หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 263 เด็กน้อยผู้ปราดเปรื่อง
เมื่ออวี๋หวั่นกลับเรือนไป ก็พบว่าขวดนมหายไปใบหนึ่ง คงจะหล่นอยู่ระหว่างทาง ก็แค่ขวดนมหนังแพะขวดเดียว หายไปก็ทำใหม่ได้ ตัวคนไม่เป็นไรดีแล้ว
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เด็กน้อยแอบออกจากจวน ทั้งยังขึ้นไปบนรถม้า อวี๋หวั่นก็รู้สึกว่าเด็กทั้งสามยังไม่หลาบจำ วันนี้พวกเขาหลับไปแล้ว เห็นทีคงไม่สะดวก พรุ่งนี้ค่อยจัดการทีเดียวก็แล้วกัน!
เพื่อที่จะไม่ให้ตนเองลืม อวี๋หวั่นถึงกับหยิบไม้ขนไก่ที่ตนทำขึ้นตอนว่าง วางไว้บนเก้าอี้ข้างเตียง ตนลืมตาตื่นขึ้นมาก็จะเห็นทันที
อวี๋หวั่นเห็นเด็กน้อยนอนแอ้งแม้งหลับอย่างสบายอารมณ์ ก็จิ้มศีรษะน้อยๆ แล้วบอกว่า “ให้พวกเจ้านอนสบายอีกสักคืนก็แล้วกัน”
เด็กทั้งสามได้นอนเต็มอิ่ม ฟ้ายังไม่สางก็ตื่นนอนแล้ว พวกเขาหาวหวอดอยู่บนที่นอน บิดขี้เกียจอีกเล็กน้อย วันอันแสนมีความสุขได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว กระนั้นเมื่อพวกเขาหันไป ก็เห็นไม้ปัดขนไก่วางอยู่บนเก้าอี้
ไอ้หยาาาา!
ทั้งสามคนสะดุ้งโหยงในทันใด!
จากนั้นเด็กน้อยทั้งสามกลิ้งกลุกๆ ลงจากเตียง แล้วกระวีกระวาดออกจากห้องไป!
ปกติแล้วอวี๋หวั่นไม่ค่อยได้ทำตามธรรมเนียมเท่าไรนัก อย่างไรเสีย ‘แม่สามี’ แท้จริงแล้วก็คือท่านแม่ของเธอ และท่านแม่ก็ตื่นสายกว่าเธอเสียอีก ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็อยากเล่นกับเด็กๆ ไม่ได้มาจ้ำจี้จ้ำไชเธอ เธอจึงเคยชินกับการนอนจนอิ่มและตื่นเอง
เมื่ออวี๋หวั่นตื่นนอน เด็กทั้งสามและเยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่อยู่แล้ว
วันนี้ไม่กอดกับหอมแล้วหรือ?
อวี๋หวั่นมองไปยังไม้ปัดขนไก่ซึ่งทอประกายอยู่บนโต๊ะ เธอหรี่ตาเล็กน้อย
อวี๋หวั่นแต่งตัวเสร็จ เก็บของอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ถือไม้ปัดขนไก่เดินไปหาเจ้าเด็กทั้งสาม
ถ้าไม่อยู่ในห้องของอวี๋เซ่าชิงและนางเจียง ก็ต้องอยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่บนเก้าอี้ เด็กทั้งสามยกม้านั่งเตี้ยมานั่งข้างนาง พวกเขาจับหนังสือวางไว้บนตัก ท่องหนังสือไป
โยกศีรษะไปมา
“คนเกิดมา จิตใจดี”
เป็นเสียงของเสี่ยวเป่า
“จิตใจคล้าย นิสัยต่าง”
เป็นเสียงของเอ้อร์เป่า
“…”
ต้าเป่าโยกศีรษะแต่ไร้เสียง
สาวใช้ในห้องมองเด็กน้อยน่ารักอย่างมีความสุข ยังไม่ถึงสามขวบเต็ม แต่ว่านอนสอนง่ายและเฉลียวฉลาดเช่นนี้ ช่างสงบเสงี่ยมและรู้ความ!
เด็กคนอื่นเล่นเศษดินเศษหินบนพื้น แต่คุณชายน้อยทั้งสามกลับเริ่มเรียนหนังสือแล้ว!
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ คุณชายน้อยอ่านหนังสือเก่งจริงๆ เจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทของฮูหยินกระซิบบอก!
ฮูหยินผู้เฒ่าดีใจจนหุบยิ้มไม่อยู่ พร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ “เหลนของข้า ต้องอ่านหนังสือเก่งอยู่แล้ว!”
ทั้งสามอ่านจบหนึ่งหน้า ก็มองไปยังฮูหยินผู้เฒ่าอย่างบ้องแบ๊ว
“ย่าทวด พวกข้าอ่านเก่งไหม?” เสี่ยวเป่าถามอย่างออดอ้อน
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มจนตาหยี “เก่ง! เก่ง! เก่ง! เก่งมาก!”
“เช่นนั้นพวกข้าจะมาอ่านให้ย่าทวดฟังทุกวัน” เอ้อร์เป่าพูดอย่างว่าง่าย
“ไอ้หยา!” ฮูหยินผู้เฒ่าใจแทบละลาย อดไม่ได้ที่จะกอดเด็กน้อยทั้งสาม ไม่อยากปล่อยไปไหน!
“ฮูหยินน้อย!” สาวใช้คนสนิทเห็นอวี๋หวั่นที่ปากประตู ก็คุกเข่าคำนับ
ฮูหยินผู้เฒ่ามองตามไป
อวี๋หวั่นซ่อนไม้ปัดขนไก่ไว้ด้านหลัง แสยะยิ้ม เผยให้เห็นฟันซี่ขาว “อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านย่า!”
หลานสะใภ้อัปลักษณ์ของนางมาอีกแล้ว…
ฮูหยินผู้เฒ่าเบ้ปาก แล้วเรียกอวี๋หวั่นเข้ามาในห้อง
อวี๋หวั่นกำไม้ปัดขนไก่ไว้ แล้วแสร้งยิ้ม “ข้าไม่เข้าไปเจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับลูกๆ สักหน่อย”
เด็กน้อยทั้งสามมองอวี๋หวั่นอย่างทำอะไรไม่ถูก
เสี่ยวเป่ายักไหล่ “แต่ว่าท่านแม่ พวกข้ากำลังอ่านหนังสือให้ย่าทวดฟัง อ่านเสร็จก็ต้องทุบขาด้วย”
ทันทีที่เขาพูดจบ ต้าเป่าและเอ้อร์เป่าก็เดินไปข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมกัน ยื่นกำปั้นน้อยๆ ออกมา แล้วเริ่มทุบขาให้ฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าเด็กน้อยทั้งสามกตัญญู นางก็มีความสุขจนยิ้มร่า “เหลนของทวดเก่งจริงๆ!”
อวี๋หวั่นกัดฟันกรอด
เจ้าเด็กแสบ ใช้ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นเกราะกำบัง ไม่รู้ว่าใครสั่งใครสอน!
ขณะที่กำลังใช้ความคิด เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็เข็นรถมา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “อาหวั่น เมื่อวานเจ้าออกจากจวนไปรึ? ประเดี๋ยวไปหาข้าที่ห้องหนังสือด้วย”
ดวงตาเรียวของอวี๋หวั่นเบิกโพลง ขาข้างหนึ่งก้าวข้ามธรณีประตู “ไม่ได้นะเจ้าคะท่านลุงใหญ่! ข้ามาหาท่านย่า ประเดี๋ยวจะไปเดินในสวนเป็นเพื่อนท่านย่าเจ้าค่ะ!”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองอวี๋หวั่น จากนั้นก็มองไปยังฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งกำลังมีความสุข จึงดันรถเข็นของตนออกไป
อวี๋หวั่นปาดเม็ดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก เฮ้ออ รอดตัวไป!
……
อาเว่ยกลับมาอย่างปลอดภัยพร้อมกับกุญแจ อวี๋หวั่นจึงถือกล่องใบเล็กไปยังชีสยาย่วน
อาเว่ยส่งกุญแจให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นใส่ลูกกุญแจเข้าไปแล้วค่อยๆ หมุน เมื่อได้ยินเสียง ‘แกร็ก’ กล่องก็เปิดออก
มีพลังพุ่งออกมาจากกล่อง ทุกคนตรงนั้นล้วนแต่รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง ของบางอย่างต่อให้ไม่มีหลักฐาน ก็ยังใช้สายตายืนยันได้ว่ามันคือของจริง
บนกล่องมีจดหมายสีเหลืองซีด จดหมายนั้นแลดูคล้ายกับว่าจะใช้ขี้ผึ้งปิดผนึกเอาไว้
อวี๋หวั่นมองไปยังอาม่า อาม่าพยักหน้า อวี๋หวั่นจึงหยิบจดหมายออกมา
เจียงไห่ อาเว่ย และอีกสองคนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม พวกเขาจับจ้องตาไม่กะพริบ
อวี๋หวั่นแกะขี้ผึ้งบนจดหมายออก เผยให้เห็นกระดาษหยาบด้านใน ของโบราณเช่นนี้มักเป็นของล้ำค่า อวี๋หวั่นค่อยๆ พลิกดู จากนั้นก็ร้อง ‘อ๋า’ ด้วยความตกใจ
“ทำไมหรือ?” ชิงเหยียนเอ่ยถาม
อวี๋หวั่นผลักจดหมายไปกลางโต๊ะ “พวกเจ้าดู”
ทุกคนจับจ้องไปยังของบนโต๊ะ
อะไรกันเนี่ย?
ไม่มีตัวหนังสือ!
ชิงเหยียนหยิบจดหมายมา พลิกตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย ส่องกับแสงทั้งซ้ายทั้งขวา หมุนไปหมุนมาพร้อมกับกล่าวว่า “ลงแรงไปตั้งมากจนเกือบไม่รอดกลับมา แต่สุดท้ายกลับขโมยของปลอมมาเนี่ยนะ!”
“ไม่ใช่ของปลอม มันคือคัมภีร์สวรรค์ไร้อักษร” อาม่าบอก
“คัมภีร์สวรรค์ไร้อักษรคืออะไรหรือ?” อวี๋หวั่นถามด้วยความมึนงง
“ที่แท้ก็เป็นตำราเคล็ดลับวิชายุทธ์ ” เจียงไห่บอก “มีเพียงผู้บรรลุของสำนักนี้เท่านั้นที่จะสามารถอ่านตัวหนังสือในคัมภีร์สวรรค์ได้ ภายหลังก็มีผู้ประดิษฐ์อักษรลักษณะคล้ายกันขึ้น สามารถซ่อนข้อความหลังจากที่แห้งแล้วได้”
อวี๋หวั่นคล้ายกับจะเริ่มกระจ่างแล้ว “ก็หมายความว่า มันไม่ได้ไม่มีตัวอักษร แต่เป็นการซ่อนข้อความเพียงชั่วคราว”
เจียงไห่พยักหน้า “เห็นจะเป็นเช่นนั้น”
“อาม่า ท่านรู้ไหมว่าทำอย่างไรให้ตัวหนังสือปรากฏ?” อวี๋หวั่นถามชายชรา
อาม่าส่ายหน้า “วิชาจารึกอักษรเช่นนี้สูญหายไปนานแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้วิธี”
อวี๋หวั่นเท้าคาง “แล้วจะทำอย่างไรดีละ?”
อาม่าตอบว่า “แต่ว่า วิชาจารึกอักษรนี้เดิมทีก็มีพื้นเพอยู่ที่หนานจ้าว ลองไปสืบมา ไม่แน่ว่าอาจได้คำตอบ”
สำนักราชครูใช้เวลาตรวจสอบหนึ่งคืนเต็มๆ ในที่สุดก็พบว่าหอตำราถูกปล้น
“อะไรหายไป?” ราชครูเดินไปยังหอตำราด้วยสีหน้าเย็นเยียบ
ลูกศิษย์ซึ่งทำการค้นหามาตลอดทั้งคืนมีสีหน้าเหนื่อยอ่อนเต็มที “บันทึกของจอมปราชญ์ขอรับ”
“บันทึกของจอมปราชญ์?” ราชครูยังไม่เข้าใจ หอตำรามีตำราศึกและตำรายาอายุวัฒนะซึ่งเป็นความลับตั้งมากก็ไม่ขโมย กลับมาขโมยบันทึกของจอมปราชญ์ซึ่งไม่ค่อยได้ใช้? บันทึกนั่นมีเพียงเรื่องราวของสตรีศักดิ์สิทธิ์กับพ่อมดหมอผี จะเรียกว่าเป็นตำราประวัติศาสตร์ก็ย่อมได้ ขโมยไปแล้วอย่างไร?
ราชครูยังคงคิดไม่ออก “พวกเขาจะขโมยไปทำไม?”
“ถอนพิษ!”
หนานกงหลีเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน
ราชครูยกมือขึ้นประสาน “องค์ชาย”
ลูกศิษย์และองครักษ์ต่างคำนับเขา
“พวกเจ้าถอยไปก่อน” หนานกงหลีสั่ง
ทุกคนออกไปตามคำสั่ง
ในหอตำราอันกว้างใหญ่เหลือเพียงเขาและราชครู
ราชครูถามว่า “องค์ชายบอกว่าพวกเขาขโมยของในหอตำราเพราะต้องการถอนพิษ? หมายความว่าอย่างไร?”
หนานกงหลีตอบว่า “ข้าก็เพิ่งจะเข้าใจหลังจากที่ได้ฟังลูกศิษย์ท่านบอกว่าพวกเขาขโมยสิ่งใดไปนี่ละ”
ราชครูขมวดคิ้ว “ข้าไม่เข้าใจ”
หนานกงหลียิ้มค่อนแคะ “ท่านอาจไม่รู้ มีคนหน้าตาเหมือนกับคุณชายแห่งเมืองเยี่ยนไม่มีผิดเพี้ยนเข้ามาอยู่ในสกุลเห้อเหลียน บอกว่าตนเองเป็นหลานชายคนโตที่หายสาบสูญไปของสกุลเห้อเหลียน”
“เป็นลูกชายของเห้อเหลียนเป่ยอวี้หรือ?” เรื่องของสกุลเห้อเหลียนไม่นับว่าเป็นความลับแต่อย่างใด ทั้งเมืองหลวงล้วนแต่เคยได้ยินเรื่องนี้
หนานกงหลีพยักหน้า “มิผิด เท่าที่ข้ารู้ เห้อเหลียนเป่ยอวี้ก็กลับจวนมาเช่นกัน นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญก็คือฮูหยินน้อยจวนตะวันออกสกุลเห้อเหลียนได้เห็ดหลินจือแดงจากต่งเซียนเอ๋อร์มาหนึ่งต้น หลังจากนั้นไม่นาน คางคกหิมะก็มาถูกขโมยไปอีก ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้นำเรื่องเหล่านี้มาเชื่อมโยงกัน จนมาได้ยินสำนักราชครูบอกว่าของที่หายไปก็คือบันทึกของจอมปราชญ์”
“เห็ดหลินจือแดง คางคกหิมะ บันทึกของจอมปราชญ์…” ราชครูพึมพำ ทันใดนั้นความคิดก็แล่นปราดผ่านสมอง “พวกเขากำลังหาตัวยา!”
หนานกงหลีเหยียดยิ้ม “คุณชายเยี่ยนเคยโดนพิษไป๋หลี่เซียง เขาไม่ได้คลุ้มคลั่ง ข้าเองก็คิดว่าเขาไม่ได้โดนยาพิษ ทว่าดูจากวันนี้ เขาไม่เพียงโดนยาพิษ แต่กำลังจะควบคุมมันไม่ไหวแล้ว”
เห็นทีบุรุษชุุดขาวที่ยืนอยู่บนสะพานคงจะเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา และผู้ที่กระตุ้นราชบุตรเขยก็คือเยี่ยนจิ่วเฉาเช่นกัน
ราชครูยังคงเคลือบแคลงใจ “นั่นไม่สมเหตุสมผล เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนสังหารเห้อเหลียนฉี เรื่องนี้เห้อเหลียนเป่ยหมิงเองก็รู้ เขาจะปล่อยให้ผู้ที่มีความแค้นต่อกันเข้ามาอยู่ในจวนสกุลเห้อเหลียนได้อย่างไร ทั้งยังยอมรับเขาเป็นหลานชายคนโตด้วยน่ะหรือ?”
หนานกงหลีใช้ความคิด “นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้ายังไม่เข้าใจเช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเห้อเหลียนเป่ยหมิงและเห้อเหลียนฉีไม่นับว่าสนิทสนม แต่อย่างไรเสียก็เป็นลูกพี่ลูกน้องร่วมสกุลกัน เห้อเหลียนเป่ยหมิงปราศจากเหตุผลที่จะปกป้องฆาตกรเช่นนี้ แล้วก็เจ้าเห้อเหลียนเป่ยอวี้นั่น น่าสงสัยเหลือเกิน”
ราชครูคาดเดา “หรือว่าเจ้าคนที่อ้างตนว่าเป็นเห้อเหลียนเป่ยอวี้นั่นเป็นพวกเดียวกับเยี่ยนจิ่วเฉา ทั้งสองรวมหัวกันหลอกลวงเห้อเหลียนเป่ยหมิง?”
หนานกงหลีส่ายหน้า “ไม่รู้ ข้อมูลจากสกุลเห้อเหลียนนั้นสืบยากเหลือเกิน”
ราชครูครุ่นคิดครู่หนึ่ง “องค์ชายแน่ใจหรือว่าเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา?”
“ฟังองค์ชายกล่าวเช่นนี้ ข้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ข้าคล้ายกับว่าจะเคยเห็นพระชายาของเขาในร้านขายของ แต่ข้าเห็นผ่านๆ ไม่กล้าด่วนสรุปว่าเป็นนาง” ราชครูชะงักไป “ไม่สู้ข้าไปจวนสกุลเห้อเหลียนดีกว่าหรือ? ครั้นไปเยือนต้าโจวข้าเคยสนทนากับพวกเขา ขอเพียงพวกเขาเอ่ยปากพูด ข้าจะจดจำได้ทันที”
หน้าตาอาจเหมือนกันได้ แต่ไม่มีทางบังเอิญเสียงเหมือนกันได้
หนานกงหลียิ้มอย่างมีเลศนัย “ไม่จำเป็น ข้าส่งคนไปจับนางแล้ว”
………………………………