หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 310 สามีภรรยาพบหน้า
เดือนสิบเอ็ดในเมืองหลวงหิมะตกแล้ว ในหนานจ้าวกลับยังคงอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ อากาศมักไม่ค่อยร้อนมาก สภาพอากาศเช่นนี้ทำให้จิตใจปลอดโปร่ง
อวี๋หวั่นนั่งโกนผมให้เด็กทั้งสาม
ก่อนหน้านี้ทั้งสามคนปฏิเสธ ไม่อยากโกนศีรษะ แต่หลังจากโกนไปแล้วก็ไม่ต้องถักเปีย ทั้งสามคนดีใจเหลือเกิน เมื่อมีผมขึ้นมาหรอมแหรมก็รีบยื่นศีรษะมาตรงหน้าอวี๋หวั่น ให้เธอโกนผมให้พวกเขา
ศีรษะเล็กๆ ดูกลมใสน่ารัก หากเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกสักหน่อย ก็คงเหมือนกับสามเณรน้อยไม่มีผิดเพี้ยน!
อวี๋หวั่นหอมแก้มลูกๆ ของเธอ น่ารักจริงๆ เลย!
ขณะที่สี่แม่ลูกเล่นกันอยู่นั้น ก็มีสาวใช้คนหนึ่งเข้ามารายงานว่า “มีแขกมาเจ้าค่ะ บอกว่าเดินทางมาไกลเพื่อมาหาคุณชายกับฮูหยินน้อย ตอนนี้เชิญไปที่โถงบุปผาแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าเดินทางมาไกล อวี๋หวั่นก็เดาออกทันทีว่าเป็นใคร เธอส่งผ้าที่เพิ่งเช็ดไปได้เพียงครึ่งเดียวให้ฝูหลิงและจื่อซู จากนั้นก็เดินไปยังโถงบุปผา
เด็กทั้งสามเห็นว่าท่านแม่หายไป จึงมองซ้ายมองขวาด้วยความมึนงง และเดินเตาะแตะตามออกไป
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปในโถงบุปผา
เด็กน้อยทั้งสามยืนอยู่ด้านหลังประตู ยื่นศีรษะน้อยๆ เข้าไป
วันนี้แสงแดดกำลังดี โถงบุปฝาโอ่โถงโปร่งสบาย
บุรุษร่างกำยำทรงพลังยืนอยู่กลางโถงบุปผา ร่างสูงใหญ่กว่าคนทั่วไปทำให้ดูราวกับขุนเขาตั้งตระหง่าน
ใบหน้าหล่อเหลาแลดูเย็นชา นัยน์ตาคมกริบ หากไม่ยิ้มจะดูดุดันแข็งกร้าว เมื่อยิ้มขึ้นมา แม้จะไม่ได้แลดูดุดัน แต่ก็ยังน่าหวาดกลัว
แต่คนผู้นี้ คอยปกป้องเธอและเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่เสมอ
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปาก “ท่านพ่อ!”
เซียวเจิ้นถิงกำลังมองภาพเขียนซึ่งแขวนอยู่บนผนัง แม้ว่าเขาจะอ่านไม่ออก แต่ก็ยังแสดงท่าทางว่าอ่านออก เขาจะไม่ทำให้ฉงเอ๋อร์และลูกสะใภ้ของเขาต้องขายหน้า
เมื่อได้ยินเสียงของอวี๋หวั่น เซียวเจิ้นถิงก็หันหลังกลับมา
ไม่พบหน้ากันมาพักใหญ่ อวี๋หวั่นไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ทว่าผิวพรรณดีขึ้น องคาพยพบนใบหน้าก็เด่นชัดขึ้นกว่าแต่ก่อน บางทีตัวอวี๋หวั่นเองอาจไม่ได้สังเกต แต่รอยยิ้มของเธอก็แลดูสดใสกว่าเดิมมาก
ครั้งแรกที่เซียวเจิ้นถิงเห็นเด็กคนนี้ เขารู้สึกว่าเธอเย็นชาอยู่บ้าง บัดนี้รู้สึกได้ว่าเธอมีชีวิตชีวาสมวัยแล้ว
“อาหวั่น” เซียวเจิ้นถิงเอ่ยทักทายด้วยความดีใจ
เด็กน้อยทั้งสามทำตาโต
พวกเขาไม่ค่อยได้คลุกคลีกับเซียวเจิ้นถิง อีกทั้งยังไม่ได้พบหน้ากันมานาน จึงยากที่จะหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่คุ้นเคย
เซียวเจิ้นถิงเห็นพวกเขาหลบอยู่หลังประตู จึงรีบเดินไปหา
“ว้าวว! ”
เสี่ยวเป่ามองไปยังบุรุษร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาหาตน เขาดูประหนึ่งภูเขาที่กำลังลอยมา
เซียวเจิ้นถิงอุ้มเสี่ยวเป่าขึ้นมา
“ว้าวว!” เสี่ยวเป่าพลันรู้สึกว่าตนกำลังลอยขึ้นฟ้า
“เสี่ยวเป่า เรียกท่านปู่สิ” อวี๋หวั่นบอก
เสี่ยวเป่าเอนศีรษะเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นอย่างว่าง่าย “ท่านปู่!”
เซียวเจิ้นถิงชะงักไป “เสี่ยวเป่าพูดได้แล้วหรือ?”
อวี๋หวั่นพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เป่าก็พูดได้แล้ว”
เอ้อร์เป่าเดินเขย่งปลายเท้าเข้ามา แล้วร้องเรียกท่านปู่ราวกับกำลังยืนยันคำพูดของท่านแม่
เซียวเจิ้นถิงมีความสุขเหลือเกิน จากนั้นจึงอุ้มเอ้อร์เป่าและต้าเป่าขึ้นมาด้วย
แขนของเซียวเจิ้นถิงมีกำลังมาก อุ้มเด็กอ้วนจ้ำม่ำทั้งสามจึงไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่
เด็กทั้งสามคนเปลี่ยนไปมาก เรื่องเนื้อหนังที่มีเพิ่มขึ้นนั้นไม่ต้องเอ่ยถึง พุงของพวกเขาสะสมไขมันจนอ้วนกลม ตัวสูงขึ้น แขนขาเริ่มมีเรี่ยวแรงมากกว่าเดิม
ครั้งแรกที่เห็นพวกเขา พวกเขาดูเหมือนลูกลิงตัวน้อยที่ผอมโซ เซียวเจิ้นถึงไม่กล้าแม้แต่จะอุ้ม ด้วยกลัวว่าจะทำให้พวกเขาบาดเจ็บ
เซียวเจิ้นถิงมองไปยังเด็กอ้วนจ้ำม่ำทั้งสาม รู้สึกว่าพวกเขาน่ารักจนไม่อยากละสายตา
เขามีเครา
เสี่ยวเป่าจับเคราของเขา
เอ้อร์เป่าก็จับเคราของเขา
นี่มันไม่ต่างอะไรกับการกระตุกหนวดเสือ
ถ้าหากผู้ใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่เซียวเห็นภาพเหตุการณ์นี้ คงจะตกใจกลัวกันยกใหญ่
เซียวเจิ้นถิงรักและเอ็นดูเซียวเหยี่ยน แต่ก็ไม่เคยปล่อยให้เซียวเหยี่ยนเล่นกับตนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขารักและเอ็นดูเด็กน้อยทั้งสามมากขนาดไหน
“ยังจำปู่เซียวได้ไหม?” เขาเอ่ยถาม
“จำได้ขอรับ!” เสี่ยวเป่ามือหนึ่งจับเคราของเขา พร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ
อวี๋หวั่นทั้งโมโหทั้งรู้สึกขบขัน เคยพบหน้าแม่ทัพเซียวกี่ครั้งกัน จำได้ก็แปลกแล้ว อายุแค่นี้ รู้จักพูดปลอบใจผู้อื่น ไม่รู้ว่าไปเรียนจากใครมา
เซียวเจิ้นถิงร่างสูงใหญ่ ใบหน้าดุดัน คนทั่วไปเมื่อเห็นเขาก็จะหวาดกลัว เด็กทั้งสามคนนี้ก็เหมือนกับท่านพ่อของพวกเขา ใจกล้า ไม่เกรงกลัวผู้ใด
“ท่านพ่อ นั่งก่อนเจ้าค่ะ” อวี๋หวั่นไปชงชา พร้อมกับยกผลไม้และขนมมาให้เขา
เซียวเจิ้นถิงอุ้มเด็กทั้งสามไปนั่ง
เด็กน้อยเหล่านี้ไม่กลัวคน จึงปีนป่ายไปบนตัวของเซียวเจิ้นถิง
ทว่าอวี๋หวั่นมีเรื่องพูดกับเขา จึงให้สาวใช้มาอุ้มเด็กๆ ไปเล่นด้านนอก
“ท่านพ่อเดินทางมาลำบากกระมัง?” อวี๋หวั่นส่งถ้วยชาให้เซียวเจิ้นถิงด้วยสองมือ
เซียวเจิ้นถิงยกชาขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง “ข้าก็ไม่ได้ลำบากอะไร…” เขาชะงักไปครู่หนึ่ง มองไปรอบๆ “ฉงเอ๋อร์เล่า?”
อวี๋หวั่นตอบว่า “เขาไม่รู้ว่าท่านพ่อจะมา เลยออกไปข้างนอกเจ้าค่ะ”
หลายวันมานี้เยี่ยนจิ่วเฉาสร้างเรื่องอยู่เป็นนิจ ก่อนหน้านี้เพิ่งจะลากหนานกงหลีลงมาจากการจัดอันดับคนงาม ไม่รู้ว่าช่วงนี้เขาจะทำอะไร แต่ถ้าเขามีความสุขก็ปล่อยให้เขาทำไป อวี๋หวั่นไม่ได้ไปยุ่มย่าม
“อีกประเดี๋ยวก็คงกลับมา” อวี๋หวั่นเป็นห่วงว่าเซียวเจิ้นถิงจะรู้สึกผิดหวัง จึงรีบพูดขึ้นมา
เซียวเจิ้นถิงพยักหน้า “สุขภาพของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?”
อวี๋หวั่นตอบว่า “ดีเจ้าค่ะ” ด้วยความพยายามของชุยเฒ่า เขาจึงสามารถระงับพิษได้ดี
เซียวเจิ้นถิงถอนหายใจ “พวกเจ้านี่นะ ตอนนั้นออกมาโดยไม่บอกกล่าว บอกว่าจะไปเมืองเยี่ยน ข้าก็เดาแล้วว่าคงไม่ใช่แค่นั้น ตอนนี้ฝ่าบาททรงรู้เรื่องแล้ว เรื่องของพ่อเจ้าก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว ฝ่าบาททรงโมโหมาก บอกว่าพวกเจ้าทั้งสองลอบออกจากเมืองหลวงไปเช่นนี้ เท่ากับไม่เห็นพระองค์อยู่ในสายตา แต่ว่าภายหลังเมื่อได้ยินว่าพวกเจ้าออกไปตามหายามารักษาฉงเอ๋อร์ พระองค์ก็ไม่ได้ว่าอะไรอีก”
ฮ่องเต้นั้นดื้อรั้นและไม่ค่อยฟังผู้ใด ทั้งยังช่างสงสัยและหวาดระแวง ทำเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยมาไม่น้อย แต่ความหวังที่อยากให้เยี่ยนจิ่วเฉามีชีวิตอยู่ต่อนั้นเป็นเรื่องจริง
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรตัดสินเขาว่าเป็นคนอย่างไร เขาเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารังเกียจ เมื่อก่อนเขาอ่อนแอ ไม่ยอมรับว่าตนเป็นผลผลิตที่เกิดจากฮองเฮาคนก่อนกับบุรุษอื่น ทำให้เยี่ยนอ๋องต้องเดือดร้อนแทนเขา ชะตาชีวิตของเยี่ยนอ๋องและเยี่ยนจิ่วเฉาจึงแปรเปลี่ยนด้วยเหตุนี้ แต่เขาก็สังหารฮ่องเต้องค์ก่อนกับมือ เพียงเพื่อช่วยชีวิตเยี่ยนอ๋อง…
ถ้าจะให้อวี๋หวั่นรู้สึกขอบคุณเขา อวี๋หวั่นก็คงทำไม่ลง แต่ถ้าจะให้อวี๋หวั่นหักหลังเขา อวี๋หวั่นก็ทำไม่ได้เช่นกัน
อวี๋หวั่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในสายตาของเซียวเจิ้นถิง นั่นหมายความว่าเธอกำลังกังวล เขาจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “พระองค์ไม่กล่าวโทษพวกเจ้าหรอก ทันทีที่ได้ยินว่าฉงเอ๋อร์มีหนทางรักษา พระองค์ก็ทรงยินดี”
เซียวเจิ้นถิงทั้งถูกฮ่องเต้ยึดอำนาจทางการทหาร ทั้งวางยา หากบอกว่าไม่เกลียดก็คงเป็นการโกหก แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธความทุ่มเทที่ฮ่องเต้มีต่อเยี่ยนจิ่วเฉา
“ไม่พูดเรื่องของพระองค์ดีกว่า” อวี๋หวั่นบอก “ท่านพ่อเดินทางมาไกล หิวหรือไม่? ข้าจะกินข้าวกับท่าน”
“ไม่ต้องรีบร้อน” เซียวเจิ้นถิงหยิบจดหมายออกมาจากในอกเสื้อ “ก่อนจะมาที่นี่ข้าแวะไปที่หมู่บ้านเหลียนฮวา นี่เป็นจดหมายที่ลุงใหญ่ของเจ้าฝากข้ามาให้พวกเจ้า”
ในเมื่อเป็นจดหมายที่ส่งมาให้พวกเขา อวี๋หวั่นจึงตัดสินใจว่าจะรอให้เยี่ยนจิ่วเฉากลับมาก่อน แล้วค่อยเปิดอ่านจดหมายพร้อมกับท่านพ่อท่านแม่
เซียวเจิ้นถิงแอบมาหนานจ้าว จะให้ผู้ใดรู้มากไม่ได้ อวี๋หวั่นก็ไม่ได้บอกแม้แต่พ่อแม่และลุงใหญ่ แต่ว่าตอนนี้เซียวเจิ้นถิงมาเยือนถึงบ้าน อีกไม่นานเห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ต้องรู้เรื่อง หากจะเดาก็คงเดาได้สักเจ็ดแปดส่วน
อวี๋หวั่นไม่ได้คิดปิดปังเขา ท่านลุงใหญ่เป็นคนที่ไว้ใจได้ เขาจะไม่แพร่งพรายข้อมูลออกไป
แต่เธอก็ต้องฟังความเห็นของเซียวเจิ้นถิงก่อน
เซียวเจิ้นถิงบอกว่า “ข้าไม่มีความเห็น คนที่อาหวั่นไว้ใจ ข้าก็ไว้ใจ”
ทั้งสองสนทนากันอยู่อีกครู่หนึ่ง ประเด็นหลักก็คือสิ่งที่อวี๋หวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาต้องเผชิญระหว่างทางมาที่นี่ เมื่อเซียวเจิ้นถิงเหลือบมองท้องฟ้า จึงลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าควรกลับแล้ว ฉงเอ๋อร์กลับมาเมื่อไร ให้เขาไปหาข้าที่ถนนซื่อสุ่ย”
“หืม?” อวี๋หวั่นตกใจ “ท่านจะไปไหนเจ้าคะ? ไม่พักที่นี่หรือ?”
อวี๋หวั่นคิดแล้วว่า ในเมื่อเขาลอบมาที่นี่ ย่อมต้องไม่ให้ผู้ใดพบร่องรอย ในเมืองหลวง ไม่มีที่ใดปลอดภัยไปกว่าจวนสกุลเห้อเหลียนอีกแล้ว
อวี๋หวั่นพูดต่อ “หากท่านไม่อยากพักในจวนเห้อเหลียน ใกล้ๆ นี้มีเรือนของวิหารพิษ”
ที่นั่นก็เป็นพื้นที่ในการควบคุมของสกุลเห้อเหลียน คนนอกเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ
ความอ่อนโยนปรากฏขึ้นในดวงตาของเซียวเจิ้นถิง “มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า แม่ของพวกเจ้าก็มาที่นี่ด้วย”
………………….
ณ ถนนซื่อสุ่ย แสงยามสายัณห์ทอดผ่านกำแพงอิฐสีเทา
รถม้าคันหนึ่งเคลื่อนผ่านพื้นหินขัดเงา เข้ามาพร้อมกับเสียงฝีเท้าของม้าสอดประสานกันในความเงียบสงัด
ครั้นรถม้าเคลื่อนมาถึงเรือนหลังด้านในสุด อิ่งสือซันก็หยุดรถม้าลง “ท่านอ๋อง ถึงแล้วขอรับ”
เยี่ยนอ๋องเลิกม่านออก ลงจากรถม้าโดยมีอิ่งสือซันคอยพยุง
“เอ๋? ฝั่งตรงข้ามเรามีคนมาอยู่แล้ว” อิ่งสือซันเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ
นี่เป็นเรือนที่ราชบุตรเขยซื้อไว้เมื่อนานมาแล้ว ได้ยินว่าเรือนฝั่งตรงข้ามไม่มีคนอยู่มานานหลายปี
เยี่ยนอ๋องมิได้สนใจใคร่รู้เรื่องของเพื่อนบ้าน เขาหันหลังเดินเข้าบ้าน ทว่าในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงเปิดประตูดัง ‘แกร็ก’ มาจากฝั่งตรงข้าม
“ฮูหยิน ท่านระวังนะเจ้าคะ” สาวใช้คนหนึ่งบอก
“อื้ม” ซั่งกวนเยี่ยนพยักหน้า
เยี่ยนอ๋องชะงักฝีเท้า แล้วหันหลังกลับไปตามสัญชาตญาณ
…………………………………..