หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 294 พ่อลูก ภาพแฉก (1)
กลุ่มเยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นกลับจวนเห้อเหลียน
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้พบหลานชายและเหลนมาหลายวัน แม้แต่การเล่นไพ่ที่เป็นสิ่งโปรดปรานก็ยังไม่มีกะจิตกะใจ ทันทีที่ได้ยินข้ารับใช้บอกว่าคุณชายใหญ่ คุณหนูใหญ่และคุณชายน้อยกลับมาถึงจวนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับโยนไพ่ใบไม้ในมือ แล้วคว้าไม้เท้าออกไปต้อนรับ
ต้าเป่าเป็นคนแรกที่วิ่งเข้าลานมา
ด้านพละกำลัง น้องชายทั้งสองไม่เคยสู้เขาได้
แต่เสี่ยวเป่ามีแผนสูงกว่าเขา คนยังไปไม่ถึง ทว่าเสียงนำไปก่อนแล้ว
“ย่าทวด! ข้าคิดถึงท่านแทบขาดใจ”
เด็กน้อยทั้งสามมีหน้าตาเหมือนกัน ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเสียงของเสี่ยวเป่าก่อน จากนั้นถึงมองเห็นต้าเป่า นางเกือบเข้าใจว่าผิดต้าเป่าคือเสี่ยวเป่า
ดีที่ต้าเป่ามีผมยาวออกมาเล็กน้อย ฮูหยินผู้เฒ่านับผมบนศีรษะของเขา
หนึ่งเส้น
อ้อ นี่คือต้าเป่า
“เหลนของย่า!” ฮูหยินผู้เฒ่าอุ้มต้าเป่า มองซ้ายมองขวา ช่างหาได้ยากยิ่ง
“ย่าทวด! ย่าทวด!”
“ย่าทวด! ย่าทวด!”
เอ้อร์เป่า เสี่ยวเป่าวิ่งเข้าลานมาพร้อมกัน แต่น่าเสียดายที่ต้าเป่าใช้ร่างอวบอ้วนจองแขนของฮูหยินผู้เฒ่าจนไม่มีที่ว่างสำหรับสองพี่น้องอีกแล้ว
เมื่อเห็นเหลนตัวน้อย ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกดีขึ้น ความโกรธก็คลายลงราวกับว่าอากาศในจวนสดชื่นขึ้น
ไม่นาน เยี่ยนจิ่วเฉากับอวี๋หวั่นก็เข้ามาในลาน
ฮูหยินผู้เฒ่าปล่อยเหลนตัวน้อย เดิมแย้มยิ้มปรีดาเข้าไปต้อนรับหลานชาย
ไม่พบกันไม่กี่วัน เหลนก็ดำขึ้น ส่วนหลานชายกลับขาวขึ้น โตมาอย่างไรกัน?
แน่นอนไม่ว่าจะโตไปเป็นอย่างไร ล้วนเป็นแบบที่ฮูหยินผู้เฒ่าชื่นชอบ
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้ว่าพวกเขาไปดูแลราชบุตรเขยที่จวนประมุขหญิงมา ก่อนจะเดินทางออกจากจวนได้บอกว่านายท่านชินเจีย[1]มาที่เมืองหลวง เลยจะพาเด็กๆ ไปเยี่ยมเยียนเขาสักหน่อย
ความจริงแล้วเพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับรู้สึกราวกับผ่านไปนานหลายปี นางคิดถึงจนไม่เป็นอันทำอะไร
ฮูหยินผู้เฒ่าบีบใบหน้าหลานชายและพูดด้วยความยินดี “กลับมากันหมดแล้ว กลับมาก็ดีแล้ว นายท่านชินเจียสบายดีหรือ? ไยถึงไม่กลับมากับพวกเจ้า?”
บิดาของเยี่ยนจิ่วเฉา หากจะเรียกว่าเป็นนายท่านชินเจียของจวนเห้อเหลียนก็ไม่ผิด
ราชบุตรเขยมีแผนการของตนเอง ช่วงเวลานั้นยังมีความจริงบางอย่าง ที่เขาต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียด ในเมื่อองค์ประมุขยังไม่นึกถึงเขาขึ้นมาในยามนี้ เขาจึงสามารถไปจัดการเรื่องของตนเองได้อย่างสบายใจ
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งอิ่งสือซันกับอิ่งลิ่วติดตามเขาไป
“ท่านย่า ท่านก็ดูข้าด้วยสิ” อวี๋หวั่นเอาหัวน้อยๆ ยื่นให้ฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ฝืนดูนานนัก จึงมองแวบเดียวเท่านั้น
จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าก็ทำเสียงฮึดฮัด เมินหน้าหนี
หลานสะใภ้ตัวเหม็นมีขนดูดีหรือ?
แล้วก็ไม่ใช่เลือดเนื้อแท้ๆ ด้วย~
แน่นอน ฮูหยินผู้เฒ่าปากก็บอกรังเกียจ ‘สะใภ้ตัวเหม็น’ แต่กลับปฏิบัติต่อเธออย่างไร้ที่ติ เมื่ออวี๋หวั่นกลับไปที่ห้อง ก็พบว่ามีเสื้อผ้าที่งดงามดูดีกว่าสิบเจ็ดหรือสิบแปดชุด เครื่องประดับที่เธอเคยสวมใส่เพียงครั้งเดียวถูกฮูหยินผู้เฒ่าโยนเข้าห้องเก็บของ และแทนที่ด้วยชิ้นใหม่
ใช้คำพูดเดิมของฮูหยินผู้เฒ่า ‘หน้าตาก็ไม่สวย ยังไม่แต่งตัวให้ดี ข้ากลัวว่าหลานข้าจะไม่ต้องการเจ้า’
อวี๋หวั่นจะร่ำไห้…
หลังจากคารวะฮูหยินผู้เฒ่า คนทั้งกลุ่มก็ไปคารวะลุงใหญ่ที่เรือนของเห้อเหลียนเป่ยหมิง ไข่ดำทั้งสามไม่พูดจาปีนขึ้นไปนั่งบนรถเข็นจนเต็ม
“ท่านปู่ ท่านปู่ เสี่ยวเป่าจากไปนานเพียงนี้ ท่านคิดถึงเสี่ยวเป่าหรือไม่?” เสี่ยวเป่าชอบได้ยินคนบอกว่าชอบและคิดถึงเขา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าวด้วยความหลงใหล “ต้องคิดถึงแน่นอน”
“เช่นนั้นคิดถึงเสี่ยวเป่าที่สุดใช่หรือไม่?” เสี่ยวเป่าเอ่ยถามด้วยท่าทางบ้องแบ๊ว
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกลั้นหัวเราะไม่อยู่ “คิดถึงทุกคนนั่นละ”
“ไอ้หยา” เสี่ยวเป่าถอนใจด้วยความผิดหวัง “แต่เสี่ยวเป่าคิดถึงท่านปู่ที่สุด”
อวี๋หวั่นยิ้ม “คำพูดนี้ เจ้าก็บอกกับย่าทวดเหมือนกันนะ”
ถูกมารดาทำลายแผนการ เสี่ยวเป่าก็ดูไม่ดีนัก
คำที่เสี่ยวเป่าพยายามแย่งชิงที่สุดก็คือ เด็กน้อยที่เชื่อฟังที่สุด เด็กน้อยที่อายุน้อยที่สุด เด็กน้อยที่น่ารักที่สุด เด็กน้อยที่ชาญฉลาดที่สุด…เอ้อร์เป่าแสร้งเป็นเด็กดีได้มากกว่าเขา ชัดเจนว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ คนที่เป็นที่ชื่นชมมากที่สุดก็คือเขา
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกับเสี่ยวเป่าที่มักเอาแต่ถามผู้คนว่าคิดถึงตนเองหรือไม่ คำทักทายของเอ้อร์เป่านั้นหลากหลายยิ่งกว่า “ท่านปู่ร่างกายสบายดีหรือ? กินเป็นอย่างไรบ้าง? นอนหลับสบายหรือไม่? อากาศเริ่มหนาวแล้ว ต้องสวมเสื้อผ้าหนาๆ…”
ฟังสิ ฟังสิ นี่ถึงเป็นเด็กน้อยที่รู้เรื่องมากที่สุด
หลังจากถูกมารดาทำลายแผนการ เสี่ยวเป่าก็ถูกพี่รองเจ้าแผนการแย่งความโดดเด่นไปอีก
ต้าเป่ายังคงไม่พูด
อวี๋หวั่นมักสงสัยว่าประโยคแรกที่เขาจะพูดเป็นสิ่งใดกันแน่
…
อีกด้านหนึ่ง เรื่องการปลดประมุขหญิงทำให้เกิดความวุ่นวายในหมู่ราษฎรและขุนนางมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจแยกได้ องค์ประมุขไม่อาจเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ หลังจากหนานกงเยี่ยนย้ายออกจากจวนประมุขหญิง ก็กลับไปที่วังหลวงและเข้าราชสำนัก
หนานกงเยี่ยนนั่งในตำแหน่งตี้จีมาหลายปีเช่นนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าในราชสำนักมีผู้สนับสนุนที่ภักดีมากน้อยเพียงใด นางเป็นบุตรสาวของฮองเฮา เป็นสายเลือดดั้งเดิม หากจะสนับสนุนนางก็ไม่ผิด และความสัมพันธ์ของบิดาและบุตรเป็นไปอย่างดียิ่ง แม้ไม่เอ่ยก็ยังระวังวาจาต่อกัน
ยามนี้เกิดเรื่องขึ้น เหล่าข้าราชบริพารที่สนับสนุนหนานกงเยี่ยนก็ต่างตกใจหน้าถอดสี แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้หมดหวังโดยสิ้นเชิง
ประเทศไม่อาจขาดประมุขแม้แต่วันเดียว องค์ประมุขก็แก่มากแล้ว อาณาจักรต้องถูกส่งต่อไม่ช้าก็เร็ว
ยามนี้ดูเหมือนองค์ประมุขมีทางเลือกสองทาง ทางหนึ่งคือเลือกผู้สืบทอดที่เหมาะสมจากสายแยก อีกทางหนึ่งคือพาดาวหายนะที่ถูกเนรเทศกลับมาที่หนานจ้าว แต่ความจริงแล้ว ทั้งสองทางนี้ไม่อาจเทียบได้กับการคืนตำแหน่งแก่ประมุขหญิงตามเจตจำนงของราษฎร
ไม่ว่าแบบใด ประมุขหญิงก็คือดาวนำโชค คราหนึ่งของศักดิ์สิทธิ์ได้เลือกนางเป็นเจ้านาย นางได้รับพรของเทพกู่ ผู้ใดจะดีไปกว่านาง?
สิ่งที่พวกเขาต้องทำในยามนี้ มีเพียงทำให้ความกริ้วขององค์ประมุขสงบลง แล้วค่อยมองทางลงอันมีเกียรติให้แก่องค์ประมุข
ข้างต้นนั้นเป็นความคิดของเหล่าขุนนางใหญ่
พวกเขาคิดเช่นนี้ จึงเป็นเหตุให้ทำเช่นนี้
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องอยากกราบทูล”
“หากจะอ้อนวอนให้ประมุขหญิงที่ถูกปลด เช่นนั้นไม่จำเป็น”
“ทูลฝ่าบาท”
“หากต้องการให้ข้าถอนรับสั่ง ก็ไม่จำเป็นอีกเช่นกัน”
องค์ประมุขได้หยุดปากของขุนนางคนสำคัญถึงสองคน บรรยากาศในห้องโถงสำรวมอาการลงเล็กน้อย
องค์ประมุขชำเลืองมองทุกคน “ฎีกาล่าสุดของข้าได้อธิบายไว้ชัดเจนแล้ว ราชบุตรเขยก็คือเยี่ยนอ๋องแห่งต้าโจว ประมุขหญิงปิดบังข้ามาตลอดหลายปี นางได้กระทำความผิดฐานหลอกลวงประมุข ข้าถอนตำแหน่งของนาง ก็มีคัมภีร์สวรรค์จารีตแผ่นดิน[2] เจ้ากำลังตั้งคำถามกับการตัดสินใจของข้า หรือกฎราชวงศ์แห่งหนานจ้าวกันแน่?”
เรื่องที่หนานกงเยี่ยนวางยาพิษไข่ดำ องค์ประมุขไม่ได้ตรัสถึง เพราะเห็นแก่หน้าของนางและราชวงศ์หนานจ้าว
เมื่อมีฝ่ายที่สนับสนุนประมุขหญิง โดยธรรมชาติแล้วก็ต้องมีฝ่ายที่ต่อต้านประมุขหญิงเช่นกัน
“เริ่มแรกตี้จีกระทำความผิดฐานหลอกลวงประมุข หลังจากนั้นก็สูญเสียของศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าว พฤติกรรมเช่นนี้ ไม่คู่ควรกับตำแหน่งว่าที่ประมุขแห่งหนานจ้าวของข้า!”
………………….…
[1] นายท่านชินเจีย หมายถึง บิดาของฝ่ายเขยหรือสะใภ้
[2] คัมภีร์สวรรค์จารีตแผ่นดิน หมายถึง สัจธรรมความถูกต้องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง