หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 275 องค์ประมุขรู้ความจริง
เหตุการณ์กลับตาลปัตรไม่เป็นดังที่ประมุขหญิงคาดคิด ทั้งที่มั่นใจว่าเรื่องราวจะสำเร็จได้ด้วยดี แต่เหตุใดกลับกลายเป็นแกว่งเท้าหาเสี้ยนเสียเอง?
นางขบคิดตลอดทางที่ไปวังหลวงว่าตัวตนที่แท้จริงของราชบุตรเขยที่พยายามปกปิดไว้ถูกผู้ใดเปิดโปง?
เยี่ยนจิ่วเฉาหรือ?
เขาจำราชบุตรเขยได้แล้วหรือ?
ยามที่ราชบุตรเขยออกจากต้าโจว เยี่ยนจิ่วเฉามีอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น วันเวลาผ่านมานานถึงสิบหกปีแล้ว เหตุใดถึงยังจำเรื่องราวในคราวนั้นได้?
แต่จำได้แล้วอย่างไร?
ราชบุตรเขยมิได้มีสภาพดังเช่นที่เคยเป็นมานานแล้ว
นอกจากนี้ราชบุตรเขยก็สวมหน้ากาก เยี่ยนจิ่วเฉาคงไม่ถอดหน้ากากของเขาออก…เหตุใดเขาต้องถอดมัน? อาจสงสัยในตอนแรก แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องสงสัย
อย่างน้อยที่สุด หากเด็กนั่นจำราชบุตรเขยได้จริงๆ แล้วอย่างไร? เขาจะกลั้นใจผลักไสบิดาตนเองลงกองไฟเพื่อปกป้องตนเองได้หรือ?
แต่หากไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใคร?
หลังจากประมุขหญิงคิดได้ หัวก็โตแล้ว
“ฝ่าบาท เชิญเสด็จลงจากรถม้าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อถึงประตูวัง หัวหน้าทหารม้าก็หยุดรถม้าของประมุขหญิง
อดีตที่ผ่านมาประมุขหญิงเคยแต่นั่งรถม้าเข้าไปในวังหลวง ทว่ายามนี้นางถูกต้องสงสัย ด้วยเห็นแก่ฐานะว่าที่กษัตริย์ของนาง ไม่จับเข้ารถคุมขังนักโทษก็นับว่าเป็นความการุณยิ่งแล้ว หากยังหมายให้เป็นดังเดิมเช่นก่อนหน้านี้ย่อมเป็นไปไม่ได้
ประมุขหญิงก็เข้าใจความจริงข้อนี้เช่นกัน แต่ต่อให้เข้าใจดีเพียงใด นางก็ยังคงรู้สึกราวกับใบหน้าถูกฟาดด้วยฝ่ามือฉาดใหญ่
ตั้งแต่เล็กจนโต นางมีชีวิตที่ราบรื่นโรยด้วยกลีบกุหลาบ และไม่เคยต้องอับอายมาก่อน
นางก้าวลงจากรถม้าอย่างเย็นชา
เหล่าข้าราชบริพารต่างพากันก้มหน้าก้มตา
แต่ประมุขหญิงกลับเหมือนเห็นภาพมายาว่าตนเองกำลังก้าวเดินอยู่บนคมมีด
บนตำหนักจินหลวน องค์ประมุขเสด็จมารออยู่นานแล้ว
แทนที่จะนั่งบนบัลลังก์มังกร เขากลับก้าวลงบันไดสูงอย่างช้าๆ มาหยุดยืนตรงตำแหน่งที่ขุนนางจะมาถวายบังคม
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านหลัง จึงหันกลับไปอย่างเนือยนิ่ง
เขาแผ่กลิ่นอายลึกล้ำน่าเกรงขามและแววตาเยียบเย็น
มองเห็นเพียงปราดเดียว หัวใจของประมุขหญิงพลันกระตุกวูบ
ประมุขหญิงก้าวเข้าไปข้างในพร้อมกับโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ”
องค์ประมุขจ้องมองนางด้วยสีหน้าอารมณ์ซับซ้อน และตรัสอย่างเคร่งขรึม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเรียกเจ้ามาด้วยเหตุใด?”
ประมุขหญิงกดคิ้วต่ำ ดวงตาเกิดประกาย “ลูกถูกคนให้ร้าย เสด็จพ่อจึงต้องการให้ซวนเอ๋อร์เข้าวังเพื่อซักถาม”
“ถูกคนให้ร้ายจริงหรือ?” องค์ประมุขตรัสถามน้ำเสียงทุ้มต่ำ
ขนตาของประมุขหญิงสั่นระริก เอ่ยด้วยความจำใจ “ต้องเป็นการให้ร้ายแน่ ข้ากับราชบุตรเขยต้องใจกัน หลายปีมานี้พวกเรากตัญญูต่อเสด็จพ่อและเสด็จแม่อย่างไร เราจงรักภักดีต่อราชวงศ์หนานจ้าวอย่างไร เสด็จพ่อก็เห็น พวกเราจะทำสิ่งที่ผิดต่อเสด็จพ่อได้อย่างไร?”
องค์ประมุขมิใช่คนที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ เขาจ้องมองใบหน้าของบุตรสาวเนือยนิ่ง “เจ้ากำลังปฏิเสธเรื่องการร่วมมือกับศัตรูคิดทรยศ หรือเรื่องราชบุตรเขยเป็นเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจว?”
ประมุขหญิงใจสั่นรัวอีกครั้ง
ใต้แขนเสื้อกว้าง นิ้วของนางจิกเข้าหากันแน่น
อย่าเห็นว่านางเป็นถึงประมุขหญิงที่จะเรียกลมเรียกฝนก็ได้ เมื่อครั้นอยู่ต่อหน้าองค์ประมุขผู้สง่างามนี้ กลับไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกระทำความผิด
เหตุผลที่ทำให้ดื้อรั้นเอาแต่ใจในตอนนั้น ส่วนใหญ่มาจากการที่นางเกิดมาเป็นลูกวัวไม่กลัวเสือ ยิ่งได้อยู่กับองค์ประมุข ก็ยิ่งเข้าใจความคิดของเขามากขึ้น เมื่อเข้าใจก็ยิ่งทำให้นางสั่นเทามากขึ้นเท่านั้น
องค์ประมุขไม่ได้เร่งรัดนาง นางจึงพยายามคิดว่าจะตอบสนองอย่างไรดี
ประมุขหญิงพยายามสงบอารมณ์และตรัสอย่างจริงจัง “เสด็จพ่อ ราชบุตรเขยเป็นบุตรชายของหัวหน้าเผ่าไป๋เอ้อ เรื่องนี้มิใช่ว่าท่านเองก็รับรู้หรือ? คนของเผ่าไป๋เอ้อก็เคยมาที่หนานจ้าวเช่นกัน ท่านก็ได้..ต้อนรับพวกเขาทุกคน มายามนี้ท่านกลับสงสัยในตัวตนของราชบุตรเขยเพราะคำกล่าวหาไร้มูลเพียงไม่กี่ประโยค ท่านจะให้ราชบุตรเขยทนได้อย่างไร? จะให้ลูกทนได้อย่างไร?”
“หนานกงเยี่ยน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง” ประมุขตรัสอย่างเคร่งขรึม สองมือไพล่หลัง
การยอมรับความผิดของตนเองในเวลานี้ นับเป็นความเมตตาสุดท้ายจากองค์ประมุข
ใต้หล้านี้มีคนประเภทหนึ่ง ที่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา มักจะคิดว่าตนเองฉลาดพอที่จะหลอกคนทั้งใต้หล้า
ประมุขหญิงสูดหายใจมองไปที่องค์ประมุขอย่างเศร้าสร้อย “หรือในใจของเสด็จพ่อ ข้าเชื่อใจไม่ได้เท่าคนนอกกระนั้นหรือ? ข้าไม่รู้ว่าผู้ที่เปิดโปงราชบุตรเขยต่อเสด็จพ่อเป็นใคร แต่อีกฝ่ายต้องไม่หวังดีเป็นแน่ เขาหมายให้เราสองพ่อลูกแตกคอ กำจัดราชบุตรเขย เสด็จพ่อได้โปรดไตร่ตรอง!”
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาราชบุตรเขยช่วยนางจัดการกับคนที่เห็นต่างไม่น้อย จึงยากจะรับประกันว่าไม่มีใครคิดริษยานาง นางเชื่อในประเด็นนี้มาตลอด แต่ยังคงไร้หนทางที่จะอธิบายได้ คนนอกเพียงหนึ่งคนจะมองประวัติชีวิตออกได้อย่างไร
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะคิดเรื่องนี้ การหาวิธีขจัดความสงสัยของเสด็จพ่อเป็นกุญแจสำคัญมากกว่า
องค์ประมุขมองนางและตรัสว่า “หนานกงเยี่ยน ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่รับ หลังจากนี้ผลจะเป็นอย่างไร เจ้าต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเองทั้งหมด”
ประมุขหญิงตรัสด้วยสีหน้าอาจหาญ “ขอเสด็จพ่อโปรดเรียกตัวผู้รายงานเรื่องนี้มา ลูกต้องการเผชิญหน้ากับเขา”
องค์ประมุขตรัสอย่างเฉยเมย “ข่าวนี้ลือมาจากหมู่ราษฎร เมื่อแพร่ไปถึงหูของบรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสแห่งวิหารพิษ พวกเขาก็รีบรุดมาถามข้า เจ้าต้องการให้ข้าพาคนมา หวังให้เป็นบรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสหรือราษฎรผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นเล่า?”
ช่างฉลาดแกมโกงกะไรเช่นนี้!
แม้แต่หมู่ราษฎรกับวิหารพิษเหล่าก็ยังใช้ประโยชน์!
ประมุขหญิงมีสัญชาตญาณบางอย่าง ที่บอกว่าผู้ปล่อยข่าวเรื่องราชบุตรเขยเป็นเยี่ยนอ๋องจะเป็นคนเดียวกับผู้ที่ปล่อยข่าวเรื่องที่คุณชายใหญ่แห่งสกุลเห้อเหลียนเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา
เหตุใดอีกฝ่ายต้องทำเช่นนี้…
ทั้งสกุลเห้อเหลียนและราชบุตรเขยต่างก็ทำให้เขาขุ่นเคืองหรือ?
ในขณะที่ประมุขหญิงครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ องค์ประมุขก็ตรัสขึ้นอย่างเฉยเมย “บังเอิญนัก ก่อนที่ราชบุตรเขยจะถูกรายงาน ราชครูได้รายงานว่าบุตรชายคนโตของสกุลเห้อเหลียนเป็นซื่อจื่อจวนเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจว ราชบุตรเขยจะเป็นเยี่ยนอ๋องหรือไม่ ให้พวกเขามาพบหน้ากันก็รู้แล้วมิใช่หรือ?”
ขมับประมุขหญิงเต้นตุบๆ “ไม่ได้นะเพคะเสด็จพ่อ!”
“ไยถึงไม่ได้?” ประมุขเหลือบมองด้วยสายตาดุดัน
เมื่อครู่นางเอ่ยปากเร็วเกินไป ยังไม่ทันคิดว่าจะจัดการอย่างไร ดวงตาของประมุขหญิงเป็นประกาย เอ่ยอย่างพยายามข่มกลั้นความตื่นตระหนกในใจ “ราชบุตรเขยหาจำเรื่องราวในอดีตได้ไม่”
องค์ประมุขตรัส “ไม่สำคัญว่าราชบุตรเขยจะได้หรือไม่ ขอเพียงเด็กนั่นจำได้ก็พอ เยี่ยนอ๋องเป็นบิดาของเขา เขาไม่มีทางจำไม่ได้แม้กระทั่งบิดาของตนเอง”
ประมุขหญิงตรัสอย่างร้อนรน “ยามที่เยี่ยนอ๋องตายจากไป เขาอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น เขาจะจำสิ่งใดได้?”
องค์ประมุขตรัสด้วยดวงตาเฉียบคม “เจ้ารู้จักเยี่ยนอ๋องดียิ่งนัก”
ประมุขหญิงหลุบตาลง “ลูกเป็นตี้จีแห่งหนานจ้าว สถานการณ์ในแคว้นข้างเคียงลูกเข้าใจอย่างลึกซึ้ง”
อย่างไรก็ตามองค์ประมุขได้ตัดสินใจแล้วที่จะให้ทั้งสองพบกัน “หวังเต๋อฉวน ไปนำตัวคนมา”
“พ่ะย่ะค่ะ!” นอกตำหนักจินหลวน ขันทีหวังเอ่ยรับคำด้วยความเคารพและเดินจากไปรวดเร็วปานสายลม
ก่อนที่ประมุขหญิงจะพบกับองค์ประมุข เยี่ยนจิ่วเฉาได้รับเชิญให้เข้าวังโดยทหารม้าของวังหลวง แต่ถูกจัดให้อยู่ในห้องโถงด้านข้างคนละห้องกับราชบุตรเขย
เวลานี้องค์ประมุขมีรับสั่ง ขันทีหวังรีบนำตัวคนมาโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
เยี่ยนจิ่วเฉาสวมอาภรณ์หรูหราสง่างามสีหมึก รูปร่างสูงโปร่งเพรียวบาง โฉมหน้างามประณีตดั่งหยกเจียระไน เขาโดดเด่นกว่าสตรีทุกนางในใต้หล้า มีอารมณ์ที่เยือกเย็นและท่าทางหยิ่งผยอง ความสูงส่งของเชื้อพระวงศ์ที่ได้มาแต่กำเนิดแผ่ซ่านออกจากร่างกายทุกส่วน
ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ตำหนักจินหลวนทั้งหลังดูเหมือนยิ่งสว่างไสวเจิดจ้า
สายตาของประมุขหญิงตกกระทบใบหน้าที่คล้ายกับราชบุตรเขยไม่มีผิด ในใจพลันเกิดความรู้สึกสลับซับซ้อน และร่องรอยของความตื่นตระหนก
แต่องค์ประมุขกลับรู้สึกว่าใบหน้านี้ ดูเหมือนเคยเห็นจากที่ใดสักแห่ง
“ฝ่าบาท เห้อเหลียน…” ขันทีหวังหมายจะกราบทูล แต่เยี่ยนจิ่วเฉาก็ก้าวเข้าตำหนักจินหลวนมาเสียแล้ว
กลิ่นอายทรงพลังอำนาจที่แผ่ปกคลุมดูไม่เหมือนกับผู้ที่ถูกจับมาสอบสวน หากแต่เป็นผู้ที่กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์เป็นประมุขเสียมากกว่า
มุมปากขององค์ประมุขกระตุก
“เหตุใดมีเพียงหนึ่งคน?” เขาถามขันทีหวังที่อยู่ด้านข้าง
ขันทีหวังกล่าว “ทูลฝ่าบาท ราชบุตรเขยหมดสติไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ประมุขหญิงหน้าซีด “พวกเจ้าทำอันใดกับราชบุตรเขย?!”
ขันทีหวังกล่าวด้วยความงุนงง “มิได้ทำสิ่งใดเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
ผู้ใดจะรู้ว่าเขาสลบไปได้อย่างไร? ร่างกายของราชบุตรเขยอ่อนแอขนาดนี้รึ? หรือเจ้าทำให้เขากลวงไปหมดแล้วกันแน่? ฮึ!
ในระยะนี้ราชบุตรเขยได้รับยาซื่อหุนเฉ่าที่มีผลข้างเคียงทำให้นอนหลับยาก หมอหลวงจึงเพิ่มยาที่มีฤทธิ์ทำให้สงบลง ราชบุตรเขยมิได้หมดสติ หากแต่หลับไปเท่านั้น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ประมุขหญิงก็สงบลง
ราชบุตรเขยหมดสติก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสียทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้ บิดาและบุตรก็คงไม่อาจพบหน้ากัน
ไหนเลยจะรู้ว่า ประมุขหญิงยังไม่ทันปล่อยสุดลมหายใจ องค์ประมุขก็ตรัสขึ้นอีกครั้ง “ไปแบกเขามา!”
ประมุขหญิงสะดุ้ง
“…พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีหวังจำใจถอยออกไปตามหาเปลหาม ให้องครักษ์ที่มีพละกำลังวรยุทธ์สองนายมาแบกราชบุตรเขยที่ไม่ได้สติมายังตำหนักจินหลวน
นิ้วมือของราชบุตรเขยขาวซีด ร่างกายซูบผอม นอนไม่ได้สติอยู่บนเปลเช่นนั้น ชวนให้ผู้คนรู้สึกสมเพช
ในดวงตาขององค์ประมุขไม่ปรากฏร่องรอยของความสงสาร “ถอดหน้ากากเขาออก!”
ประมุขหญิงหน้าซีดเผือด
ขันทีหวังค่อยๆ ถอดหน้ากากของราชบุตรเขยออก
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยแผลเป็นปรากฏสู่สายตาผู้คนโดยไม่ทันตั้งตัว
หากไม่มองใบหน้าด้านซ้าย นี่เป็นใบหน้าที่สามารถทำให้สตรีทั่วหล้าประทับใจได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ไอ้หยา” ในใจของขันทีหวังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดใบหน้าของราชบุตรเขยถึงได้คล้ายกับคุณชายใหญ่แห่งสกุลเห้อเหลียน? กระทั่งแผลเป็นก็ยังไม่อาจบดบังความคล้ายคลึงของคนทั้งสอง
มิได้มีเพียงขันทีหวังที่คิดเห็นเช่นนี้ ทุกคนในห้องโถงที่ไม่ได้ตาบอดก็มองเห็นแบบนั้นเช่นกัน
หากบอกว่าพวกเขาไม่ใช่พ่อลูกแท้ๆ เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเชื่อ
…………………………………………