หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 270 ปลุกความทรงจำ
เช้าตรู่ในหนานจ้าวมีหมอกลง ท่ามกลางแสงสว่างแรกยามรุ่งอรุณหมอกสลัวปกคลุมทั่วฟ้าดิน
ราชบุตรเขยค่อยๆ ตื่นจากการหลับใหล เขายกมือขึ้นบังแสงที่ลอดผ่านเข้ามาจากช่องหน้าต่าง หลังจากปรับสายตาได้จึงลดมือลง มองเพดานม่านคลุมเตียงที่ห้อยด้วยเศษหยกหลากสี และเอื้อมมือเปิดม่านออก มองดูห้องที่เรียบง่ายสง่างาม ภายในใจพลันเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดไม่คุ้นเคย
เขาไม่รู้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน
ชายหญิงสองคนนั่งฟุบอยู่บนโต๊ะกลม หากดูจากการแต่งกายและมวยผมที่เกล้าขึ้น คล้ายกับเป็นคุณชายและคุณหนูจากตระกูลใหญ่
เขารู้สึกไม่คุ้นเคยกับทั้งสองเช่นกัน
ที่นี่คือที่ใด? พวกเขาเป็นใคร? เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่?
ความสงสัยนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นในใจ เขาไม่ต้องการทำให้ใครแตกตื่น จึงค่อยๆ ยกผ้านวมออกแล้วลุกขึ้นนั่งอย่างแผ่วเบา ทันทีที่เขาสวมรองเท้า รองเท้าข้างหนึ่งที่ยังใส่ไม่มั่นคงหลุดร่วงลงบนพื้นของเตียงป๋าปู้
เสียงนั้นปลุกให้ชายหนุ่มบนโต๊ะกลมรู้สึกตัวตื่น
เขาเงยหน้าขึ้นในทันทีและมองไปที่ราชบุตรเขย แววตาเกิดประกายแห่งความสุข “ท่านพ่อ!”
“ท่าน…พ่อ?” ราชบุตรเขยจ้องมองเขาอย่างตกใจ
ชายหนุ่มแย้มยิ้ม เขย่าหญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง “ซีเอ๋อร์ ท่านพ่อตื่นแล้ว”
“หือ?” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นอย่างสะลึมสะลือ และขยี้ตาด้วยความงัวเงีย “ตื่นแล้วรึ?”
“ตื่นแล้ว!” ชายหนุ่มกล่าว
ราชบุตรเขยเห็นดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง นางมีสีหน้าน้อยอกน้อยใจเดินมานั่งลงข้างๆ และซุกในอ้อมแขนของเขา “ท่านพ่อ! ท่านหลับไปตั้งสามวัน ทำให้ซีเอ๋อร์กลัวแทบตาย!”
“ซีเอ๋อร์” ราชบุตรเขยพึมพำ
องค์หญิงน้อยเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างประหลาดใจ “ท่านพ่อจำซีเอ๋อร์ไม่ได้อีกแล้วหรือ?”
อีกแล้ว?
หากกล่าวเช่นนี้ นี่ก็คงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเป็นแบบนี้
ราชบุตรเขยกดศีรษะที่ปวดตุบๆ พยายามนึก ทว่าก็นึกอะไรไม่ออก
ดวงตาของหนานกงหลีเกิดประกายวูบไหว ก้าวไปด้านหน้า ดึงน้องสาวขึ้นจากอ้อมแขนของราชบุตรเขย และกล่าวอย่างเอาแต่ใจ “เจ้าเนี่ย ท่านพ่อเพิ่งจะฟื้น อย่ากล่าวอันใดให้ท่านรู้สึกเหนื่อยสิ”
“อ้อ” แม้องค์หญิงน้อยมีใจอยากออดอ้อนท่านพ่อของนาง แต่เมื่อฟังคำพูดของพี่ชาย ก็ทำได้เพียงลุกออกไปแต่โดยดี
หนานกงหลีกล่าวกับราชบุตรเขยด้วยใบหน้าใคร่รู้ “ท่านพ่อหลับไปถึงสามวันรู้สึกอย่างไรบ้าง? ไม่สบายตรงไหนหรือไม่? ท่านแม่ไปอธิษฐานขอพรให้ท่านที่วิหารพิษ ท่านไม่ได้สติสามวัน ท่านแม่ก็ไปขอพรให้ท่านสามวัน มิได้ไปว่าราชการ ไม่ยอมเสวยสิ่งใด ยามนี้คงสามารถไปรายงานว่าท่านปลอดภัยได้แล้ว”
ราชบุตรเขยยิ่งสับสนงงงวยกับคำพูดเหล่านี้
เขาไม่เพียงแต่มีบุตรสองคน ทว่ายังมีภรรยาที่ต้องไปว่าราชการอีก?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
หนานกงหลีส่งคนไปที่วิหารพิษเพื่อแจ้งให้ประมุขหญิงทราบโดยทันที
ขณะที่รอให้ประมุขหญิงกลับมา หนานกงหลีได้อธิบายตัวตนและอาการป่วยของเขาอย่างละเอียด “…ท่านพ่อคือบุตรชายของหัวหน้าเผ่าไป๋เอ้อ ท่านแม่เป็นประมุขหญิงแห่งหนานจ้าว ว่าที่องค์ประมุข ข้าคือหนานกงหลีบุตรชายคนโตของท่าน น้องสาวชื่อหนานกงซี นางเป็นบุตรบุญธรรมที่ท่านแม่รับเลี้ยงมากจากชนเผ่าของท่านพ่อ แต่ท่านก็รักนางยิ่งนัก รักมากกว่าข้าเสียอีก ท่านพ่อเคยบาดเจ็บเพื่อช่วยชีวิตท่านแม่ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำลายรูปโฉม ยังทำให้เกิดอาการเรื้อรังตามมาด้วย บางครั้งท่านจะลืมเรื่องในอดีตไป และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก เมื่อครู่ซีเอ๋อร์จึงบอกว่าท่านลืมนางไปอีกแล้ว”
ราชบุตรเขยลูบใบหน้าของตนเอง เขาลูบใบหน้าด้านขวาด้วยความเคยชิน พบว่ามันไม่มีร่องรองใดๆ แต่เมื่อสัมผัสใบหน้าด้านซ้ายกลับพบรอยแผลเป็นฉกรรจ์
หนานกงหลีกล่าวด้วยเสียงอบอุ่น “ท่านพ่ออย่าได้ใส่ใจเลย สำหรับพวกเราและท่านแม่ อย่างไรท่านก็คือบุรุษรูปงามเหนือใครในใต้หล้าเสมอ”
“ข้ากับแม่ของเจ้า…” ราชบุตรเขยอ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้จะกล่าวอย่างไร
หนานกงหลีเข้าใจดี แย้มยิ้มอย่างสนิทสนม “ท่านพ่อกับท่านแม่ได้รู้จักกันที่หนานจ้าว หลังจากนั้นท่านแม่ก็เดินทางไปยังชนเผ่าของท่านพ่อและได้สานสัมพันธ์กัน ในช่วงปีแรกท่านตายังไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของพวกท่าน ทว่าเพื่อให้ได้อยู่กับท่านพ่อ ท่านแม่จึงปฏิเสธที่จะเป็นตี้จีแห่งหนานจ้าวต่อไป กระทั่งในท้ายที่สุดท่านตายอมอ่อนข้อ ความสัมพันธ์ของพวกท่านเป็นไปได้อย่างดียิ่ง ทั่วทั้งหนานจ้าวไม่มีผู้ใดไม่ริษยาพวกท่านเลย”
“ฉงเอ๋อร์” จู่ๆ ราชบุตรเขยก็เอ่ยขึ้น
หนานกงหลีตกตะลึง
วินาทีถัดมา เขากล่าวด้วยสีหน้าแห่งความยินดี “ท่านพ่อยังจำชื่อข้าได้หรือ?”
เหตุใดสูญเสียความทรงจำไปกี่ครั้ง ก็ไม่เคยลืมชื่อเด็กนั่นเสียที?!
ในใจของหนานกงหลีอิจฉาริษยาจนแทบคลั่ง
เขาพยายามบอกตนเองว่าฉงเอ๋อร์คือเขา และเขาก็คือฉงเอ๋อร์ คนที่บิดาของเขาจำได้และคำว่าฉงเอ๋อร์ที่เรียกก็คือเขาเช่นกัน แต่ทุกครั้งที่เห็นสายตาอันสับสนของบิดา เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าฉงเอ๋อร์ในความทรงจำนั้นไม่เคยเป็นเขาเลย!
เป็นไปดังคาด ราชบุตรมองไปที่หนานกงหลีอีกครั้ง เผยสีหน้าแววตาสับสนที่หนานกงหลีคุ้นเคย
“แม่ของเจ้า…”
“แม่ของข้าชื่อจื่อจวิน”
ไม่ต้องให้ท่านถาม ข้าจะตอบแทนท่านเอง
สองชื่อนี้ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ก็ไม่มีวันถูกลบไปจากความทรงจำ
“อื้ม นางละ” ราชบุตรเขยคลี่ยิ้มเบิกบาน
“ท่านพี่ ท่านพี่! หมอหลวงมาถึงแล้ว!” องค์หญิงน้อยยกกระโปรงวิ่งปรี่เข้ามา เมื่อก้าวข้ามธรณีประตูและพบว่าหมอหลวงไม่ได้ตามมา ก็หันหลังไปคว้าหนวดเคราของเขา “เร็วเข้าสิ!”
หมอหลวงตกใจ “เจ็บ เจ็บ เจ็บ! องค์หญิงน้อยได้โปรดออมมือ!”
“ซีเอ๋อร์!” หนานกงหลีใบหน้าบึ้งตึง
องค์หญิงน้อยแลบลิ้นคลายมือจากหมอหลวง ทำทีฮึดฮัดเร่งเร้า “เร็วเข้า! ท่านพ่อของข้าตื่นนานแล้ว เจ้าคิดจะให้ผู้ที่เป็นถึงราชบุตรเขยแห่งหนานจ้าวมานั่งรอหมอหลวงอย่างเจ้ารึ?”
“กระหม่อมมิกล้า” หมอหลวงยกมือคำนับอย่างตื่นตระหนก รีบหอบล่วมยาเดินเข้ามา
เขาค้อมกายคารวะราชบุตรเขยกับหนานกงหลี “กระหม่อมถวายบังคมท่านราชบุตรเขยและองค์ชาย”
“ท่านหมอหลวงมิต้องมากพิธี” หนานกงหลีกล่าวแล้วหันมองราชบุตรเขยที่มีทีท่าระแวดระวัง “หมอหลวงไป๋มีทักษะการแพทย์เป็นเลิศ ในช่วงสองสามปีมานี้เขาคอยดูแลร่างกายของท่านพ่อ เขาเข้าใจในอาการป่วยของท่านเป็นอย่างดี ท่านพ่อวางใจได้”
แม้นจะกล่าวเช่นนี้ ทว่าก้นบึ้งของหัวใจราชบุตรเขยกลับต่อต้านไม่อยากให้หมอผู้นี้มารักษาตนเอง
หนานกงหลีรู้สึกได้ถึงการต่อต้านของเขา
นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดูเหมือนความระวังตัวของท่านพ่อจะลึกล้ำมากขึ้นเรื่อยๆ
หนานกงหลีกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “หากท่านพ่อไม่โปรดหมอหลวงไป๋ จะเปลี่ยนไปให้หมอหลวงหูมาตรวจดูอาการดีหรือไม่? หมอหลวงหูก็เคยดูแลท่านพ่อเช่นกัน”
ราชบุตรเขยไม่พูดจา
หนานกงหลีโบกมือให้หมอหลวงไป๋ออกไป และส่งคนไปเชิญหมอหลวงหูมาแทน
หมอหลวงหูเคยรักษาอาการป่วยจากลมหนาวของราชบุตรเขยในช่วงปีแรกๆ ยามนี้ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว แม้แต่คนปกติก็ยังจำไม่ได้ว่าเคยมีบุคคลผู้นี้อยู่ แน่นอนว่าราชบุตรเขยยิ่งต้องจำไม่ได้
แม้จะไม่ค่อยพบเห็นหมอหลวงหูในจวนประมุขหญิงบ่อยนัก ทว่าเขาก็เป็นคนของหนานกงหลี เรื่องนี้ เชื่อว่าคงไม่มีใครคาดถึง
ราชบุตรเขยยอมให้หมอหลวงหูตรวจอาการ
หมอหลวงหูกล่าว “เป็นอาการชัก กระหม่อมจะสั่งยาสองสามชนิดให้ท่านราชบุตรเขย เสวยยาตรงเวลา อาการหายภายในสามวันพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณหมอหลวงหูยิ่งนัก” หนานกงหลีให้ข้ารับใช้ตามหมอหลวงหูไปหยิบยา เมื่อเห็นท่าทางครุ่นคิดสงสัยของราชบุตรเขย ก็หัวเราะออกมา “ท่านพ่ออยากไปดูห้องตำราหรือไม่? ในวันปกติท่านจะโปรดปรานการอ่านหนังสือที่สุด”
ราชบุตรเขยพยักหน้า
หนานกงหลีเดินตามไป
“ข้าจะไปเอง” ราชบุตรเขยเอ่ย
หนานกงหลีชะงักก้าว เแล้วกล่าวด้วยความเคารพ “ขอรับ ท่านพ่อ”
ราชบุตรเขยเข้าไปที่ห้องตำราเพียงลำพัง
หนานกงหลีมองเขาผ่านหน้าต่าง เรือนร่างสง่างามเดินออกจากหลังฉากกั้นมายืนอยู่ข้างกายของหนานกงหลี และเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ลำบากเจ้าแล้ว”
“ท่านแม่” หนานกงหลีโค้งกาย “ไยท่านไม่พบท่านพ่อ?”
ประมุขหญิงกล่าวอย่างจำใจ “แม่เป็นคนเทยาให้เขา เกรงว่าหากเขาเห็นแม่จะนึกอันใดขึ้นมาได้ รออีกสองวันเถิด รอให้เขายอมรับตัวตนของตนเอง แม่ก็จะออกมาพบเขา”
หนานกงหลีพยักหน้า
ประมุขหญิงมองเงาร่างที่เดินไปมารอบๆ หน้าชั้นหนังสือในห้องตำราและกล่าวว่า “หลีเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าแม่ทำผิดหรือไม่?”
หนานกงหลีส่ายศีรษะ “ท่านแม่เพียงต้องการรักษาพระสวามีไว้เท่านั้น จะผิดได้อย่างไร? อย่างไรเสียใต้หล้าแห่งนี้ยังมีผู้ใดที่รักมั่นลึกซึ้งได้เท่าท่านแม่อีก”
ห้องตำราเป็นห้องที่ราชบุตรเขยใช้เวลาอยู่มากที่สุด ด้านในยังคงเป็นอย่างที่มันเคยเป็น แม้แต่กั๋วเช่อลุ่นที่เขาอ่านไปได้ครึ่งหนึ่งก่อนจะหมดสติไปก็ยังวางอยู่บนโต๊ะดังเดิม
แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้เป็นฉากที่สร้างขึ้น ทั่วทั้งห้องตำราถูกประมุขหญิงสืบค้นอย่างลับๆ ไปแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ช่องลับในลิ้นชัก
เป็นไปดังคาด ราชบุตรเขยเปิดช่องลับออก
ด้านในเป็นภาพวาดของบุรุษผู้หนึ่ง
เมื่อเดือนที่แล้ว มันยังเป็นภาพของเยี่ยนจิ่วเฉา ทว่าครั้งก่อนกลับถูกประมุขหญิงแทนที่ด้วยหนานกงหลี
ครั้งนี้ราชบุตรเขยไม่มีเวลาวาดภาพ ดังนั้นจึงยังคงเป็นของหนานกงหลี
ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียว คือมีชื่อฉงเอ๋อร์ที่เขียนอยู่ด้านหลังภาพ
แต่นี่มิใช่การยืนยันหรือว่าหนานกงหลีเป็นบุตรชายที่เขาเฝ้าคะนึงหาไม่ลืมเลือน?
ประมุขหญิงไม่ได้สนใจ หลังจากตรวจสอบแล้ว นางก็นำภาพวาดวางกลับเข้าไป
แต่กลับไม่รู้เลยว่า ยามที่ราชบุตรเขยเห็นอักษรสองคำนี้ดวงตาพลันเกิดประกายวูบไหว
อักษรและภาพวาดทั้งหมดในห้องตำราของเขาทำจากหมึกขี้ผึ้ง ทว่าชื่อที่เขียนบนนี้กลับเป็นหมึกดำจากเขม่าสน หมึกขี้ผึ้งจะดำเข้ม ไม่ซีดจางง่ายและทนน้ำได้ดี การใช้มันเขียนอักษรจึงง่ายต่อการเก็บรักษา ในทางตรงกันข้าม ประสิทธิภาพของหมึกเขม่าสนด้อยกว่ามากและแทบจะละลายเมื่อสัมผัสน้ำ
เหตุใดเขาถึงต้องใช้น้ำหมึกที่ไม่ทนเช่นนี้มาเขียนชื่อฉงเอ๋อร์?
ราชบุตรเขยมองไปที่กาน้ำชาบนโต๊ะ พลันคว้ามาสาดลงบนกระดาษภาพวาด
บนภาพวาดนั้น ใบหน้าของหนานกงหลีค่อยๆ จางลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่อาจห้ามใจไม่ให้มองใกล้ๆ ได้
พรึบ!
ในสมองมีบางอย่างปะทุพรั่งพรูออกมา
เสี้ยววินาทีถัดมา ราชบุตรเขยลูบใบหน้าของคนในภาพวาดนั้นด้วยรอยยิ้มจางๆ
ครั้งนี้ พ่อไม่ลืมเจ้าแล้วนะ
…………………………………………