หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 293 พี่จิ่วผู้น่ารำคาญ พบซิวหลัวอีกครั้ง
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 293 พี่จิ่วผู้น่ารำคาญ พบซิวหลัวอีกครั้ง
นับตั้งแต่องค์ประมุขออกฎีกาปลดประมุขหญิง ก็มิได้ว่าราชการเสียหลายวัน หลายคนคาดเดาไปต่างๆ นานา ว่าไม่มีทางให้แก้ไขอีกแล้ว บ้างก็ว่าตี้จีองค์เล็กเป็นบุตรีเพียงคนเดียวที่องค์ประมุขยอมรับ การลงโทษนางเป็นเพียงการสั่งสอนบทเรียน รอให้นางสำนึกผิดและความกริ้วขององค์ประมุขหายไป ก็จะให้นางกลับมารับตำแหน่งประมุขหญิงดังเดิม
ความคิดเห็นแตกต่างกันไป แต่สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับพวกของอวี๋หวั่นอย่างไร?
เดิมทีราชบุตรเขยมีความผิดติดตัว แต่ต้องขอบคุณหนานกงหลี องค์ประมุขทรงกริ้วหนักจนหลีกหนีโลก จึงไม่มีผู้ใดไต่สวนเขา
ก่อนออกเดินทาง องค์ประมุขมิได้บอกว่าจะลงโทษราชบุตรเขยอย่างไร เขาไม่ได้บอกว่าเยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นจะพาตัวราชบุตรเขยไปได้ แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้
อวี๋หวั่นใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ขององค์ประมุข ไปเก็บสิ่งของของราชบุตรเขยกับจื่อซูและฝูหลิงในวันที่สาม
แต่สิ่งที่น่ากล่าวถึง คือสิ่งของส่วนใหญ่ของราชบุตรเขยอยู่ที่เรือนที่ประมุขหญิงอาศัยอยู่เดิม อีกทั้งวันนี้ก็เป็นวันครบกำหนดที่ประมุขหญิงจะต้องย้ายออกจากจวน พวกเขาก็กำลังเก็บข้าวของอยู่
หนานกงเยี่ยนทิ้งกายบนเก้าอี้อย่างเลื่อนลอย ปล่อยให้ข้ารับใช้เดินผ่านหน้าไปมาอย่างเร่งรีบ
ข้ารับใช้หญิงคนหนึ่งทำถ้วยชาหล่นโดยไม่ตั้งใจ น้ำชาหกกระเด็นใส่เท้าของนาง
ข้ารับใช้หญิงรีบคุกเข่าลง “ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต ฝ่าบาทโปรดไว้ชีวิต!”
หนานกงเยี่ยนไม่ตอบสนอง
นางเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ถูกปลดจากตำแหน่ง ราวกับว่าวิญญาณถูกพรากไป เหลือเพียงซากศพที่เดินได้เท่านั้น
อวี๋หวั่นเดินผ่านประตูมาเห็นฉากนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ เอ่ยในใจว่า ถ้ารู้แบบนี้ ก็คงไม่ทำตั้งแต่แรก? ดูไปก็น่าสงสาร แต่ท่าทางน่าสงสารนี้จะแสดงให้ใครดูกันละ?
ยาพิษมิใช่ฝีนาง นางก็จะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือ?
ยามที่แยกเยี่ยนอ๋องมาจากซั่งกวนเยี่ยน นางเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าภรรยาที่สูญเสียสามีและบุตรที่อายุเพียงแปดขวบ จะสิ้นหวังเพียงใด?
แม้ว่านางจะไม่ได้วางยาพิษเด็กๆ แต่นางก็วางยาเยี่ยนจิ่วเฉาจริงๆ
อวี๋หวั่นไม่คิดว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่รู้สึกเลยแม้แต่น้อย
ในระดับที่ใหญ่ขึ้น นางเพียงถูกปลดออกจากตำแหน่งประมุขหญิงเท่านั้น หาได้ถูกลดตำแหน่งเป็นสามัญชน และนางก็ไม่ได้ถูกครอบครัวทอดทิ้ง
ลองนึกถึงตี้จีองค์โตที่ถูกมองเป็นดาวหายนะ และถูกส่งออกจากหนานจ้าวทั้งที่ยังเป็นเพียงเด็กน้อยสิ ความเจ็บป่วดพ่ายแพ้ที่นางได้รับเท่านี้นับเป็นอันใดได้?
ดังนั้น คนที่รักนางมีมากมาย จึงรู้สึกว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่ง
ตามที่อวี๋หวั่นกล่าว คนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่แท้จริงคือตี้จีองค์โตที่ถูกทอดทิ้งตั้งแต่แรกเกิด
แม้แต่ชะตาแห่งตี้จีสักวันก็ยังไม่เคยได้รับ กลับถูกส่งไปขายให้เผ่าปีศาจ เพื่อแลกกับการที่หนานจ้าวจะได้รับของศักดิ์สิทธิ์
“นางบ้าที่ใด?”
เสียงของข้ารับใช้หญิงขัดจังหวะความคิดของอวี๋หวั่น
แต่กลับกลายเป็นว่าจื่อซูที่กำลังเก็บข้าวของในห้องหนังสือของราชบุตรเขยถูกสาวใช้ที่เดินผ่านมาพบเข้า
สาวใช้มองหน้า ใช้วาจาดุตำหนินาง “คนรับใช้จากที่ใด? ห้องตำราของราชบุตรเขยใช่ที่ที่เจ้าจะเข้าออกได้ตามใจหรือ?”
จื่อซูอยู่กับอวี๋หวั่นมานานถึงเพียงนี้ ความกล้าหาญของนางได้เติบโต นางไม่เกรงกลัวสาวใช้ของจวนประมุขหญิงที่ใช้วาจากดข่มอยู่ตรงหน้า พร้อมกับยืดหลังเอ่ย “ข้ารับคำสั่งของราชบุตรเขยให้มาเก็บของ อย่างเจ้าเล่านับเป็นสิ่งใด!”
ข้ารับใช้หญิงเห็นว่าจื่อซูอ่อนแอผอมบาง จึงใช้วาจาหยิ่งยโสเพียงนี้ นางยกมือขึ้นหมายจะสั่งสอนจื่อซูให้รู้สำนึกสักหน่อย แต่ก่อนที่นางจะได้แตะเส้นผมของจื่อซู ก็ถูกฝูหลิงจับด้วยมือทั้งสองข้าง โยนไปทิ้งบนกิ่งของต้นไม้ด้านนอก
ยามอวี๋หวั่นมาถึงห้องตำรา ข้ารับใช้หญิงก็ร้องเรียกองครักษ์ในจวน จนองค์หญิงน้อยตกใจรีบมาดู
นางมองไปที่จื่อซูกับฝูหลิง จากนั้นก็มองอวี๋หวั่นและกัดฟันกล่าว “โอ้โห นี่เจ้าปล่อยให้สาวใช้ของเจ้ามารังแกคนของประมุขหญิงเลยรึ!”
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้มไม่แยแส “จวนประมุขหญิงหาใช่ของเจ้าอีกแล้ว อย่าได้ใช้ฐานะประมุขหญิงมากดข้าเลย เจ้าไม่มีคุณสมบัตินั้นอีกแล้ว”
“เจ้า!” องค์หญิงน้อยแทบสำลักจนหมดสติ
“หลีกทาง” อวี๋หวั่นเดินไปข้างกายนาง ยามที่เดินผ่านกันก็ชนนางอย่างไม่ใยดี
หลังขององค์หญิงน้อยกระแทกกับแผงประตู แม้ไม่เจ็บ แต่กลับต้องอับอายต่อหน้าผู้คน ทั้งอับอายและโกรธเกรี้ยว!
“เยี่ยนหวั่น!” องค์หญิงน้อยตะโกนอย่างดุดัน
อวี๋หวั่นเดินเข้าห้องหนังสืออย่างไม่แยแส และหันกลับมาพูดกับนาง “ข้าลืมบอกเจ้าไป ข้าไม่ได้ชื่อเยี่ยนหวั่น”
เธอคืออวี๋หวั่น และเห้อเหลียนหวั่น
องค์หญิงน้อยยังไม่กลับจากความคิดที่ว่าอีกฝ่ายบินเกาะกิ่งสูงจนได้กลายเป็นหงส์ เห็นชัดๆ ว่านางเป็นหญิงชาวนาที่เติบโตในชนบท จะมาเป็นบุตรีจวนเห้อเหลียนได้อย่างไร?
องค์หญิงน้อยกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “แม้ท่านแม่ของข้าจะไม่ใช่ประมุขหญิง แต่นางก็ยังคงเป็นตี้จีแห่งหนานจ้าว! ข้าเป็นองค์หญิงน้อยแห่งหนานจ้าว! เจ้า…เจ้าพบข้า…เจ้าก็ต้องคุกเข่า!”
อวี๋หวั่นยิ้มหวาน “เมื่อก่อนนี้ เจ้าเคยบอกว่าแม่ของเจ้าเป็นประมุขหญิง มายามนี้นางไม่ได้เป็นแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าอีกสองสามวัน นางจะยังเป็นตี้จีแห่งหนานจ้าวอยู่รึไม่?”
องค์หญิงน้อยฉุนเฉียว “เห้อเหลียนหวั่น! เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้แช่งแม่ข้า!”
อวี๋หวั่นคร้านจะสนใจเด็กประเภทที่เติบโตมาพร้อมกับช้อนทอง ไม่รู้จักความทุกข์ทรมานของผู้คน เป็นคนป่าเถื่อนและเอาแต่ใจ เจ้าร่ำรวยเจ้ามีเหตุผล ราวกับว่าทุกคนล้วนด้อยกว่านาง
“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้แตะต้องสิ่งของของพ่อข้า!”
“เห้อเหลียนหวั่น! ข้าเตือนเจ้า! เจ้าหูหนวกรึ!”
อวี๋หวั่นไม่สนใจนาง
องค์หญิงน้อยไปหาหนานกงเยี่ยนอีกครั้ง
ในที่สุดหนานกงเยี่ยนที่หมดอาลัยตายอยากก็กลับมามีปฏิกิริยาตอบสนอง ดวงตาของนางสั่นไหว ก้าวไปด้านหน้าตามออกไป
“ราชบุตรเขย…ราชบุตรเขย…”
“ราชบุตรเขย!”
นางรีบตามไป โดยลืมว่าตนเองยังไม่ได้แต่งตัวให้ดี นางเดินมาที่ประตูด้วยผมเผ้ากระเซิง ขณะที่กำลังจะเข้าใกล้รถม้า ก็ถูกเยี่ยนจิ่วเฉาขวางเอาไว้
เยี่ยนจิ่วเฉาสูงกว่านางมาก ดังนั้นเขาจึงมองนางอย่างไม่แยแส
หนานกงเยี่ยนพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “ราชบุตรเขยเล่า?”
“ไปแล้ว” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
หนานกงหลีกล่าว “เขาจะไปไม่ได้…เขาเป็นราชบุตรเขย…”
“ราชบุตรเขยที่เจ้าช่วงชิงมา” เยี่ยนจิ่วเฉาขัดคำพูดของนาง
“ข้าไม่ได้ทำ! ไม่ได้ทำ…ข้า…ข้าไม่ได้ช่วงชิงมา…ราชบุตรเขยเต็มใจอยู่กับข้า…” หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่ของหนานกงเยี่ยนร่วงลงมา “ข้าไม่เหลือสิ่งใดแล้ว…ข้าไม่มีราชบุตรเขยอีกไม่ได้…ขอให้ข้าได้พบเขาเถิด…”
“ไม่” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
หนานกงเยี่ยนกล่าวอย่างไม่อยากเชื่อ “ข้าดีกับเจ้าถึงเพียงนี้…ข้าเอายามาให้เจ้า…”
“อย่างไรก็ไม่ได้” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
จู่ๆ หนานกงเยี่ยนก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจ
นางยกมือกุมหน้าอก
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดอย่างเฉยเมย “เสียใจหรือ? เสียใจก็ถูกแล้ว แม่ของข้าต้องมีชีวิตเป็นเช่นนี้มาตลอดหลายปี”
หนานกงเยี่ยนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบสนอง “เป็นไปไม่ได้! นางไม่ได้แต่งงานใหม่ไปแล้วหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉามองขึ้นฟ้าและพยักหน้า “ใช่ นางไม่มีเสด็จพ่อแล้ว ก็ยังมีบุรุษที่ดีอีกคนที่รักนาง แต่เจ้าไม่มีแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าวจบ ก็ปรายตามองนางอย่างเห็นอกเห็นใจก่อนจะกลับหลังหันไปหาบุตรชายทั้งสาม
หนานกงเยี่ยนเกือบโมโหเยี่ยนจิ่วเฉาจนสิ้นใจ ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทูตที่เคยไปต้าโจวไม่ได้พูดเกินจริง ใต้หล้านี้มีคนประเภทหนึ่ง ที่สามารถทำให้ทุกคนโกรธได้อย่างง่ายดาย
“อย่าท้อไป” เยี่ยนจิ่วเฉาหันกลับมาอีกครั้ง “เจ้ายังมีบุตรชาย”
ใช่ นางยังมีบุตรชาย
“แม้ว่าบุตรชายของเจ้าจะหน้าตาไม่ดีเท่าข้า และก็ไม่มีประโยชน์เท่าข้า”
หนานกงเยี่ยน “…”
ราชบุตรเขยไม่รักนาง ประมุขหญิงที่ถูกปลดก็ยังไม่ได้อาเจียนเป็นเลือด แต่ท้ายที่สุดกลับทนไม่ได้ โทสะทำให้เลือดพุ่งสูงและกระอักเลือดออกมา
หนานกงเยี่ยนอาเจียนเป็นเลือดเพราะเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ยุ่งกับนาง คนทั้งครอบครัวเตรียมตัวจากไป มีเพียงบุตรชายสามคนที่ยังคงแกว่งไกวอยู่ในเรือน
เขาต้องไปพาตัวพวกเขากลับมา
ไข่ดำนั่งอยู่บนธรณีประตูของลานที่เงียบสงบ
นี่ไม่ใช่ลานของคนอื่น แต่เป็นที่ที่ซิวหลัวอาศัยอยู่
พวกเขาทั้งสามพบว่าซิวหลัวอาศัยอยู่ที่นี่ในวันแรกที่พวกเขามายังจวนประมุขหญิง ทุกๆ วันพวกเขาจะมาที่ธรณีประตูเพื่อรอซิวหลัว แต่ซิวหลัวก็ไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้ง
องครักษ์ที่เฝ้าเรือนพบเห็นเด็กน้อยสามคน จึงเกิดความกังวลว่าซิวหลัวจะทำร้ายพวกเขาโดยไม่ตั้งใจ หลังจากที่ซิวหลัวดีขึ้นได้ระยะหนึ่ง ช่วงหลังก็กลับมาคลุ้มคลั่งอีกครั้ง และคลุ้มคลั่งมากกว่าเมื่อก่อน เกือบทุกวันจะมีหน่วยกล้าตายที่ต้องจบชีวิตคามือของเขา
แต่สิ่งที่ทำให้องครักษ์รู้สึกแปลกๆ ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่เด็กทารกตัวน้อยเหล่านี้มานั่งบนธรณีประตู พลังของซิวหลัวจะลดลงอย่างมาก แน่นอน ไม่ใช่ว่าซิวหลัวจะกลายเป็นคนธรรมดา ทว่าซิวหลัวพยายามฝืนความกดดัน เพื่อควบคุมความบ้าคลั่งนั้น
กระบวนการในการควบคุมนี้สร้างความเจ็บปวดอย่างมาก
ซิวหลัว…ไม่อยากทำร้ายเด็ก?
ผู้คุมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้
ซิวหลัวเป็นเครื่องมือที่ปราศจากอารมณ์ความรู้สึก
นอกจากฆ่าคน ก็มีแต่ฆ่าคน
เขาจะไม่รู้สึกเสียใจกับผู้ใด รวมถึงตัวเขาเองด้วย
ไข่ดำตัวน้อยคว้าขวดนมขึ้นมาดื่มอย่างไม่เต็มใจ และรอคอยซิวหลัวตลอดเวลา
จนกระทั่งบิดามาตาม ก็ยังไม่เห็นซิวหลัว
“ไปกันเถิด” เยี่ยนจิ่วเฉาจับมือต้าเป่า
หากวันนี้ไปแล้ว ก็จะไม่ได้มาอีก
ต้าเป่าครุ่นคิด และวางขวดเล็กที่มีนมแพะขวดหนึ่งเอาไว้
เยี่ยนจิ่วเฉาจูงมือต้าเป่าและเอ้อร์เป่า มือเล็กๆ อีกข้างของเอ้อร์เป่าก็จูงเสี่ยวเป่า
พวกเขาทั้งสามถูกพาเดินไปข้างหน้าพลาง หันกลับมาด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์พลาง
บนธรณีประตูนอกจากขวดนมน้อยที่โดดเดี่ยว ก็ไม่มีเงาของใครสักคน
จนกระทั่งสี่พ่อลูกเดินหายลับไปสุดทางเดินเล็กๆ
ซิวหลัวจึงแวบกายออกมา
เขาหยิบขวดนมน้อยบนธรณีประตูขึ้นมา และโอบกอดไว้ในอ้อมแขนด้วยความเสียใจ “ฮื้อ~”
…………………………………………