หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 276 พ่ายแพ้ราบคาบ
โอ้สวรรค์!
ราชบุตรเขยมีบุตรชายที่โตถึงเพียงนี้แล้วหรือนี่!
เขาคือเยี่ยนอ๋อง?
ใช่รึไม่?! ใช่รึไม่?! ใช่รึไม่?!
จิตใจขันทีหวังครุ่นคิดอยู่หลายตลบ ทว่าใบหน้านิ่งสงบราบเรียบ
เดิมทีต้องการให้เยี่ยนจิ่วเฉาได้เผชิญหน้ากับราชบุตรเขย แต่ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้เอ่ยแม้เพียงประโยคเดียว ภายในใจของทุกคนกลับรับรู้บางสิ่งบางอย่าง
หากบอกว่าใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาล มิใช่ไร้คนหน้าตาคล้ายคลึง ทว่ามันเกิดขึ้นหลังจากมีข่าวซื่อจื่อแห่งจวนเยี่ยนอ๋องและเยี่ยนอ๋องปรากฏตัวขึ้นที่เมืองหลวง ดังเช่นคำกล่าวลมไม่พัดใบไม้ไม่ไหว หากไม่ใช่พ่อลูก แล้วเหตุใดคนถึงบอกว่าสองพ่อลูกต่างก็มาที่นี่?
“เขาใช่พ่อของเจ้าหรือไม่?” ประมุขตรัสถามเยี่ยนจิ่วเฉา
“พ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
ประมุขครุ่นคิด พระขนงมุ่นเข้าหากัน “เจ้ามาที่ต้าโจว…เพื่อตามหาพ่อของเจ้าหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉานิ่งเงียบ
ความเงียบงันตกอยู่ในสายพระเนตรขององค์ประมุขคือการยอมรับโดยปริยาย
คิดแล้วก็น่าสงสาร บิดาแกล้งตาย สิบห้าปีผ่านไปกลายเป็นบิดาของคนอื่น ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็คงไม่อาจกล้ำกลืน ต้องมาถามให้รู้ถึงที่ว่าแท้จริงเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่
หากเขามาที่นี่เพื่อตามหาบิดาจริง แม้ขัดแย้งต่อหลักกฎหมาย หากแต่ถูกต้องตามหลักทำนองคลองธรรม
ส่วนเหตุใดที่เขาถึงกลายมาเป็นคุณชายใหญ่แห่งจวนเห้อเหลียนนั้น องค์ประมุขตัดสินใจจะถามเห้อเหลียนเป่ยหมิงอีกครั้งในภายหลัง ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการค้นหาตัวตนของราชบุตรเขย
ทั้งสองเป็นพ่อลูกกัน ประมุขมิได้เคลือบแคลงใจ แต่เป็นเยี่ยนอ๋องและบุตรชายจริงหรือไม่ยังต้องตรวจสอบ
“พาราชครูมาพบข้า” ประมุขตรัสน้ำเสียงเย็นชา
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีหวังไปเชิญราชครูมา
แน่นอนว่าราชครูเข้าใจเรื่องราวบางอย่างขึ้นมาแล้ว ก้าวแรกเขาได้รายงานเยี่ยนจิ่วเฉา ก้าวหลังก็มีผู้มารายงานราชบุตรเขย
ที่องค์ประมุขเรียกตัวเขาเข้าเฝ้าเพราะต้องการให้เขายืนยันตัวเยี่ยนจิ่วเฉา
หากเขายืนยัน ก็เท่ากับยืนยันว่าราชบุตรเขยเป็นเยี่ยนอ๋อง แต่หากเขาไม่ยืนยันก็จะไม่สามารถขับไล่เยี่ยนจิ่วเฉา ออกไปจากหนานจ้าวได้
กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ!
ไม่ว่าจะทางเลือกใด ฝั่งที่โชคร้ายก็คือจวนประมุขหญิง!
การกระทำที่ทำให้คนกลับตัวไม่ทันเช่นนี้ เหตุใดเหมือนกับฝีไม้ลายมือของราชบุตรเขยขนาดนั้น?
“ฝ่าบาท ท่านราชครูมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหวังกราบทูลจากด้านนอกประตู
ประมุขโบกพระหัตถ์ไปทางองครักษ์
องครักษ์เข้าใจความหมาย พาราชบุตรเขยที่หมดสติกลับไปที่ห้องโถงด้านข้าง
จากนั้นประมุขจึงตรัสอย่างน่าเกรงขาม “เข้ามา”
ขันทีหวังกล่าวสุดเสียง “ราชครูเข้าเฝ้า—”
ราชครูเข้ามาในตำหนักจินหลวนด้วยสายตามองตรงไม่วอกแวก และถวายบังคมต่อองค์ประมุขอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาท” และหันไปถวายบังคมต่อประมุขหญิง “องค์หญิง”
องค์ประมุขมองเยี่ยนจิ่วเฉาที่ยืนอยู่ด้านข้างและกล่าวกับราชครู “ท่านนี้คือคุณชายใหญ่แห่งจวนเห้อเหลียน เจ้าบอกข้าว่าเขาคือซื่อจื่อจวนเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจว ข้าให้เจ้ามาเพื่อให้ยืนยันอีกครั้งว่า เขาเป็นซื่อจื่อแห่งต้าโจวหรือไม่?”
ราชครูใคร่ตอบว่าไม่
องค์ประมุขตรัสต่อ “เจ้าพินิจจนแน่ใจแล้วค่อยตอบข้า ยังมีขุนนางอีกสามท่านที่เดินทางไปต้าโจวกับเจ้า อีกเดี๋ยวข้าจะเรียกพวกเขามายืนยันตัวตนคุณชายใหญ่แห่งจวนเห้อเหลียนเช่นกัน”
หัวใจของราชครูจมลงสู่ก้นบึ้ง
ความจริงแล้ว ขุนนางทั้งสามเป็นท่าไม้ตายของเขา เขาเคยคิดว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะไม่ยอมรับตัวตนของตนเอง ตอนนั้นเขาจึงเรียกทุกคนที่เคยเห็นเยี่ยนจิ่วเฉามาเพื่อให้ช่วยระบุตัวตนด้วยอีกแรง
ยามนี้ท่าไม้ตายในมือกลับกลายเป็นมีดแหลมที่ตัดเส้นทางล่าถอยของเขาเสียเอง
เขาถูกบังคับให้บอกความจริง
แต่ความจริงจะทำให้จวนประมุขหญิงไม่อาจฟื้นคืนได้อีกตลอดไป
“…พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูกล่าว “เขาคือซื่อจื่อแห่งต้าโจว เยี่ยนจิ่วเฉา”
เล็บของประมุขหญิงจิกลงในเนื้อ
“เจ้าแน่ใจหรือ?” องค์ประมุขถาม
ราชครูสูดหายใจและกล่าวอย่างหมดหนทาง “กระหม่อมแน่ใจ กระหม่อมเคยเห็นเยี่ยนซื่อจื่อที่เมืองจิงเฉิงอยู่หลายครา ยามนี้เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่เดือน กระหม่อมไม่มีทางจำผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าก็คิดว่าเจ้าไม่มีทางจำผิด อย่างไรเสียเจ้าก็เป็นคนที่รายงานข้าเรื่องเยี่ยนซื่อจื่อ” องค์ประมุขตบแขนที่แข็งทื่อของราชครู และหันไปหาขันทีหวัง “ไปเรียกเหล่าขุนนางใหญ่มา ให้พวกเขายืนยันตัวเยี่ยนซื่อจื่อ”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีหวังมองประมุขหญิงด้วยความเห็นใจ
แม่นาง เจ้าจบเห่แล้ว!
ขุนนางใหญ่ทั้งสามมาทำงานที่เน่ย์เก๋อซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักจินหลวน เพียงไม่นานพวกเขาก็เดินทางมาถึง
องค์ประมุขไม่กล่าวยืดเยื้อ ถามเพียงว่าพวกเขารู้จักชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าหรือไม่
“พวกเจ้ารู้จักเขาหรือไม่?” องค์ประมุขชี้ไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา
ใบหน้าของคนทั้งสามฉายแววประหลาดใจ และเอ่ยออกมาอย่างพร้อมเพรียง “เยี่ยนซื่อจื่อ?”
“ฮึ” เยี่ยนจิ่วเฉาเมินหน้าอย่างหยิ่งผยอง
มุมปากคนทั้งสามกระตุก
“พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าตนเองมิได้จำผิด?” องค์ประมุขถาม
ใบหน้าท่าทางนี้ นิสัยขี้หงุดหงิดนี้ หากไม่ใช่ซื่อจื่อตัวจ้อยที่โอ้อวดบุตรชายจนพวกเขาอยากตายจะเป็นผู้ใด?
หากเป็นเช่นนี้ ข่าวลือที่ได้ยินเมื่อเช้าก็เป็นความจริงหรือ? ซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยนปลอมตัวเป็นคุณชายใหญ่แห่งจวนเห้อเหลียนแอบเข้าเมืองหลวงมาแล้วจริงๆ?
นี่เป็นข่าวอันน่าอกสั่นขวัญหายยิ่งนัก!
“พวกเจ้าออกไปก่อน” ประมุขให้ราชครูและขุนนางทั้งสามถอยออกไป
ตัวตนของเยี่ยนจิ่วเฉาถูกยืนยันแน่ชัดแล้ว ตัวตนของราชบุตรเขยก็คงหนีไม่พ้น
ความโศกเศร้าเสียใจของประมุขหญิงเปรียบดั่งแม่น้ำฮวงโห หากรู้ว่าจะเกิดเรื่องวุ่นวายเช่นนี้ นางก็คงไม่รายงานเยี่ยนจิ่วเฉา เช่นนั้นความลับของราชบุตรเขยก็จะยังถูกรักษาไว้
ยามนี้นางต้องทำอย่างไร?
หากเป็นคนที่นางไม่ได้ใยดี นางคงผลักความผิดให้อีกฝ่ายและร้องทุกข์กับองค์ประมุขว่านางถูกหลอกมาตลอด
ขอเพียงนางยืนยันว่าตนเองเป็นเหยื่อ เช่นนั้นเพื่อเห็นแก่เสด็จแม่ องค์ประมุขต้องออมมือให้นางเป็นแน่
แต่นางไม่อาจกลั้นใจผลักราชบุตรเขยไปสู่ความตายได้…
องค์ประมุขมีความตั้งใจจะให้เยี่ยนจิ่วเฉาหลบออกไปอยู่บ้าง แต่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องครอบครัวของสกุลหนานกงเท่านั้น ยังรวมถึงเรื่องครอบครัวของเยี่ยนจิ่วเฉาด้วย เขามีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริงทั้งหมด
กลิ่นอายขององค์ประมุขเยียบเย็นลงฉับพลัน เขามองบุตรสาวที่ครั้งหนึ่งเคยภูมิใจพร้อมกับตรัสว่า “เจ้ายังมีสิ่งใดจะกล่าวอีก?”
หากจะเถียงข้างๆ คูๆ อีกคงเป็นไปไม่ได้ หากคิดจะล้างความผิดยิ่งไร้ประโยชน์
จวนเห้อเหลียนซ่อนเชื้อพระวงศ์แห่งเมืองเยี่ยนไว้ก็เพียงไม่กี่วัน แต่จวนประมุขหญิงซ่อนมาสิบห้าปีเต็ม ทั้งยังให้กำเนิดบุตรของอีกฝ่าย นับว่ามีความผิดเป็นสองเท่า!
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหากคำนวณอายุของหนานกงหลีแล้ว ตอนที่ประมุขหญิงกับราชบุตรเขยร่วมกันให้กำเนิดบุตร ราชบุตรเขยยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจว เขามีภรรยาและบุตร!
เป็นถึงตี้จีแห่งอาณาจักรหนานจ้าว ต่ำต้อยถึงขนาดแย่งสามีของคนอื่น!
ช่างเป็นเรื่องน่าอับอายของราชวงศ์หนานจ้าวยิ่งนัก!
ประมุขหญิงรู้สึกถึงความกริ้วขององค์ประมุข นางพยายามปกป้องตัวเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน
นางใคร่จะกล่าวว่า นางกับราชบุตรเขยตกลงปลงใจ สมัครรักใคร่ที่จะอยู่ร่วมกัน แต่นางรู้ว่าเสด็จพ่อไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ จึงทำให้เขาต้องปลอมแปลงตัวตน
ทว่าคำพูดเหล่านี้ ไม่อาจลบล้างความผิดโทษฐานลบหลู่เบื้องสูงของราชบุตรเขยกับนาง และอาจนำความตายมาสู่ราชบุตรเขยได้
แต่นอกเหนือจากคำพูดเหล่านี้ นางก็คิดไม่ออกว่าควรกล่าวอย่างไร
ขณะที่นางหมดสิ้นความหวัง ก็เหลือบไปเห็นเยี่ยนจิ่วเฉาที่อยู่ด้านข้าง ในใจพลันเกิดประกายความคิด!
นางบีบน้ำตามององค์ประมุขและตรัสว่า “เสด็จพ่อ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของลูก ไม่เกี่ยวกับราชบุตรเขย ท่านจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้ ขอเพียงอย่าทรงกริ้วราชบุตรเขยนะเพคะ! ราชบุตรเขยเป็นบิดาของหลานทั้งสองของท่าน และเป็นอ๋องแห่งต้าโจว…”
องค์ประมุขขัดคำพูดของนางอย่างไม่คิด “เป็นอ๋องแห่งต้าโจว แล้วข้าจะไม่กล้าฆ่ารึ!”
ประมุขหญิงสำลักทันที
เยี่ยนอ๋องเป็นพระอนุชาที่ฮ่องเต้ต้าโจวรักมากที่สุด การฆ่าเขาไม่เท่ากับประกาศสงครามกับต้าโจวหรอกหรือ? หากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ควรส่งคนกลับไปที่ต้าโจว ฮ่องเต้แห่งต้าโจวจะลงโทษเขาเอง อย่างไรก็ไม่ควรสังหารคนให้ตายในหนานจ้าว…
เสด็จพ่อกริ้วแล้วจริงๆ…
แม้แต่อาณาจักรและราษฎร เขาก็ไม่สนใจอีกแล้ว…
เทพสงครามแห่งหนานจ้าวตกลับขอบฟ้าไปแล้ว ทว่าเซียวเจิ้นถิงแห่งต้าโจวยังคงอยู่!
เสด็จพ่อไม่ได้คำนึงถึงผลของสงครามระหว่างทั้งสองประเทศหรือ?
ก็ได้ หากท่านจะฆ่า ก็ต้องฆ่าไอ้เศษสวะนี่ไปด้วย!
ประมุขหญิงชี้นิ้วไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา “เสด็จพ่อ เขาก็แทรกซึมเข้ามาที่หนานจ้าวเช่นกัน เสด็จพ่อจะลงโทษแต่ราชบุตรเขย โดยไม่ลงโทษเขาหรือเพคะ?”
“หากเจ้ามาที่นี่เพื่อตามหาบิดา…” องค์ประมุขมองไปที่เยี่ยนจิ่วเฉา
“ไม่ใช่” เยี่ยวจิ่วเฉากล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ
องค์ประมุขขมวดคิ้ว
เด็กคนนี้โง่หรือไม่?
ไม่เห็นหรือว่าเมื่อครู่ข้าให้ทางลงกับเจ้า?
เขายอมรับว่ามาตามหาบิดา เขาได้ละเว้นโทษตายก็ถูกแล้ว
แต่อย่างไรเสีย คุณชายแห่งเมืองเยี่ยนไม่เคยต้องการการให้อภัยจากผู้ใด
เขาคือกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายบ้านเมืองก็คือเขา!
“กระหม่อมมาที่หนานจ้าวด้วยเหตุผลอื่น
พ่อตาของกระหม่อมชื่อเห้อเหลียนเป่ยอวี้ ในปีนั้นเขาบังเอิญตกจากหน้าผาและได้รับการช่วยเหลือจากผู้มีคุณธรรมท่านหนึ่ง และเติบโตอยู่ในต้าโจว
ฮูหยินผู้เฒ่าเลอะเลือน เข้าใจว่ากระหม่อมเป็นหลานชายของนาง กระหม่อมไม่ได้อยู่ในลำดับวงศ์ตระกูลเห้อเหลียน และสกุลเห้อเหลียนก็ไม่เคยประกาศเรื่องนี้ต่อสาธารณะ หากจะกล่าวให้ชัด นี่หาใช่อาชญาหลอกลวงเบื้องสูง
ครอบครัวฝั่งภรรยากระหม่อมอยู่ที่หนานจ้าว ทำไมหรือ? หากกระหม่อมจะกลับมาเยี่ยมบ้านภรรยาพร้อมกับนางแล้วมันขัดขวางทางผู้ใดกัน?”
องค์ประมุขที่ถูกตอกกลับจนหมดสิ้นคำพูด “…”
…………………………………………