หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 257 พี่น้องพบหน้า
แม้ว่าอวี๋หวั่นจะไม่มีความทรงจำของเมื่อก่อน แต่หลังจากอยู่ในหมู่บ้านเหลียนฮวามานาน เธอก็ได้ยินเรื่องราวมามากพอสมควร ตัวอย่างเช่นเดิมทีเธอไม่รู้หนังสือ หลังจากหายตัวไปและกลับมาเธอก็รู้หนังสือ เพราะฉะนั้นเธอจึงพอจะเดาได้ว่าในระยะเวลาหนึ่งปีที่หายตัวไป ‘ตนเอง’ เผชิญกับอะไรบ้าง
แต่สวี่ส้าวเคยขู่เธอเอาไว้ ไม่อยากรู้บ้างหรือว่าหลายเดือนนั้นเธอไปอยู่กับผู้ใดมา?
หรือว่า…จะเป็นองค์ชายน้อยแห่งจวนประมุขหญิง?
อวี๋หวั่นมองไปยังงานเขียนพู่กันซึ่งจ่ายเงินซื้อไปในราคาหนึ่งตำลึง จากนั้นก็มองไปยังตัวหนังสือบนพื้น และพลันรู้สึกว่าบนโลกนี้คงไม่มีหายนะที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกแล้ว
อวี๋หวั่นเดินงุ่นง่านกลับจวนสกุลเห้อเหลียน เธอคิดจะเล่าเรื่องนี้ให้เยี่ยนจิ่วเฉาฟัง ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่ก้าวเข้าประตูไป กลับพบว่าเยี่ยนจิ่วเฉาไม่อยู่ แม้แต่บ่าวก็ยังไม่รู้ว่าเขาไปไหน
“คุณชายใหญ่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ไม่ให้พวกเราติดตามไปด้วยเจ้าค่ะ” จื่อซูตอบด้วยความละอายใจ
เพราะฉะนั้นการที่ลูกๆ ทั้งสามมักจะวิ่งหายไปเป็นประจำนั้นก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านพ่อของพวกเขานี่เอง ทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกผิดเล็กน้อยกับการลงโทษลูกๆ โดยให้พวกเขาหันหน้าเข้ากำแพงทบทวนตนเอง อันที่จริงเธอควรจะลงโทษคนพ่อเสียก่อน
……
แม่ลูกไม่พบกันนาน ทั้งคู่ต่างมีเรื่องให้สนทนากันมากเหลือเกิน กระทั่งองค์หญิงน้อยไปหาของขวัญมาให้พี่ชายได้แล้ว ทั้งสองก็ยังพูดคุยกันไม่จบ
หลังจากทั้งสามร่วมโต๊ะกินอาหารค่ำด้วยกัน หนานกงหลีก็พาน้องสาวซึ่งยังไม่อยากแยกจากพี่ชายไปเข้านอน ส่วนตนก็กลับไปหามารดา
แม้จะดึกแล้ว แต่ประมุขหญิงก็ยังแต่งกายเรียบร้อย แม้แต่ปิ่นปักผมก็ยังไม่มีบิดเบี้ยว
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ พยักเพยิดให้นางกำนัลออกไป จากนั้นก็พูดกับหนานกงหลีว่า “ดูเหมือนว่าเจ้ามีเรื่องอยากพูด ประจวบเหมาะพอดี ข้าก็เพิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เมื่อครู่ลืมบอกเจ้าไป”
“เรื่องอะไรหรือขอรับท่านแม่” หนานกงหลีเดินเข้าห้องมา และไม่ลืมที่จะปิดประตู
ประมุขหญิงขมวดคิ้ว “ข้าเจอเด็กในตอนนั้นแล้ว ข้าไม่มั่นใจว่าเป็นเพียงคนหน้าเหมือนกัน หรือว่าเป็นตัวเขาเอง เขาหน้าตาเหมือนกับ…ท่านพ่อของเจ้ามาก”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ ประมุขหญิงก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิจฉาหรือด้วยเหตุใด
หนานกงหลีมองไปยังมารดาอย่างปราศจากความร้อนรน นั่งลงตรงที่เก้าอี้อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ
“เช่นนั้นหรือ?” เขาพึมพำ
เขาเป็นลูกของท่านพ่อ แต่ก็ยังหน้าตาไม่เหมือนกับท่านพ่อ
ประมุขหญิงกดหว่างคิ้ว กล่าวว่า “เขาเป็นคุณชายใหญ่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาในสกุลเห้อเหลียน แต่ข้าคิดว่าไม่ใช่ ข้าส่งคนไปสืบหาร่องรอยของเขาที่เมืองเยี่ยน แต่อยู่ๆ สองคนนั้นก็หายตัวไป”
“ตายแล้ว” หนานกงหลีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ประมุขหญิงชะงักไป “ตายแล้ว? เป็นไปได้อย่างไร? คนหนึ่งเป็นหน่วยสอดแนมความสามารถสูงไร้ผู้ใดเทียบ อีกคนหนึ่งเป็นหน่วยกล้าตายหน้ากากทอง ตอนที่พวกเขาออกจากเมืองหลวงข้ายังได้รับสาส์นจากนกพิราบของพวกเขาว่าออกจากซีเฉิงแล้ว หรือว่าต้าโจวจะมียอดฝีมือที่เก่งกาจยิ่งกว่า?”
สำหรับเรื่องนี้ ประมุขหญิงชักเริ่มสงสัยขึ้นมาแล้ว
หนานกงหลีมองไปยังเชิงเทียนฝั่งตรงข้าม “เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน ใต้หล้านี้ยังมียอดฝีมือที่พวกเราคาดไม่ถึงอีกมาก”
ไม่มีผู้ใดรู้จักบุตรดีเท่ามารดา เมื่อได้ยินสิ่งที่หนานกงหลีบอก ประมุขหญิงก็เบือนหน้าไป “สองปีมานี้หลีเอ๋อร์ได้ประสบการณ์ใดมาบ้าง”
หนานกงหลียิ้มน้อยๆ “ประสบการณ์ไม่จำเป็นต้องพูดถึง แต่ยอดฝีมือข้าได้มาคนหนึ่งขอรับ ข้าจะแนะนำให้ท่านแม่รู้จักในโอกาสเหมาะสม”
นางเป็นถึงประมุขหญิง แต่ไหนแต่ไรมาผู้อื่นต้องเป็นฝ่ายรอนาง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นพูด คงจะถูกจับไปลงโทษตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าหนานกงหลีเป็นโอรสของนาง นางย่อมต้องไว้หน้าเขา
“ได้ แม่จะรอให้หลีเอ๋อร์จัดการ” นางบอก “ใช่สิ หลีเอ๋อร์มีเรื่องอะไรจะพูดกับแม่หรือ?”
หนานกงหลีบอกว่า “ข้าจับมือสังหารคนหนึ่งได้ ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ อีกครู่ข้าจะให้ท่านแม่สอบสวนเขา เพื่อจะได้ตามหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ได้แต่เนิ่นๆ”
ประมุขหญิงตอบว่า “เจ้าเดินทางมาเหนื่อย พรุ่งนี้ค่อยว่ากันเถิด อย่างไรเสียก็จับมาแล้ว คงไม่หนีไปง่ายๆ ไม่ต้องรีบร้อนสอบสวนคืนนี้”
หนานกงหลียิ้มน้อยๆ “ลูกไม่เหนื่อย ท่านแม่ไปพักก่อนเถิดขอรับ รอข้อมูลจากลูก”
“เจ้าลูกคนนี้…” ประมุขหญิงลูบใบหน้าของเขาด้วยความเอ็นดู แล้วปล่อยให้บุตรชายเดินออกไป
หลังจากหนานกงหลีออกมาจากเรือนของประมุขหญิงก็ยังมิได้รีบร้อนออกจากจวน แต่เดินมายังมุมเงียบของเรือน รถม้าสีดำสนิทซึ่งจอดอยู่นอกเรือน คนในรถม้าก็ไม่อยู่เสียแล้ว
องครักษ์ซึ่งประจำการอยู่เห็นหนานกงหลี ก็รีบเดินก้าวมาข้างหน้าและคำนับครั้งหนึ่ง “องค์ชาย”
“เขายังดีอยู่?” หนานกงหลีถาม
องครักษ์ตอบว่า “ขอรับ องค์ชาย”
หนานกงหลีกล่าวว่า “อย่าให้ใครไปรบกวนเขา และอย่าให้เขาไปรบกวนใคร”
องครักษ์อึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง คำสั่งแรกยังทำได้ ทว่าคำสั่งที่สองเห็นจะยาก แต่ในเมื่อเจ้านายสั่ง เขาย่อมจำต้องปฏิบัติตาม จึงทำได้เพียงตอบไปว่า “ขอรับ องค์ชาย”
หนานกงหลียืนอยู่ที่เดิมพักหนึ่งและพาหน่วยกล้าตายออกจากจวนไป
รถม้าเคลื่อนมายังสำนักราชครู
หนานกงหลีต่างจากราชบุตรเขยผู้ซึ่งไม่นิยมความฟุ้งเฟ้อ เขาไม่รังเกียจประโยชน์จากฐานะของตน ในเมื่อเขาเป็นถึงหลานชายคนโตขององค์ประมุข หลังจากนี้ก็มีโอกาสได้เป็นองค์ชายรัชทายาท เช่นนั้นจะช้าหรือเร็วย่อมต้องได้รับการยอมรับและเทิดทูนจากอาณาประชาราษฎร์อยู่ดี
เขามิได้ให้สารถีนำรถผ่านตรอกเล็ก แต่กลับนั่งรถม้าของจวนประมุขหญิงผ่านถนนใหญ่ซึ่งเจริญและคึกคักที่สุด
เมืองหลวงช่างดาษดื่นตระการตา
เมื่อก่อน เมื่อรถม้าของเขาเคลื่อนผ่านถนนใหญ่ ผู้คนมักจะจดจำได้ง่าย และเขาก็มักจะตอบรับด้วยมารยาท ที่คือธรรมเนียมของราชวงศ์ และในฐานะที่เขาได้รับการฟูมฟักเลี้ยงดูมาเยี่ยงหลานชายคนโตขององค์ประมุข ทว่าในวันนี้กลับแตกต่างออกไป
วันนี้บนถนนนั้นเงียบสงัด ไม่รู้ว่าผู้คนหายไปไหนกันหมด
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจดังมาจากท้ายตรอกด้านขวา จากนั้นก็ตามมาด้วยความอลหม่าน
หนานกงหลีแง้มผ้าม่าน “เจ้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ขอรับ!” สารถีจอดรถม้าไว้ข้างทาง แล้วเดินเข้าตรอกไปยังจุดที่ผู้คนไปรวมกัน
ไม่นาน สารถีก็กลับมารายงานด้วยสีหน้าประหลาดว่า “คนเยอะเหลือเกินขอรับ ข้ามองเห็นไม่ชัด ได้ยินเพียงว่ามีคนกระโดดแม่น้ำ”
แค่กระโดดน้ำ ถึงกับดึงดูดผู้คนทั้งท้องถนนไปได้มากเพียงนี้เชียวหรือ?
หนานกงหลีถามตนเองว่าตัวเขาสนใจเรื่องพรรค์นี้หรือ แต่ก็อดรู้สึกสงสัยไม่ได้ เขาจึงเดินลงจากรถม้า และให้หน่วยกล้าตายพาข้ามฝูงชนซึ่งอยู่ในตรอกไปยังจุดเกิดเหตุ
ตรอกนั้นเป็นถนนเส้นเลียบแม่น้ำ ปกติแล้วผู้คนส่วนมากมักจะไปรวมกันที่ถนนใหญ่ ถนนเส้นนี้ไม่ค่อยมีคนผ่านไปมาเท่าไรนัก ทว่าวันนี้ผู้คนกลับแน่นขนัดเหลือเกิน
“ห้ามทำร้ายคน” หนานกงหลีออกคำสั่ง
หน่วยกล้าตายรับคำสั่ง จึงเบาแรงลง ค่อยๆ ฝ่าฝูงชนอันเบียดเสียด พร้อมทั้งอารักขาหนานกงหลีเข้าไปด้านหน้า เขาเห็นบุรุษสวมอาภรณ์สีขาว ยืนหันข้างให้ผู้คนอยู่บนสะพานซึ่งพาดขวางแม่น้ำสายหนึ่ง ราวกับเป็นแสงจันทร์นวลเด่นท่ามกลางราตรี
หนานกงหลีเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดผู้คนจึงถูกดึงดูดมาที่นี่ พวกเขาไม่ได้มาดูคนผู้นี้กระโดดน้ำ หากแต่มาดูเขาคนที่จะกระโดดน้ำโดยเฉพาะ
ที่กล่าวว่า ‘งามดุจหยก ใต้หล้าหาผู้ใดเทียบเทียม’ นั้นคงไม่เพียงพอ คนผู้นี้คู่ควรกับสรวงสวรรค์เสียมากกว่า
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
“นั่นใครน่ะ?”
“องค์ชายน้อยหรือเปล่า?”
งดงามปานนี้ นอกจากองค์ชายน้อยแห่งจวนประมุขหญิงผู้ซึ่งถูกเล่าขานว่างามเหนือต่งเซียนเอ๋อร์แล้วจะเป็นใคร
ไปได้?
หนานกงหลีกลับรู้ว่านั่นไม่ใช่ตนเอง
สายตาของหนานกงหลีไปหยุดบนใบหน้าของคนผู้นั้น แม้ว่าจะเห็นเพียงด้านข้าง แต่ก็มากพอที่จะทำให้เขาจดจำได้
นี่คือใบหน้าที่เหมือนกับราชบุตรเขย ไม่คิดเลยว่าท่านแม่เพิ่งกล่าวถึงเมื่อครู่ ตนเองก็ได้มาพบ นี่เรียกว่าเป็นโชคชะตาได้หรือไม่?
คนผู้นี้หรือที่กระตุ้นความทรงจำของท่านพ่อ?
“องค์ชายน้อย” หน่วยกล้าตายสัมผัสได้ถึงจิตสังหารในดวงตาของเจ้านาย
เขายอมสังหารพลาดหนึ่งพันคน แต่ไม่มีทางปล่อยให้คนผู้นี้หลุดมือไป จะเป็นอ๋องเมืองเยี่ยนหรือไม่เขาไม่สน ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้ท่านพ่อพบหน้าเด็ดขาด ไม่มีวิธีใดได้ผลไปกว่าการทิ้งศพเขาลงแม่น้ำอีกแล้ว
เขาก็อยากฆ่าตัวตายมิใช่หรือ?
ตนก็จะสงเคราะห์อยู่นี่ไง
หนานกงหลีส่งสายตาให้หน่วยกล้าตายข้างตน
หน่วยกล้าตายเข้าใจทันที เขาถอยออกจากฝูงชน ทันใดนั้นเองด้านหลังก็มีเสียงร้องว่า “ฆ่าคนแล้ว! ฆ่าคนแล้ว หนีเร็ววววว”
ผู้คนต่างตกตะลึงพรึงเพริด ความแออัดเบียดเสียดก่อนหน้านี้พลันกระจัดกระจาย!
หน่วยกล้าตายสวมหน้ากากคนหนึ่งถือมีดพุ่งใส่ฝูงชน และหน่วยกล้าตายอีกสองคนเดินตรงเข้าไปหาเยี่ยนจิ่วเฉา
เมื่อสุนทรีย์ในการชมปลาแหวกว่ายในสายน้ำถูกขัดจังหวะ คิ้วโก่งได้รูปของเยี่ยนจิ่วเฉาก็ขมวดเล็กน้อย
หน่วยกล้าตายคิดว่าเขากำลังเดือดดาล ก็แค่คนธรรมดาไร้กำลังภายใน หน่วยกล้าตายหน้ากากทองอย่างพวกเขาผลักคนผู้นี้ตกน้ำนั่นง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ
ทั้งสองรุดไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา
“เฮ้อ น่ารำคาญชะมัด” เยี่ยนจิ่วเฉาจับกล่องอาวุธลับในมือ
เมื่อกล่องอาวุธลับถูกหยิบออกมาใช้ ย่อมมีการนองเลือด
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ชอบฆ่าคน อย่างน้อยก็ไม่ชอบฆ่าด้วยตนเอง กลิ่นคาวของเลือดสดชวนให้เขาอยากอาเจียน
แต่ก็ช่วยไม่ได้ ไม่ฆ่าพวกเขา แล้วจะปล่อยให้ตนเองถูกพวกเขาฆ่าหรือ?
ขณะที่เยี่ยนจิ่วเฉากำลังจะใช้อาวุธลับนั้นเอง เงาของของร่างกำยำล่ำสันก็พุ่งลงมาจากฟ้า คนผู้นั้นคว้ามือของเยี่ยนจิ่วเฉา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงซึ่งใกล้เคียงกับคำว่าอ่อนโยน “เรื่องฆ่าคน ให้ข้าน้อยจัดการเอง”
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปยังร่างของอิ่งสือซันซึ่งโผล่มากลางอากาศ “เจ้ากลับมาแล้ว”
“ขอรับ ข้ากลับมาแล้ว” อิ่งสือซันชักกระบี่ออกมา ใช้ร่างของตนกำบังเยี่ยนจิ่วเฉา สายตาเย็นเยียบของเขามองไปยังหน่วยกล้าตายตรงหน้า แล้วกล่าวเสียงค่อยว่า “คุณชายไปหาที่นั่งก่อนขอรับ ครู่เดียวก็เสร็จแล้ว”
“อืม” เยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปยังบันไดสะพานอย่างไม่รีบร้อน เขานั่งลง เอนกายพิงกับเสา
ทั้งสองฝ่ายประมือกันอย่างดุเดือด ครึ่งปีก่อนหน้านี้ อิ่งสือซันสู้ไม่ได้แม้แต่หน่วยกล้าตายหน้ากากเงิน ผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน วรยุทธ์ของเขาพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด
หน่วยกล้าตายตกใจ อีกฝ่ายเป็นหน่วยกล้าตายเพียงกึ่งเดียว หากอยู่ในค่ายหน่วยกล้าตายก็เป็นได้แค่สินค้าด้อยมาตรฐาน ทว่าสินค้าด้อยมาตรฐานชิ้นนี้กลับแข็งแกร่งจนพวกเขาไร้หนทางจะต้านทาน เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หน่วยกล้าตายซึ่งเดิมทีควรจะผลักเยี่ยนจิ่วเฉาตกน้ำ บัดนี้ได้ถูกอิ่งสือซันแทงปลิดขั้วหัวใจและถีบตกน้ำไปเสียอย่างนั้น
ไม่ไกลออกไป หนานกงหลีซึ่งเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็หรี่ตาลงเล็กน้อย
อิ่งสือซันเช็ดเลือดสดบนกระบี่ เมื่อไม่ได้กลิ่นคาวเลือดแล้วจึงเดินไปหาเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาเหนื่อยแล้ว เขานั่งพิงเสาและหลับไป
อิ่งสือซันไม่ได้ปลุกเขา เขาค้อมตัวลง อุ้มเยี่ยนจิ่วเฉาขึ้นมา
…………………………….