หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 268.2 ท่านคือเยี่ยนอ๋อง (2)
ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา ราชบุตรเขยก็ตื่นขึ้น สิ่งแรกที่เขาทำเมื่อลืมตา คือมองหาเงาของเยี่ยนจิ่วเฉาในห้อง
อวี๋หวั่นเปิดตะเกียงแล้วเดินไปที่เตียง “เยี่ยนจิ่วเฉากลับไปที่สวนอูถงแล้วเจ้าค่ะ”
ราชบุตรเขยชะงัก “เขาชื่อเยี่ยนจิ่วเฉา? เฉาไหน?”
“เฉาของคำว่าราชวงศ์ต้าโจว” อวี๋หวั่นกล่าว
“เหมือนที่ข้าคิดไว้” ราชบุตรเขยลดศีรษะลงเผยยิ้มแห่งความยินดี
แม้จะจำคนคนนี้ไม่ได้ แต่เมื่อเอ่ยถึงเขา ภายในใจยังคงเต็มไปด้วยความสุข
“ดื่มยาก่อนเถิด” อวี๋หวั่นไม่มีเจตนาขัดความคิดของเขาต่อบุตรชาย ทว่าหากยังไม่ดื่ม ยาจะเย็นเสียก่อน
ราชบุตรเขยหยิบชามยา ยกขึ้นดื่มโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
มองจากเรียวคิ้วที่ไม่ขมวดมุ่นยามดื่มยาแม้แต่น้อยของเขา เหมือนกับเยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีผิด สมกับเป็นบิดาและบุตรเสียจริง
“ยังมีถ้วยนี้อีก” อวี๋หวั่นยื่นชามยาผสมดอกสายน้ำผึ้งให้ ราชบุตรเขยก็ยอมรับโดยดี
อวี๋หวั่นหยิบผลไม้แช่อิ่มให้
เขาผงะเล็กน้อย
เขาไม่ชินกับการกินผลไม้แช่อิ่ม แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของดรุณีตัวเล็กๆ เขาจึงรับมันมากิน
หวานมาก
“เรียบร้อย” อวี๋หวั่นเก็บข้าวของของเสร็จแล้ว ก็ปรบมือและนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง “ยามนี้ก็คุยเรื่องสำคัญได้แล้ว ข้าชื่ออวี๋หวั่น เป็นภรรยาของเยี่ยนจิ่วเฉา และเป็นมารดาของหลานทั้งสามของท่าน ทว่าชื่อของข้าในหนานจ้าวคือเยี่ยนหวั่น ชื่อของเยี่ยนจิ่วเฉาคือเห้อเหลียนเฉา เขาเป็นคุณชายใหญ่แห่งสกุลเห้อเหลียน ข้าเป็นคุณหนูใหญ่แห่งสกุลเห้อเหลียน ต่อไปอยู่ข้างนอก ท่านอย่าได้เรียกผิดละ”
ข้อมูลมากมายที่ประดังเข้ามากะทันหัน ทำให้ราชบุตรเขยตกตะลึงไปชั่วขณะ เยี่ยนจิ่วเฉาแต่งงานแล้ว และยังมีบุตรอีกสามคน เขากลายเป็นคุณชายใหญ่แห่งสกุลเห้อเหลียนไปแล้ว?
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
อวี๋หวั่นกล่าว “เรื่องราวซับซ้อน ข้าไม่อาจอธิบายให้ท่านเข้าใจได้ในตอนนี้ และมีบางสิ่งที่ข้าหวังว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะเป็นคนบอกท่านด้วยตนเอง ท่านจำได้หรือไม่ว่าท่านเป็นใคร?”
ราชบุตรเขยตอบอย่างล่องลอย “ไป๋…เอ้อจู๋”
ไป๋เอ้อจู๋บ้าบออะไร ทั้งหมดเป็นคำโกหกของประมุขหญิง! ท่านคืออ๋องแห่งรางวงศ์ต้าโจว! เยี่ยนอ๋องผู้ซึ่งอยู่ใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือคนนับหมื่น!
อวี๋หวั่นสบถวาจากระด้างหูมากมายอยู่ภายในใจ
เธอไม่ได้รีบร้อนบอกทุกอย่างออกไปในคราวเดียว เพราะอย่างไรเสียเรื่องบางเรื่องก็ไม่มีมูล หากจะให้เขาสงสัยคนที่นอนร่วมเตียงกับเขามานานนับสิบปีย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
“เรื่องที่ท่านเคยพบเยี่ยนจิ่วเฉามาก่อน เหตุใดถึงจำไม่ได้?”
ราชบุตรเขยกล่าว “ข้าเคยได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ บางครั้งจึงลืมสิ่งที่เกิดขึ้น”
อวี๋หวั่นกล่าวอีกครั้ง “เช่นนั้นคนในจวนมิได้บอกท่านหรือ? ครั้งหนึ่งองค์หญิงน้อยก็อยู่ที่นั่นด้วย นางไม่ได้บอกท่านหรือ?”
ราชบุตรเขยส่ายศีรษะ
อวี๋หวั่นไม่แปลกใจแม้แต่น้อย ในเมื่อให้ซื่อหุนเฉ่ากับเขาได้ จะยังมีเรื่องใดอีกที่หาเหตุผลไม่ได้? กลัวก็แต่หลังจากราชบุตรเขยได้พบเยี่ยนจิ่วเฉากับเสี่ยวเป่าจะมีท่าทีแปลกไป แล้วประมุขหญิงจะมอบยาให้เขาอีกชาม ทำให้เขาลืมเลือนสิ่งที่พบเห็นและได้ยินไปจนหมดสิ้น
ภายในใจราชบุตรเขยมีความสงสัยมากมาย ทว่าไม่รู้จะเริ่มถามจากที่ใด
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็คว้ามือของเขา แล้วใช้เข็มทองเจาะนิ้ว หยดเลือดหยดลงบนใบไม้แห้งสีเหลือง
ใบไม้นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงแปลกตา
เขาเบิกตากว้าง “นี่มัน…”
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ใบของซื่อหุนเฉ่า ในร่างกายของท่านมีฤทธิ์ยาซื่อหุนเฉ่า จึงทำให้มันกลายเป็นสีแดง ในตำราการแพทย์พวกนี้ก็มีบันทึกอยู่ หากท่านไม่เชื่อ ก็กลับไปค้นหาในห้องตำราของประมุขหญิงดูสิ”
“ไม่ใช่ข้าไม่เชื่อเจ้า” ราชบุตรเขยกล่าว
เช่นนั้นก็ดี เพราะข้าคือคนโกหก ในตำราการแพทย์ไม่ได้มีบันทึกไว้เลย
“ข้า…ข้าพบเขาได้หรือไม่?” ราชบุตรเขยมองอวี๋หวั่นอย่างคาดหวัง
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยความเสียใจ “คืนนี้เกิดเรื่องมากพอแล้ว ให้เขาอยู่คนเดียวสักพักเถิด พวกเราล้วนอยู่ในเมืองหลวงเช่นเดียวกัน วันหน้ายังมีโอกาสใหม่ ขอเพียงท่าน…”
อวี๋หวั่นหยุดทอดถอนใจ “อย่าได้ลืมเขาอีกก็พอ”
หัวใจของราชบุตรเขยราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
หลังจากนั้นราชบุตรเขยก็เตรียมกลับจวน
ก่อนออกเดินทาง เขาชี้ไปที่ใบไม้บนโต๊ะ “นี่ ให้ข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”
…
ราตรีมืดน้ำค้างแรง
ประมุขหญิงเดินไปมาอยู่ที่ระเบียงทางเดินไม่หยุดพัก
“ฝ่าบาท เพลานี้ดึกมากแล้ว โปรดเสด็จไปพักผ่อนก่อนเถิดเพคะ ราชบุตรเขยจะเสด็จกลับมาในไม่ช้า” สาวใช้ข้างกายกระซิบปลอบโยน
ประมุขหญิงจะพักผ่อนลงได้อย่างไร?
ไม่ได้บอกไว้หรือ ว่าคืนนี้จะทานมื้อเย็นกับบุตรชาย? ดึกจนป่านนี้แล้ว ราชบุตรเขยไปอยู่ที่ใดกันนะ?
คงมิใช่ว่า…เจอเด็กนั่นอีกกระมัง?
เป็น…เป็นไปไม่ได้
ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องบังเอิญเช่นนั้นหรอก!
“ฝ่าบาท! ราชบุตรเขยกลับมาแล้วเพคะ!” สาวใช้รีบซอยเท้าเข้ามารายงาน
ประมุขหญิงถอนหายใจยาวเหยียดด้วยความโล่งอก จัดแจงปิ่นปักผมทองบนศีรษะ เผยยิ้มสง่างามยืนรอต้อนรับ
ไม่นานเงาร่างอันงดงามก็เดินมาทางนี้
นางก้าวไปด้านหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม และเอื้อมไปจับมือของเขาเบาๆ “ไปที่ใดมา? ไยกลับดึกเช่นนี้?”
ราชบุตรเขยตอบ “ระหว่างทางข้าพบชายชราคนหนึ่ง จึงพาเขากลับไปส่งที่เรือนเมื่อครู่นี้”
ประมุขหญิงตรัสวาจาอ่อนโยน “เรื่องแค่นี้ สั่งให้ข้ารับใช้ไปทำแทนก็ได้ เหตุใดท่านต้องลำบากเดินทางไปด้วยตนเองเล่า? หากคนไม่รู้หัวนอนปลายเท้าผู้นั้นคิดไม่ซื่อ จะมิใช่การนำตนเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายหรอกหรือ?”
“ข้ารู้ดี” ราชบุตรเขยตอบ
ประมุขหญิงหยักหน้าแย้มยิ้ม และเข้าไปในห้องพร้อมกับเขา “ยามนี้ดึกมากแล้ว ข้าให้ฉงเอ๋อร์กับซีเอ๋อร์กลับไปก่อน วันพรุ่งท่านอย่าพลาดเวลางานเลี้ยงของเราอีกละ”
“ข้ารู้แล้ว” ราชบุตรเขยรับคำ
ประมุขหญิงสั่งให้หญิงรับใช้นำอ่างน้ำเข้ามา จานนั้นนางจึงนำผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดมือให้ราชบุตรเขย “ท่านยังไม่ได้เสวยสิ่งใดใช่หรือไม่? ข้าจะให้คนไปนำสำรับมา”
ราชบุตรเขยไม่ได้รู้สึกหิว อย่างน้อยก็ในใจเพียงแต่ไม่ได้บอกออกไป หญิงรับใช้ยกสำรับมากมายเข้ามาวางจนเต็มโต๊ะใหญ่ตามรับสั่งของประมุขหญิง
เขากลืนลงไปเพียงไม่กี่คำ
ประมุขหญิงเห็นความผิดปกติ ตรัสถามด้วยความสงสัย “มีอันใด? อาหารไม่ถูกปากหรือ?”
ราชบุตรเขยวางตะเกียบลง กล่าวเสียงค่อย “เหมือนข้านึกเรื่องในอดีตขึ้นมาได้นิดหน่อย”
“เรื่องอันใด?” ประมุขหญิงตรัสอย่างใจเย็น
ราชบุตรเขยขมวดคิ้วครุ่นคิด “เพียงครู่เดียวข้าก็ลืมไปอีก”
ประมุขหญิงหลุบตาลง เคี้ยวอาหารในปากต่อไปด้วยความเงียบงัน
หลังจากมื้อค่ำ ราชบุตรเขยก็ไปอาบน้ำ เมื่อกลับไปที่ห้อง ก็เห็นประมุขหญิงนั่งรออยู่พร้อมกับถ้วยยาร้อนกรุ่นในมือ
“ได้เวลาดื่มยาแล้ว” ประมุขหญิงกล่าวอย่างอ่อนโยน
“อื้อ” ราชบุตรเขยตอบ “ข้าลืมหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ที่ห้องตำรา เจ้าช่วยไปหยิบมาให้ข้าที อีกเดี๋ยวข้าว่าจะอ่านมันสักหน่อย”
ประมุขหญิงตรัสน้ำเสียงอ่อนโยน “ได้สิ หนังสืออันใดเล่า?”
ราชบุตรเขยตอบ “กั๋วเช่อลุ่น”
ประมุขหญิงเดินไปหยิบหนังสือ
ใต้หล้านี้ คนผู้เดียวที่ขอให้นางทำแบบนี้ได้มีเพียงราชบุตรเขย นางหาได้รู้สึกโกรธเคือง แต่กลับเต็มใจลำบากเสียด้วยซ้ำ
เมื่อแน่ใจว่านางจากไปไกลแล้ว ราชบุตรเขยจึงหยิบใบซื่อหุนเฉ่าที่นำมาจากจวนเห้อเหลียนออกมาจากแขนเสื้อ
และใช้ปลายนิ้วจุ่มยาในถ้วยมาหยดลงบนใบไม้ ทันใดนั้นใบไม้แห้งเหี่ยวสีเหลือง ก็กลับกลายเป็นสีแดง
…………………………………………