หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 240 นางเจียงฆ่าไม่เลี้ยง (1)
อวี๋เซ่าชิงเข้าครัวไปทำเกี๊ยวร้อนๆ มาหนึ่งชาม เมื่อเขายกชามเข้าไปในห้องกลับพบว่านางเจียงไม่อยู่ในห้องแล้ว เดิมทีเขาคิดว่านางเจียงไปเข้าห้องน้ำ แต่รออยู่พักใหญ่ก็ยังไม่เห็นเงาคน จึงคิดว่านางเจียงยังอยู่ในห้องของลูกสาวและลูกเขย
“ท่านแม่ไม่ได้มาที่นี่” ดวงตาเรียวสวยของอวี๋หวั่นเบิกกว้าง
“ข้าจะไปดูที่ห้องของฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อย” อวี๋เซ่าชิงเดินไปยังห้องของฮูหยินผู้เฒ่า
เด็กน้อยทั้งสามกระโดดโลดเต้นอยู่บนเตียง ฮูหยินผู้เฒ่าคอยดูพวกเขา ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้ยินว่าลูกชายมาหา ดวงตาของนางก็พลันเป็นประกาย นางไม่ใช้ไม้เท้า กระวีกระวาดออกไปเปิดประตูให้ลูกชายคนเล็ก
ที่แท้ลูกชายคนเล็กก็มาตามหาภรรยา
ฮูหยินผู้เฒ่าเบ้ปากด้วยความผิดหวัง “ภรรยาเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่”
เด็กน้อยทั้งสามเดินเตาะแตะเข้าไป ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่อวี๋เซ่าชิง
เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กๆ อวี๋เซ่าชิงก็ไม่อยากถามให้มากความ จึงบอกว่า “ท่าน…ท่านพักผ่อนเถิด” แล้วรีบเดินออกไป
อย่างรวดเร็วราวกับกำลังหลบหนี
ทำไมต้องหนี เขาก็บอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะ…เพราะอยู่ๆ ก็มีแม่ จึงรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง
อวี๋เซ่าชิงตามหานางเจียงบริเวณเรือน แต่ก็ไร้ร่องรอยของคน เขานั่งไม่ติดอีกต่อไป
แต่งงานกับนางเจียงมาหลายปี อวี๋เซ่าชิงรู้จักภรรยาของตนดี ภรรยาของตนไม่มีนิสัยหนีออกไปเที่ยวเล่นแต่อย่างใด เขาคิดว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นกับภรรยา แม้ว่าเขาจะไม่ยินดีที่จะเชื่อก็ตาม
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้น ยังหาท่านแม่ไม่เจอหรือ” อวี๋หวั่นสวมเสื้อคลุมเดินเข้ามา เมื่อเห็นอวี๋เซ่าชิงเดินไปมาอยู่ในเรือนด้วยท่าทางกระวนกระวาย จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
อวี๋เซ่าชิงไม่อาจปิดบังความร้อนรน “แม่เจ้าหิวข้าว ข้าจึงไปทำอาหารให้นางกิน เมื่อข้ากลับมาจากห้องครัวก็ไม่เห็นนางแล้ว ข้าคิดว่านางไปห้องพวกเจ้า แต่นางก็ไม่อยู่”
อวี๋หวั่นเรียกจื่อซูและฝูหลิงมา “พวกเจ้าเห็นท่านแม่ของข้าไหม”
ทั้งสองส่ายหน้า
จื่อซูบอกว่า “ข้ากับฝูหลิงจะไปถามพวกนาง”
“ไปถามที” อวี๋หวั่นพยักหน้า
ทั้งสองไปถามสาวใช้ในเรือน ทว่าตั้งแต่นางเจียงกลับเข้าห้องไปพักผ่อน ก็ไม่มีผู้ใดเห็นนางเจียงอีก
นั่นทำให้พวกเขารู้ว่าเกิดเรื่องแล้ว หากนางเจียงเดินออกมาด้วยตนเอง คนในเรือนมีตั้งมากมาย จะไม่มีใครพบนางเชียวหรือ ยิ่งไม่ต้องกล่าวโทษว่าสาวใช้อาวุโสในห้องละเลยหน้าที่ ที่นางไม่เห็นผู้ใดเข้าออก ก็หมายความว่าไม่มีผู้ใดเข้าออกทางประตูใหญ่และประตูด้านหลัง
นางเจียงถูกยอดฝีมือลักพาตัวไป อวี๋หวั่นและอวี๋เซ่าชิงคิดเช่นนี้พร้อมกัน มีเพียงยอดฝีมือเท่านั้นที่จะหลบเลี่ยงสายตาผู้คนเช่นนี้ได้ ทั้งยังพาตัวคนออกจากสวนอูถงไปอย่างไร้สุ้มเสียง
ในเรือนมีคนอยู่ตั้งมาก ยอดฝีมือไม่ลักพาตัวคนอื่น แต่กลับลักพาตัวนางเจียง…
เมื่อเทียบกับเหยื่อคนอื่นแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่ามีฐานะสูงที่สุด ทั้งยังไร้แรงต่อต้าน โอกาสในการลักพาตัวนางมีมากที่สุด และเมื่อลักพาตัวฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว พวกเขาจะมีโอกาสควบคุมจวนตะวันออกได้มากที่สุด ทว่าอวี๋เซ่าชิงยังไม่ยอมรับว่านางเป็นมารดา สถานะของนางในใจอวี๋เซ่าชิงจึงไม่อาจเทียบกับภรรยาของเขาได้
เมื่อคิดเช่นนี้ สองพ่อลูกก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายตั้งใจโจมตีอวี๋เซ่าชิง
อวี๋เซ่าชิงเพิ่งเข้ามาอยู่ในหนานจ้าว ยังไม่ทันได้สร้างความแค้นกับผู้ใด ความเป็นไปได้อย่างเดียวก็คือสถานะและตัวตนของเขากำลังไปขัดขวางเส้นทางของใครบางคนอยู่
อวี๋หวั่นหรี่ตาด้วยความเคลือบแคลงใจ เจ้าแก่นั่น อย่าได้แตะต้องท่านแม่เป็นอันขาด…
“ท่านพ่อ ท่านไปหาท่านลุงใหญ่ก่อน เล่าเรื่องให้เขาฟัง ให้เขาสั่งองครักษ์ในจวนให้ช่วยตามหาท่านแม่”
เมื่อเกี่ยวกับภรรยา อวี๋เซ่าชิงจึงรีบไปโดยไม่ลังเล
อวี๋หวั่นเดินไปยังห้องของตน แล้วบอกกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “มีคนลักพาตัวท่านแม่ไป ท่านนอนไปก่อน”
“เจ้าไม่นอน?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับ
ดวงตาเรียวสวยของอวี๋หวั่นจ้องเยี่ยนจิ่วเฉาเขม็ง “ข้าก็จะไปตามหาท่านแม่น่ะสิ! นางถูกคนลักพาตัวไป เป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้ ข้าเป็นห่วงนาง”
เยี่ยนจิ่วเฉาหลุบตาลง คนที่น่าเป็นห่วงควรจะเป็นเจ้าโง่ที่ลักพาตัวนางมากกว่ากระมัง เขาคงไม่รู้ว่ากำลังนำพาหายนะมาสู่ตนเอง
ราตรีมืดมิด สายลมกรรโชกแรง
รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนผ่านถนนอันเงียบสงัดสายหนึ่ง คนชุดดำบังคับรถม้า สตรีด้านหลังของเขาเงียบงัน ราวกับกำลังหลับใหล
เหอะ ช่างเป็นคนน่าสงสารที่ขู่ง่ายเหลือเกิน กำลังเสียใจที่เข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้กระมัง ใครให้เจ้าเป็นภรรยาของเห้อเหลียนเป่ยอวี้กันละ? ไม่มีผู้ใดโชคร้ายเท่าเจ้าอีกแล้ว
ในรถม้า ดวงตาของ ‘คนน่าสงสาร’ พลันสุกสกาว พยายามระงับความตื่นเต้น นางนั่งในรถอย่างว่าง่าย ว่าง่ายเหลือเกิน
ใช้เวลาเดินทางกว่าหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดรถม้าก็ขับเข้าไปในป่าแห่งหนึ่ง รถม้าขับวนซ้ายเวียนขวาอยู่ครู่หนึ่งจนมาถึงเชิงเขา เชิงเขานี้ดูภายนอกมิได้มีอะไรพิเศษ มีเพียงคนในค่ายหน่วยกล้าตายเท่านั้นที่จะรู้ว่าที่แห่งนี้ถูกอำพรางไว้ที่ใด
“ลงมา” คนชุดดำเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
นางเจียงลงจากรถม้าอย่างเชื่อฟัง
คนชุดดำเห็นว่านางทำตามแต่โดยดี จึงแค่นเสียงขึ้นจมูกด้วยความพอใจ เปิดพุ่มไม้ซึ่งใช้สำหรับอำพราง จากนั้นก็เดินนำเข้าไป
ด้านในเป็นค่ายของหน่วยกล้าตายที่นายท่านรองใหญ่สร้างไว้ ค่ายหน่วยกล้าตายมิได้พบเห็นได้ง่ายในต้าโจว แต่ในหนานจ้าวมีอยู่ดารดาษ ตระกูลใหญ่บางตระกูลจะชุบเลี้ยงหน่วยกล้าตายที่ซื่อสัตย์เอาไว้ เพียงแต่ว่า หน่วยกล้าตายของสกุลใหญ่ทั่วไปจำกัดจำนวนไว้ไม่เกินยี่สิบคน มิเช่นนั้นหากถูกพบเข้าก็จะต้องรับโทษสถานหนัก
ตำแหน่งของเห้อเหลียนเป่ยหมิงมีสถานะพิเศษ มีหน่วยกล้าตายได้ทั้งหมดสามสิบคน เขาแบ่งให้จวนตะวันตกสิบคน แต่ใครจะไปคาดคิดว่า จวนตะวันตกจะลอบสร้างค่ายหน่วยกล้าตายที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้
ค่ายหน่วยกล้าตายเป็นค่ายเฉกเช่นชื่อของมัน ที่สำคัญก็คือมีหน่วยกล้าตายจำนวนมาก มีตั้งแต่หน่วยกล้าตายระดับเริ่มต้น หน่วยกล้าตายหน้ากากเงิน ไปจนถึงหน่วยกล้าตายหน้ากากทองซึ่งหาพบได้ยากยิ่งในยุทธภพ ส่วนมากพวกเขาเป็นหน่วยกล้าตายมามากกว่าสองปี ต่ำกว่าสองปีมักจะทนการฝึกของหน่วยกล้าตายไม่ไหว บ้างก็ตายไป หรือที่หนีไปก็จะถูกจับกลับมาสังหารเสีย
นอกจากหน่วยกล้าตายแล้ว ด้านในก็ยังมีปรมาจารย์ด้านยาพิษสำหรับควบคุมหน่วยกล้าตายอยู่หลายคน
แน่นอนว่าในค่ายยังมีของล้ำค่าอื่นๆ อีกไม่น้อย ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าเป็นรังเก่าของนายท่านรองใหญ่ได้อย่างไร?
คนชุดดำเป็นหน่วยกล้าตายคนสนิทของนายท่านรองใหญ่ หลายปีมานี้ติดตามเขาไปทุกที่ ตำแหน่งในค่ายหน่วยกล้าตายก็นับว่าสูงพอสมควร เขาเดินไปที่ใด ก็มีหน่วยกล้าตายจำนวนไม่น้อยทำความเคารพ
พวกเขามองไปยังสตรีท่าทางอ่อนแอซึ่งเดินตามเขามา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในใจพลันรู้สึกไม่ชอบมาพากล
คนชุดดำเดินมาถึงห้องห้องหนึ่ง “วันนี้เจ้าอยู่ที่นี่ ภายนอกมีแต่หน่วยกล้าตาย ข้าขอแนะนำว่าอย่าออกไป ไม่เช่นนั้นเจ้าตายด้วยน้ำมือผู้ใดละก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
พูดจบ เขาก็ปล่อยนางเจียงเอาไว้ในห้อง ส่วนตนก็ลงกลอนประตู
เหยื่ออย่างนาง หากไม่ขังแยกไว้ให้ดี ก็อาจถูกหน่วยกล้าตายที่บ้าคลั่งฉีกเป็นชิ้นๆ
คนชุดดำเดินออกมา เพื่อไปรายงานต่อนายท่านรองใหญ่
ทันทีที่เขาจากไป กลอนประตูก็เปิดออก…
ทางจวนตะวันออกนั้น เมื่อแน่ใจแล้วว่านางเจียงถูกลักพาตัวไป ก็ปิดเรื่องนี้กับฮูหยินผู้เฒ่า และให้องครักษ์ออกตามหานางเจียง
เจ้าจิ้งจอกหิมะน้อยตามกลิ่นไป ทว่าเมื่อนางเจียงขึ้นรถม้า กลิ่นของนางก็เลือนหายไปเช่นกัน
พวกเขายืนอยู่บนถนน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพาตัวนางเจียงไปที่ใด
นอกจากเยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว เห้อเหลียนเป่ยหมิง อวี๋เซ่าชิงและอวี๋หวั่นล้วนแต่กระวนกระวายใจ ด้วยกลัวว่าสตรีอ่อนแออย่างนางเจียงจะได้รับความทุกข์ทรมานจากอีกฝ่าย
“พวกเราแยกกันตามหา” เห้อเหลียนเป่ยหมิงบอก
อวี๋หวั่นเห็นด้วย “ท่านลุงใหญ่กับท่านพ่อไปทางใต้ ข้ากับเยี่ยนจิ่วเฉาจะไปทางเหนือ”
“ข้าจะให้หน่วยกล้าตายกับเจ้าไว้” เห้อเหลียนเป่ยหมิงและอวี๋เซ่าชิงพาองครักษ์ของจวนไป
อวี๋เซ่าชิงไม่มีความคิดเห็นต่อการวางแผนเช่นนี้ ภรรยาของเขาสำคัญ ลูกสาวก็สำคัญ เขาย่อมหวังว่าหน่วยกล้าตายที่แข็งแกร่งจะติดตามลูกสาวของเขาไป ส่วนภรรยานั้น หากเขาตามหานางเจอ เขาก็จะไปช่วยนางออกมาได้
อวี๋หวั่นกลับยังไม่วางใจลุงใหญ่กับท่านพ่อ เยี่ยนจิ่วเฉาดึงมือของเธอ “ไปเถอะ คงไม่เกิดเรื่องหรอก”
หากมีเรื่องก็คงไม่ใช่พวกเขาสองคน
“ไปเถอะ” อวี๋เซ่าชิงโบกมือให้ลูกสาว
ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาบอกรักลููก ตามหาคนสำคัญกว่า เมื่อคิดว่าท่านแม่ผู้อ่อนแอกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกโจรใจโฉด อวี๋หวั่นก็ไม่รอช้ารีบรุดออกไป
อวี๋หวั่นขึ้นไปบนรถม้า เมื่อหันกลับไปก็เห็นว่าเยี่ยนจิ่วเฉากำลังเดินเอ้อระเหย ไม่รีบร้อนแต่อย่างใด จึงอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เยี่ยนจิ่วเฉาทำไมท่านไม่รีบละ”
เยี่ยนจิ่วเฉาชะงักไปครู่หนึ่ง “โอ้ ข้ารีบอยู่นี่ไง”
อวี๋หวั่น “…”
สีหน้าของท่านไม่ใช่อย่างนั้นเลย…
“ข้าแค่คิดว่าสวรรค์ย่อมคุ้มครองคนดี นางไม่เป็นไรหรอก” เยี่ยนจิ่วเฉาตบไหล่ของเธอเบาๆ
อวี๋หวั่น “…”
เธอคิดไปเองหรือเปล่า เธอรู้สึกว่าหมอนี่ไม่ได้จะไปตามหาท่านแม่ของเธอ แต่อยากไปดูเรื่องสนุกมากกว่า…
ทั้งสองนั่งรถม้าขึ้นไปทางทิศเหนือ ยิ่งไปทางทิศเหนือมากเท่าไรก็ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางของเมืองหลวงมากเท่านั้น ที่นี่ต่างกับบริเวณที่พวกเขาอาศัยอยู่ราวกับฟ้ากับดิน แสงไฟสว่างไสว ถนนหนทางรถราแน่นขนัด ผู้คนเดินเบียดกันไหล่ชนไหล่ รถม้าเคลื่อนไปได้เพียงครึ่งเดียวก็ไม่อาจไปต่อได้
ถ้าหากเจ้าโจรนั่นมาตามเส้นทางนี้ เช่นนั้นรถม้าก็คงจะเคลื่อนไปได้ยากเช่นกัน
เขาจะทำอย่างไร?
ลงจากรถม้า หรือว่าเปลี่ยนไปเข้าทางตรอกซอกซอย?
…………………………