หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 264 ซิวหลัวมาแล้ว
ณ จวนประมุขหญิง องครักษ์สองคนรับภารกิจจากองค์ชายน้อยให้ไปจับกุมสตรีนางหนึ่งจากจวนสกุลเห้อเหลียน
จับสตรีเพียงคนเดียวไม่ใช่ปัญหา ปัญหาก็คือจวนสกุลเห้อเหลียนไม่ได้เข้าไปง่ายปานนั้น โชคดีที่องค์ชายน้อยส่งคนไปช่วยพวกเขา เมื่อมีใต้เท้าท่านนั้น พวกเราก็สามารถหลบหลีกองครักษ์ของจวนสกุลเห้อเหลียนได้อย่างง่ายดาย
ทั้งสองไปยังเรือนของซิวหลัว
ซิวหลัวกำลังนั่งสมาธิ
ตอนเที่ยงของทุกวัน พลังหยางของฟ้าดินจะแข็งแกร่งที่สุด และนั่นทำให้พลังซึ่งปะทุอย่างบ้าคลั่งในกายของเขาควบคุมได้ยากที่สุด เส้นเลือดของเขาจะขาดสะบั้นลงเร็วถึงสองเท่า พลังปราณก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานของวัน
องครักษ์คุ้มกันหนานกงหลีมายังหนานจ้าว ย่อมรู้ดีว่าไม่ควรรบกวนช่วงเวลาอันหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้เป็นอันขาด
ทั้งสองอดทนรอตลอดช่วงบ่าย เมื่อถึงยามอาทิตย์อัสดง ใต้เท้าท่านนั้นจึงเดินออกมาจากห้อง
ทั้งสองทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไป คำนับอย่างพินอบพิเทาครั้งหนึ่ง
องครักษ์ทางด้านซ้ายกล่าวว่า “ใต้เท้าซิวหลัว องค์ชายเชิญให้ท่านไปยังจวนเทพสงครามพร้อมกับพวกข้าขอรับ พวกข้าจะไปจับคนคนหนึ่ง แต่ใต้เท้าโปรดวางใจ ท่านเพียงส่งพวกข้าเข้าไป เรื่องจับคนไม่ต้องลำบากท่านขอรับ”
ขอเพียงเข้าไปได้ พวกเขาก็สามารถอำพรางตัวได้
ซิวหลัวไม่อยากไป
องครักษ์มองหน้าเพื่อนร่วมงาน
องครักษ์อีกคนหนึ่งหยิบยาบำรุงหัวใจออกมา “องค์ชายบอกว่า นี่เป็นยาที่ปรับรสชาติมาใหม่ วันนี้ท่านจะกินเพิ่มอีกหนึ่งขวดก็ได้ขอรับ”
ซิวหลัวมองไปยังขวดยาในมือของเขาด้วยสายตารังเกียจ จากนั้นก็เดินไปโดยไม่แม้แต่จะหันหลังมามอง!
“ทำอย่างไรดีละ?” องครักษ์กระซิบถามกัน “เขาไม่ฟังพวกเราด้วยซ้ำ จะไปรายงานองค์ชายดีหรือไม่? ให้องค์ชายสั่งเขาเอง”
อารมณ์ของซิวหลัวค่อนข้างประหลาด คนทั่วไปไม่อาจสั่งเขาได้ เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนทันทีที่เห็นยานี้ ซิวหลัวก็รู้เจตนาของหนานกงหลี และส่วนมากก็มักจะให้ความร่วมมือ
วันนี้เกิดอะไรขึ้นกัน?
เขาไม่สนใจจะกินยา หรือไม่ฟังสิ่งที่หนานกงหลีบอกกันแน่?
องครักษ์ทอดถอนใจ “เอาเถอะ พวกเราไปปรึกษาองค์ชายก่อนจะดีกว่า”
ทั้งสองไปยังสำนักราชครู เพื่อรายงานเรื่องที่ซิวหลัวไม่ปฏิบัติตามคำสั่งแก่หนานกงหลี
หนานกงหลีถอนหายใจอย่างจนปัญญา เขาวางมือจากราชกิจซึ่งกำลังหารือกับราชครู จากนั้นก็นั่งรถม้ากลับไปยังจวนประมุขหญิง
สองวันมานี้ซิวหลัวมีท่าทีแปลกไป แต่หนานกงหลีถามเขาแล้ว เขากลับไม่ยอมตอบ
หนานกงหลีคิดเพียงว่าเขายังไม่คุ้นชินกับจวนประมุขหญิง จึงไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจ
รอยยิ้มใจดีปรากฏบนใบหน้าของหนานกงหลี “เจ้าไม่อยากขลุกอยู่แต่ในจวนมิใช่หรือ? เจ้าพาพวกเขาไปส่งที่จวนสกุลเห้อเหลียน ขากลับข้าจะพาเจ้าไปว่ายน้ำในทะเลสาบ เจ้าอยากกินอะไร เล่นอะไรก็แล้วแต่เจ้าเลย”
ซิวหลัวมีสีหน้าผ่อนคลาย
หนานกงหลีพูดต่อ “เปลี่ยนเป็นสวมชุดนี้เสีย กดพลังของตนเองไว้ด้วย อย่าให้ผู้ใดรู้ว่าเป็นเจ้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่จวน”
ซิวหลัวเปลี่ยนไปสวมชุดขององครักษ์จวนสกุลเห้อเหลียน จากนั้นก็จับองครักษ์อีกสองคนซึ่งเปลี่ยนไปสวมชุดแบบเดียวกันออกไป
การอารักขาของจวนสกุลเห้อเหลียนนั้นเข้มงวด ทว่าสำหรับซิวหลัวแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการเดินเข้าไปในแปลงผัก มือจับองครักษ์ข้างละคน กระโดดเข้าไปในจวน
องครักษ์ทั้งสองไม่อยากเชื่อว่าตนเองเข้ามาในจวนสกุลเห้อเหลียนได้แล้ว เหมือนฝันเลยจริงๆ จวนสกุลเห้อเหลียนขึ้นชื่อเรื่องการป้องกันแน่นหนา ยามเข้ามาอาจต้องพึ่งพาซิวหลัว แต่ยามออกไปพวกเขาสามารถจัดการเองได้
“ขอบคุณใต้เท้า เชิญใต้เท้ากลับจวนเถิดขอรับ องค์ชายน้อยคงกำลังรอท่านอยู่” องครักษ์พูดจบ ก็ตรงไปยังทิศทางของสวนอูถง
ซิวหลัวคิดจะกลับแล้ว แต่ทันทีที่เขาหันหลังไป ก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวหนึ่ง เขาขมวดคิ้ว มองไปยังทิศทางของการเคลื่อนไหวนั้น เขาพุ่งปราดเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ในส่วนของเด็กน้อยทั้งสาม หลังจากประจบประแจงฮูหยินผู้เฒ่าจนพอใจ ก็เริ่มงอแงขึ้นมา เริ่มการทำลายดอกไม้ใบหญ้าในเรือนเพราะชำรอบหนึ่ง จากนั้นก็ไปทำกรงนกแก้วและนกเอี้ยงในเรือนเลี้ยงนกกระจัดกระจาย หลังจากที่ไม่เหลืออะไรให้ทำลายแล้ว พวกเขาจึงไปปีนต้นไม้
ต้าเป่าปีนได้สูงที่สุด ไม่ทันไรก็ปีนไปถึงยอดไม้แล้ว
เขาจะขึ้นไปเก็บรังนกบนยอดไม้ ไหนเลยจะรู้ว่าเท้ากลับลื่น และร่วงลงมา!
เมื่ออวี๋หวั่นจัดการธุระเสร็จก็ออกมาตามหาเด็กน้อยทั้งสาม ทันทีที่ไปถึงสวนดอกไม้ ก็ตื่นตะลึงกับสิ่งที่เห็น เธอนึกอยากจะพุ่งเข้าไปแต่ก็ไม่ทันการ ในตอนที่รู้สึกประหนึ่งหัวใจของเธอร่วงลงไปที่ตาตุ่มนั้น องครักษ์ผู้ซึ่งบัดนี้ได้แลดูเป็นเพียงเงาจางๆ ก็พุ่งปราดเข้าไปรับต้าเป่า
อวี๋หวั่นอ้าปากค้าง เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นกัน? องครักษ์คนนั้นโผล่มาจากไหน เพียงพริบตาเดียวเขาก็อุ้มต้าเป่าไว้ในอ้อมแขนแล้ว?
วรยุทธ์ระดับนี้…เก่ง…เก่งกาจจริงๆ
ถ้ารู้แต่แรกว่าในจวนมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งระดับนี้ ตอนนั้นเธอคงเรียกเขาไปช่วยอาเว่ยแล้ว!
อวี๋หวั่นอยู่ในจวนสกุลเห้อเหลียนมานาน ได้พบกับหน่วยกล้าตายและองครักษ์ของจวนตะวันออกแล้ว แต่คนคนนี้
ไม่ยักคุ้นหน้า ทั้งยังปล่อยผมปล่อยเผ้า ตอนนั้นเอง ต้าเป่าในอ้อมอกของ ‘องครักษ์’ ผู้นี้จดจำเพื่อนดื่มนมของตนเองได้ ก็ขยับตัวด้วยความตื่นเต้น
อวี๋หวั่นเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของต้าเป่า เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักคนผู้นี้ จึงคิดในใจว่าตนคงคิดมากไป เขาต้องเป็นองครักษ์ในจวน ลูกชายของเธอจึงรู้จักเขา
“ขอบคุณเจ้ามาก” อวี๋หวั่นรับต้าเป่ามา เธอกวาดสายตามองไปบนพื้น ก็เห็นขวดนมหล่นอยู่
อวี๋หวั่นก้มลงไปเก็บขวดนมขึ้นมา ทันใดนั้นก็เข้าใจทันที “ที่แท้ก็หล่นอยู่ในจวนนี่เอง ข้ายังคิดว่าร่วงอยู่ในป่าซะอีก…อุตส่าห์เสียเวลาทำใหม่ทั้งวัน”
ต้าเป่ารับขวดนมใบน้อยมา แล้วส่งให้ซิวหลัว
อวี๋หวั่นชะงักไป เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึงเอาขวดนมของตัวเองไปให้คนอื่น ถ้าจะให้ของแทนคำขอบคุณก็ให้ของขวัญก็ได้นี่นา
อวี๋หวั่นหยิบขวดนมกลับมา ต้าเป่าดึงขวดนมกลับไป
อวี๋หวั่นดึงมา ต้าเป่าดึงไป ดึงไปดึงมาเช่นนี้ ขวดนมซึ่งเดิมทีมีรอยบุบอยู่แล้ว บัดนี้ได้แยกแตกออกทันใด แผ่นไม้กระเด็นเข้าไปในแขนเสื้อของซิวหลัว จากนั้นอวี๋หวั่นก็ได้กลิ่นคาวของเลือดกำจายออกมา
“เจ้าบาดเจ็บ?” อวี๋หวั่นประหลาดใจ
นี่เป็นรอยแผลเก่า ซิวหลัวมิได้บาดเจ็บง่ายเพียงนั้น แต่เมื่อได้รับบาดเจ็บแล้วก็จะใช้เวลาในการรักษานานเหลือเกิน เขาใช้ผ้าพันไว้ตลอด เมื่อครู่แผ่นไม้ลอยมากระแทกกับผ้าพันแผล เลือดสดจึงไหลออกมา
อวี๋หวั่นวางต้าเป่าลงบนพื้น จับมือของเขาขึ้นมาพร้อมกับถลกแขนเสื้อขึ้นเพื่อตรวจอาการ
ซิวหลัวไม่ชอบให้ผู้ใดเข้าใกล้ เขาเกือบจะระเบิดพลังอันบ้าคลั่งออกมาตามสัญชาตญาณ แต่ต้าเป่ากลับจับนิ้วมือของเขาไว้
ต้าเป่าเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตสีดำขลับจ้องมองเขา
ซิวหลัวพยายามกดพลังของตนลง
อวี๋หวั่นมองไปยังบาดแผลสภาพอุจาดตา แล้วขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “เจ้าบาดเจ็บมานานเท่าไหร่แล้ว ไม่เคยรักษาเลยหรือ? แผลประเภทนี้ไม่ควรปิดแผล จะทำให้ติดเชื้อ เจ้ามากับข้า”
อวี๋หวั่นจะพาเขากลับเรือนไปรักษา
ซิวหลัวไม่ขยับ
ต้าเป่าดึงมือของเขา
ท่านแม่ข้าเป็นหมอเทวดาเชียวนะ
เก่งมากๆ เลยด้วย
อันที่จริงอาการบาดเจ็บของเขาไม่มาก แต่เป็นเพราะไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ทำให้แผลเน่า หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ภายหลังก็อาจเก็บมือข้างนี้เอาไว้ไม่ได้
อวี๋หวั่นรู้สึกกังวลแทนเขา แต่เมื่อหันไปกลับเห็นว่าเขามีท่าทีลังเล เธอก็หัวเสียขึ้นมา ฝ่ามือหนึ่งตบเข้าที่ศีรษะของเขา “บอกให้เจ้าไปก็ไป! ลังเลอะไร! อยากตัดทิ้งใช่ไหมมือเนี่ย!”
ซิวหลัวในตำนาน บัดนี้ได้ถูกแม่นางน้อยคนหนึ่งตบหัวเสียแล้ว เขามึนงงอยู่ครู่หนึ่ง
ทันใดนั้นสายตาของซิวหลัวก็พลันแข็งกร้าว
จิตสังหารรุนแรงแผ่นซ่านไปรอบกาย
เขายื่นปลายนิ้วเย็นเยียบออกมา
เขาอุ้มเพื่อนตัวน้อยขึ้นมา แล้วเดินไปหาอวี๋หวั่นด้วยความเดือดดาล!
อวี๋หวั่นพาเขาไปยังชีสยาย่วน
เจียงไห่และคนอื่นๆ ยังไม่กลับเรือน อาม่าและชุยเฒ่าออกไปซื้อ(ดู)ของ(การแสดง) อวี๋หวั่นเดินนำเขาเข้ามา
ในโถงกลางเรือน เปิดล่วมยา หยิบยาฆ่าเชื้อและสำลีก้อนออกมา แล้วเริ่มลงมือล้างแผลให้เขา
ซิวหลัวเกลียดกลิ่นยา จึงหันหน้าหมายจะหนีไป
“นั่งลง!” อวี๋หวั่นตวาด
ต้าเป่าตบไหล่เขาเบาๆ ราวกับเป็นผู้ใหญ่
ซิวหลัวนั่งลงด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
อวี๋หวั่นค่อยๆ พับแขนเสื้อของเขาขึ้น “แผลเจ้าเน่ามากแล้ว ข้าจะล้างแผลให้เจ้าก่อน อาจจะเจ็บ เจ้าอดทนสักหน่อย แล้วก็ข้ามือหนักอยู่บ้าง ถ้าทนไม่ไหวก็ร้องออกมาได้”
หึ!
ซิวหลัวผู้ผ่านความทรมานมาอย่างโชกโชนไม่ร้องหรอก!
อวี๋หวั่นจุ่มสำลีก้อนลงในยา แล้วค่อยๆ เช็ดให้เขา…
“…” ซิวหลัวเจ็บจนเป็นลมไป
อาเว่ยเป็นคนแรกที่กลับเรือน เขาเดินมาถึงปากประตู ก็เห็นอวี๋หวั่นซึ่งกำลังทำแผลให้ใครสักคนอยู่ เขาจึงมองไปยังคนไข้ที่อาหวั่นทำแผลให้ จากนั้นก็เป็นลมล้มพับไปทันที!
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว แล้วมองไปยังมือซึ่งเปื้อนเลือดของตน “คงไม่ได้กลัวเลือดจนเป็นลมไปหรอกนะ…”
เยว่โกวกลับมาเป็นคนที่สอง ปฏิกิริยาตอบสนองของเขาเชื่องช้ากว่าอาเว่ย เขาเดินเข้ามาในห้องแล้วจึงจะเห็นบุรุษที่อวี๋หวั่นกำลังทำแผลให้ จากนั้นก็เป็นลมล้มพับไปอีกคน
จากนั้นก็เป็นชิงเหยียนและเจียงไห่ เป็นไปดังคาด ทั้งสองเป็นลมไปพร้อมๆ กัน
ผู้ที่เข้ามาเป็นคนสุดท้ายคือชุยเฒ่าและอาม่าซึ่งเพิ่งกลับมาจากชมการแสดง
ทั้งสองกำลังสนทนากันเรื่องการแสดงอย่างออกรสออกชาติ ทันทีที่เหลือบไปเห็นพวกอาเว่ย พวกเขาจึงมองไปยังผู้ที่อวี๋หวั่นกำลังใช้เข็มเย็บขึ้นเย็บลง…
อาม่าไม่ได้ล้มหมดสติลงไปในทันที เขายังประคองตัวเองได้
ตั้งสติ
เขาคือนักบวชแห่งเผ่าปีศาจ
เขาทำได้!
ในตอนนั้นเอง ซิวหลัวก็ฟื้นขึ้นพอดี เขาลืมตาขึ้นมาเห็นเข็มสีทองบนมือของตน ก็พยายามดึงออกมาด้วยความ
สงสัย
อวี๋หวั่นปัดมือเขาทันใด “ห้ามขยับ”
อาม่าทนไม่ไหว เป็นลมล้มพับตามไปอีกคน
…………………………