หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 302 หนอนพิษตัวน้อย
หนานจ้าวเกิดเรื่องมากมาย ควรบวงสรวงสวรรค์เพื่อปลอบประโลมราษฎรสักหน่อย
คนหนานจ้าวมีความเชื่อมากกว่าคนจงหยวน สำหรับบางเรื่องก็นับได้ว่างมงาย แต่เมื่อมองอีกมุุมหนึ่ง ที่นี่ก็มีความโดดเด่นในแบบของมัน
หลายวันมานี้อวี๋หวั่นไม่ได้ออกจากบ้าน เธอคอยช่วยอาม่าทดลองวิชาจารึกตัวอักษร การบันทึกเช่นนี้นับว่าเป็นวิชาจารึกอักษรที่เก่าแก่ที่สุด วัสดุสำหรับจารึกหลายประเภททุกวันนี้หาไม่ได้แล้ว จำต้องใช้วัสดุชนิดอื่นมาแทนที่
พวกเขาทดลองกันอยู่หลายครั้ง แต่ก็จบลงด้วยความล้มเหลว ตราบจนเช้าวันนี้ อวี๋หวั่นเผลอทำชาดหยดลงไป จากนั้นเนื้อของน้ำยาก็เปลี่ยนไป
“อาม่า ท่านดู” อวี๋หวั่นส่งให้อาม่าดูน้ำยาที่ข้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
อาม่ายกขึ้นมาดม พร้อมกับพยักหน้า “แปรง”
อวี๋หวั่นหยิบแปรงอันเล็กส่งให้เขา
อาม่าค่อยๆ จุ่มแปรงลงไปในน้ำยา แล้วค่อยๆ ปาดน้ำยาลงบนหน้าปกบันทึก
เรื่องไม่คาดฝันได้เกิดขึ้นแล้ว ตัวอักษรเล็กๆ บนหน้าปกซึ่งเขียนว่า ‘เปลือยหน้ามองสวรรค์[1]’ ก็ปรากฏให้เห็น
เป็นตัวอักษรที่ไม่คุ้นตา อวี๋หวั่นอ่านไม่ออก
แต่ช่วยไม่ได้ น้ำยาของพวกเขาใช้การได้แล้ว
“อาม่าท่านอ่านตัวหนังสือออกไหม?” อวี๋หวั่นถาม
อาม่าพยักหน้า นี่เป็นตัวอักษรโบราณ แต่ก็มิได้ยากเกินความสามารถของนักบวชแห่งเผ่าปีศาจ นั่นเป็นเพราะบันทึกจำนวนไม่น้อยของนักบวชใช้ตัวอักษรประเภทบันทึกตำรา แม้ว่าเขาจะไม่ได้เปิดตำรามานานหลายปี แต่เขาก็ยังพอจดจำได้ การอ่านบันทึกทั้งฉบับมิได้นับว่ายากเย็น
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปากด้วยความดีใจ “เช่นนั้นต้องรบกวนอาม่าแล้ว”
อาม่ากล่าวด้วยสัตย์จริงว่า “ข้าร้างราไปนาน อ่านทั้งหมดนี้อาจต้องใช้เวลานานสักหน่อย แต่ข้าจะทำให้เร็วที่สุด”
“อื้ม!”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของสามีตน อวี๋หวั่นจึงไม่ได้มีท่าทีเกรงใจอาม่าเท่าไรนัก “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านแล้ว ท่านค่อยๆ ดู”
ในฐานะที่เป็นนักบวชที่มีความรู้ความสามารถที่สุดของเผ่าปีศาจ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าอาม่าเกลียดการอ่านหนังสือเป็นที่สุด ทว่าตั้งแต่เป็นอาจารย์ในหมู่บ้านเหลียนฮวา ปัญหานี้ก็ค่อยๆ คลี่คลาย เขาไม่รู้สึกวิงเวียนและตาลายขณะอ่านหนังสืออีกต่อไป
อาม่าเริ่มลงมืออ่านบันทึกอย่างตั้งใจ อวี๋หวั่นปิดประตูห้องให้เขาเบาๆ
อวี๋หวั่นกลับไปยังสวนอูถง
เด็กน้อยทั้งสามไปฝึกวรยุทธ์(ปล่อยหนอนพิษ)กับอาเว่ย ไม่อยู่ในเรือน เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไม่อยู่ เขากับชิงเหยียนออกไปซื้อถังหูลู่และบัวลอยให้เด็กๆ
เมื่อมีชิงเหยียนไปด้วย อวี๋หวั่นก็วางใจ เธอตัดสินใจไปโผล่ให้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นหน้าสักหน่อย ทันทีที่เดินเข้าไป ก็พบกับอวี๋เซ่าชิงซึ่งเพิ่งเดินออกมานอกห้อง
ด้านหลังของอวี๋เซ่าชิงมีนางเจียงซึ่งเดินคอตก ทำหน้าเศร้าสร้อยตามมา
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าช่วงนี้ท่านพ่อของเธอมีท่าทีแปลกประหลาด ไปที่ไหนก็ต้องพาท่านแม่ไปด้วย อายุเท่านี้แล้วยังตามติดกันอยู่อย่างนี้จะดีหรือ? ลูกสาวอย่างเธอแทบจะไม่กล้ามองแล้ว!
ถูกตามประกบเช่นนี้ ก็หมดหนทางหนีไปเล่นการพนันแล้วน่ะสิ
อาซูปวดใจเหลือเกิน
อาซูไม่ได้พูดออกไป
อวี๋หวั่นรู้สึกตื่นเต้นกับฉากในนิยายรักจนเธอตัดสินใจไปหาเยี่ยนจิ่วเฉา
เพิ่งจะเดินพ้นประตูจวนตะวันตก เยี่ยนจิ่วเฉาก็กลับมาแล้ว ในมือของเขานั้นว่างเปล่า เป็นชิงเหยียนที่ถือถังหูลู่
และบัวลอย เขาถือจนปวดมือไปหมด
ชิงเหยียนรีบถือของเดินเข้าไปในจวน อวี๋หวั่นจะเข้าไปช่วย แต่กลับถูกเยี่ยนจิ่วเฉารั้งเอาไว้
“จะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง” เยี่ยนจิ่วเฉาบอก
อวี๋หวั่นถามด้วยความประหลาดใจว่า “ไปไหน”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบอย่างมีลับลมคมใน “ประเดี๋ยวไปถึงก็รู้”
“ไม่พาพวกต้าเป่าไปด้วยหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“พาพวกเขาไปทำไม?” เยี่ยนจิ่วเฉาถามกลับ
ที่แท้ก็อยากไปออกเดทกับเธอสองต่อสอง อวี๋หวั่นหน้าแดงขึ้นมาทันใด แต่งงานกันมานานขนาดนี้ เวลาอยู่ด้วยกันลำพังนั้นมีน้อยนิด เมื่อเขามีใจอยากทำอย่างนี้ เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้
อวี๋หวั่นเดินตามสามีขึ้นรถม้าไปด้วยจิตใจเบิกบาน
โลกที่มีเพียงเราสอง สามีของเธอติดเธอจริงๆ เลยนะ!
จากนั้นไม่นาน อวี๋หวั่นก็ตระหนักได้ว่าเธอคิดมากเอง…
ในทุกๆ ปี หนานจ้าวจะมีพิธีบวงสรวงสวรรค์หลายครั้ง แต่ทุกครั้งจะจัดโดยสำนักราชครูหรือวิหารพิษ น้อยครั้งนักที่องค์ประมุขจะปรากฏตัวในพิธี ครั้งก่อนเมื่อสองปีที่แล้วหลังจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ยอมรับตี้จีเป็นเจ้านาย องค์ประมุขทรงเปรมปรีดิ์และมาเข้าร่วมพิธีบวงสรวงสวรรค์
ในพิธี ตี้จีเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คน หลังจากนั้นไม่นานนางก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประมุขหญิงรัชทายาท
ตี้จีองค์เล็กได้รับคำแซ่ซ้องสรรเสริญจากราษฎร ผู้คนรักและศรัทธาในตัวนางมากยิ่งกว่าองค์ประมุขเสียอีก จนกลายเป็นปรากฏการณ์ ‘ตี้จีผู้เป็นที่รักของพสกนิกรหนานจ้าว’
ทว่าหลังจากสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยไปและตัวตนของราชบุตรเขยถูกเปิดเผย ชื่อเสียงของนางก็ดิ่งลงเหวลึกสักสิบจั้งเห็นจะได้
อย่างไรก็ดี เมื่อได้ยินว่านางได้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับมาอยู่ในครอบครองและนำความสุขมาสู่ปวงประชาชาวหนานจ้าวอีกครั้ง ผู้คนต่างก็ทยอยกันมา
แท่นบูชาอยู่ห่างจากวังหลวงไปทางทิศใต้สามสิบหลี่ พื้นที่กว้างขวาง ฮวงจุ้ยดี ฟ้ายังไม่สางผู้คนก็มารอที่นี่แล้ว เมื่อเกี้ยวของหนานกงเยี่ยนและองค์ประมุขมาถึง แท่นบูชาก็ถูกห้อมล้อมจนแน่นขนัด
เหล่าราชองครักษ์ใช้พลังไปมากโขกว่าจะเปิดทางให้ทั้งสอง
หนานกงหลีและองค์หญิงน้อยก็ตามมาเช่นกัน เพียงแต่พวกเขามิได้อยู่บนเกี้ยว หากแต่เดินอยู่ด้านหลังองค์ประมุขและหนานกงเยี่ยนพร้อมกับขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊
เดือนสิบเอ็ดในหนานจ้าวอากาศเย็นสบาย ทว่าเสื้อผ้านั้นค่อนข้างหนา มิหน้ำซ้ำยังต้องเดินมาอีก ขุนนางทั้งหลายต่างร้อนจนเสื้อเปียกชุ่ม ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฝูงชนซึ่งเบียดเสียดกันอยู่นาน พวกเขาตัวเปียกชุ่มราวกับฝนห่าใหญ่เพิ่งตกลงมาไปตั้งแต่แรกแล้ว
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีจะยอมแพ้และกลับบ้านไป
“ตี้จีได้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คืนมาแล้วจริงหรือ?”
“ได้ยินว่าอย่างนั้น แต่นางมาบวงสรวงสวรรค์ทำไมกัน เรื่องอย่างการบวงสรวงสวรรค์ ใครอยากมาก็มาได้อย่างนั้นหรือ?”
“ดูนั่น องค์ประมุขให้นางขึ้นไปบนแท่นบูชาละ!”
ชาวบ้านต่างมองไปยังแท่นบูชา
องค์ประมุขและหนานกงเยี่ยนลงจากเกี้ยว ลูกศิษย์วิหารพิษและสำนักราชครูซึ่งคอยอยู่ด้านข้างต่างคุกเข่าลง
องค์ประมุขก้าวขึ้นบันได เมื่อเดินไปเพียงก้าวเดียว ก็หันหลังกลับและยื่นมือมาหาหนานกงเยี่ยนในทันใด
หนานกงเยี่ยนรู้สึกตื้นตันจนขอบตาแดงก่ำ นางวางมือลงบนฝ่ามือของบิดา แล้วเดินตามเขาขึ้นไปยังแท่นบูชาอันศักดิ์สิทธิ์
นางสวมอาภรณ์ยาวแขนกว้างสีขาวขอบสีแดง แขนเสื้อและชายกระโปรงปลิวไหวในสายลม แม้ว่านางจะไม่ใช่ดรุณีน้อยแรกรุ่น ทว่ารูปร่างหน้าตาของนางยังคงงดงาม เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและอำนาจแห่งราชวงศ์
วินาทีที่นางเดินขึ้นไปบนแท่นบูชา เสียงของผู้คนก็ดังระงมในทันใด
องค์ประมุขเดินนำนางไปยังรูปสลักของเทพพิษ
นางประสานมือ วางมือลงทาบอก ค่อยๆ คุกเข่าลงบนพรมและก้มศีรษะคำนับด้วยความศรัทธา พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าหนานกงเยี่ยน คำนับเทพ ขอจงคุ้มครอง ข้าหนานกงเยี่ยนเสาะแสวงหาสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จนพบ วันนี้บวงสรวงสวรรค์ มิใช่เพียงขอท่านคุ้มครอง แต่เพื่ออวยพรแก่อาณาประชาราษฎร์”
เมื่อฝูงชนโดยรอบแท่นบูชาได้ยินสิ่งที่นางพูดก็รู้สึกตื้นตัน ต่างชะเง้อคอเพื่อมองนาง
หนานกงเยี่ยนรู้ว่าผู้คนกำลังรอคอยสิ่งใด ก่อนหน้านี้นางกังวลว่าจะหลอกได้ยาก แต่เมื่อเห็นพลังของราชินีสัตว์พิษ ความกังวลของนางก็มลายหายไป
พลังของราชินีสัตว์พิษนี้มิได้ด้อยไปกว่าพลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เลย
นางกวาดสายตาไปยังราชครูและปรมาจารย์พิษอาวุโสจากวิหารพิษ
ราชครูรู้ตื้นลึกหนาบางของเรื่องนี้ จึงยังคงสงบนิ่ง ทว่าเหล่าปรมาจารย์พิษอาวุโสต่างอดรนทนไม่ไหว
หนานกงเยี่ยนพึงพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนองของผู้คน นางลุกขึ้นยืน และทักทายราชครูและปรมาจารย์พิษอาวุโส
ครั้งนี้ปรมาจารย์พิษอาวุโสเป็นผู้เตรียมไข่มุกพิษ เนื่องจากเป็นพิธีบวงสรวงสวรรค์ จำต้องทำให้มีความศักดิ์สิทธิ์ ย่อมไม่อาจหยิบไข่มุกพิษมาสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วปล่อยให้ส่องแสงเช่นนั้น
พวกเขาหยิบรูปสลักของเทพพิษออกมาหนึ่งร้อยชิ้น ทุกชิ้นล้วนแต่ใช้ไข่มุกพิษทำลูกตา
นับรวมทั้งหมดสองร้อยลูก!
แม้ว่าจะมีความเชื่อมั่นในราชินีสัตว์พิษอย่างเต็มเปี่ยม แต่หนานกงเยี่ยนก็ยังหายใจเฮือกด้วยความตกใจ
ครั้งก่อนที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับมาจากเผ่าปีศาจ วิหารพิษเคยใช้ไข่มุกพิษทดสอบ ไข่มุกพิษสองร้อยเม็ดคือจุดสูงสุดของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ภายหลังปรมาจารย์พิษอาวุโสก็จะทดสอบเช่นนี้ทุกปี และได้ผลเหมือนกันทุกปี
หนานกงเยี่ยนเคยลองทดสอบราชินีสัตว์พิษด้วยตนเอง สองร้อยกับอีกหนึ่งเม็ด ราชินีสัตว์พิษทำให้ไข่มุกพิษส่องสว่างได้มากกว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเม็ด
สำหรับหนานกงเยี่ยนแล้ว นางยกให้สิ่งนี้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริง
หนานกงเยี่ยนเดินไปอย่างเปี่ยมความมั่นใจ
จากนั้นก็เห็นไข่มุกพิษสว่างขึ้นเรื่อยๆ
แต่เป็นเพราะนี่คือตอนกลางวัน ไข่มุกเหล่านี้จึงแลดูไม่อาจเทียบกับไข่มุกพิษในตำหนักจินหลวน ทว่าก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนตื่นตะลึง
“เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์…เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ! ตี้จีได้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมาแล้ว!”
ไม่รู้ว่าผู้ใดร้องขึ้นท่ามกลางฝูงชน ทันใดนั้นเสียงก็ดังเซ็งแซ่
ในตอนนั้นเอง เยี่ยนจิ่วเฉาก็จูงอวี๋หวั่นเข้าไปในฝูงชน
ทำอะไรน่ะ?
ไม่ใช่โลกที่มีเพียงเราสองคนหรอกเหรอ? ทำไมมีหลอดไฟเยอะขนาดนี้ละ?!
อีกอย่าง คนพวกนี้กำลังทำอะไรกันอยู่?
อวี๋หวั่นถูกเบียดจนไส้แทบทะลัก หายใจไม่ออก
ผู้คนต่างก็คิดจะคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อกราบไหว้สัตว์ศักดิ์สิทธิ์
หนานกงเยี่ยนได้เตรียมตัวยืนด้วยท่าทางหยิ่งทระนงและสง่างามเอาไว้แล้ว
แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียง ‘โป๊ะ’ ดังขึ้น!
ไข่มุกพิษเม็ดหนึ่งระเบิดออก
หนานกงเยี่ยนตกใจ ผู้คนก็ตกใจเช่นกัน
จากนั้นเรื่องไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น ไข่มุกพิษซึ่งเดิมทีส่องแสงพอมองเห็นก็พลันเปลี่ยนเป็นแสงสีทองสว่างจ้า
โป๊ะ!
ไข่มุกพิษอีกเม็ดหนึ่งแตกออก
ครั้งนี้ผู้คนมองสถานการณ์ออกแล้ว
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์คล้ายกับว่าจะมีพลังเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ไข่มุกพิษระเบิดออก
ราชครูมองไปยังหนานกงเยี่ยน แม้จะยังไม่กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น แต่นี่ย่อมมิใช่เรื่องร้าย ต้องยกความดีความชอบให้ร่างกายของหนานกงเยี่ยน ที่สามารถทำให้พลังของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เพิ่มขึ้นได้
“ขอแสดงความยินดีกับ…”
ราชครูยังไม่ทันพูดจบ ก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก
ท่ามกลางฝูงชนซึ่งกำลังตกตะลึงจนอ้าปากค้าง มันก็วิ่งหนีไป!
…………………………………………..
[1] เปลือยหน้ามองสวรรค์ หมายถึงสตรีในวังหลวงไม่แต่งหน้าไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หรือบางครั้งใช้เปรียบเปรยว่าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง