนั้นออกไปทำธุระด้านนอก มีเพียงอาม่าชายแก่ที่ยังอยู่ที่เรือน เห้อเหลียนเป่ยหมิงจึงนึกถึงอาม่าไปโดยปริยาย
อาม่าอายุไล่เลี่ยกับฮูหยินผู้เฒ่า อีกทั้งมีรูปลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและมีเสน่ห์ หากฮูหยินผู้เฒ่าจะตกหลุมรักเขา อันที่จริงก็ดูสมเหตุสมผลเช่นกัน
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกำหมัดแน่น
เป็นชายแก่แล้วยังไม่สำเหนียก ที่แท้ก็หว่านล้อมท่านแม่ของเขาอยู่เงียบๆ?!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่สนใจว่าร่างกายยังบาดเจ็บ รีบขึ้นรถเข็นและให้อวี๋กังพาไปที่เรือนสวนอู๋ถงในทันที
หญิงรับใช้ตามมาติดๆ “ฮูหยินผู้เฒ่า…ดูเหมือนนางจะเรียกเขาว่าหนิวตั้น”
อะไรนะ? ยังสวมรอยเป็นท่านพ่อของเขาด้วยรึ?
สารรูปราวกับผีเช่นนั้น เหมือนท่านพ่อของเขาตรงไหน?
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมาถึงนอกห้องของฮูหยินผู้เฒ่า เขาสูดหายใจก่อนจะยื่นกริชในแขนเสื้อให้อวี๋กัง
อวี๋กังงงงวย “ทำอะไรหรือ?”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ากลัวว่าข้าจะห้ามใจฆ่ามันไม่ได้”
อวี๋กัง “…”
ประตูไม่ได้ลงกลอนไว้
รถเข็นของเห้อเหลียนเป่ยหมิงถูกเข็นเข้ามาในห้อง สายตาเย็นชาพลันตกกระทบบุรุษที่ถูกฮูหยินผู้เฒ่าลากเข้ามา และกอดเสาไว้ไม่ยอมปล่อย
ในขณะเดียวกัน บุรุษผู้นั้นก็มองมาที่เขาเช่นกัน
สองสายตาสบประสาน บุรุษร่างใหญ่ทั้งสองต่างตกตะลึง
…………………………………………