หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 320 เด็กๆ กับซิวหลัว
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้ออกจากบ้านมานาน เป็นเพราะเมื่อคืนฝนตกหนัก นางนอนกระสับกระส่าย เห็นจะเป็นเพราะคิดถึงหลานชายและเหลนสุดที่รัก ดังนั้นฟ้ายังไม่ทันสางก็เรียกให้คนพาออกมา
บ่าวในจวนรายงานเรื่องนี้กับอวี๋เซ่าชิงและเห้อเหลียนเป่ยหมิง เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่เห็นด้วย เขาบอกว่านางอายุมากแล้ว กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างทาง
อวี๋เซ่าชิงกลับไม่คิดเช่นนั้น ฮูหยินผู้เฒ่ายังแข็งแรง หากอุดอู้อยู่ในบ้านทั้งวันก็คงเบื่อแย่ ไม่สู้ออกไปสูดอากาศ นั่งบนเบาะนุ่มบนรถม้า ให้สารถีขับช้าสักหน่อย อย่าให้รถม้าโคลงเคลงเกินไป
“กลับเป็นลูกชายคนเล็กที่รักข้าที่สุด!” ฮูหยินผู้เฒ่ามองค้อนบุตรชายคนโต แล้วเดินถือไม้เท้าออกไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง!
สารถีกลัวจะทำให้รถม้าโคลงเคลง จึงบังคับรถให้วิ่งช้าที่สุด ช้าจนแทบไม่ต่างจากคนเดินเท้าเสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยเหตุนี้เอง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเห็นสิ่งที่นอนกองอยู่บนพื้นได้อย่างชัดเจน
รถม้าเคลื่อนไปได้เพียงครึ่งทาง อยู่ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็ตะโกนขึ้นพร้อมกับชี้ไปยังตรอกเล็กว่า “หนิวตั้นนนนนนนน”
สารถีรถม้าขนลุกซู่ เขาเกือบคิดว่าเจอผีตอนกลางวันแสกๆ เสียแล้ว!
ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงเรียกหนิวตั้นที่นางเห็น พร้อมกับสั่งให้สารถีตรงไป สารถีรถม้าไม่อาจเมินเฉยนางได้ ทำได้เพียงนำรถม้าเคลื่อนเข้าไปในตรอก
สารถีเป็นคนในจวน เขาเข้าใจสภาวะของฮูหยินผู้เฒ่าดี มองปราดเดียวก็รู้ว่าอาการป่วยของฮูหยินผู้เฒ่าคงจะกำเริบอีก สถานการณ์เช่นนี้ยังอาจไม่ได้กระตุ้นอาการของนาง เขาเพียงตามน้ำกับนางไป อีกสักพักนางก็จะดีขึ้น
แต่ฮูหยินผู้เฒ่าดีขึ้นไหมไม่รู้ แต่สารถีเริ่มจะไม่ไหวแล้ว
หากดูจากทิศทางที่ฮูหยินผู้เฒ่าชี้ไป พวกเขากำลังตรงไปยังป่าช้า!
สารถีรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง ในใจนึกกลัวว่าจะเจอผีเข้าจริงๆ ครั้งนี้เขาจะตามใจฮูหยินไม่ได้แล้ว ขณะที่สารถีกำลังตัดสินใจจะกลับจวน ฮูหยินผู้เฒ่าก็โผล่ออกมา คว้าเชือกแล้วดึงให้รถม้าหยุดลง!
เขาไม่เคยเห็นฮูหยินผู้เฒ่าดื้อดึงเช่นนี้มาก่อน
ฮูหยินผู้เฒ่าถูกผีเข้า!
“ฮฮฮฮูฮู…”
สารถียังไม่ทันได้พูดอะไร ฮูหยินผู้เฒ่าซึ่ง ‘ถูกผีเข้า’ ก็ลงจากรถม้า แล้วพุ่งตรงไปยังป่าช้า
“หนิวววววว ตั้นนนนนนน”
สารถีแทบจะเป็นลม!
‘หนิวตั้น’ บาดเจ็บหนัก ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีกะจิตกะใจจะไปหาหลานชายและเหลนสุดที่รักอีกต่อไป นางพาซิวหลัวกลับจวนเห้อเหลียน
เมื่อได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าพา ‘หนิวตั้น’ กลับบ้านมา เห้อเหลียนเป่ยหมิงซึ่งกำลังดื่มชาอยู่ก็สำลักน้ำชาทันที!
เรื่องก็ผ่านมานานเท่าไรแล้ว ท่านแม่ยังพาท่านพ่อมาอีกหรือ?
เห้อเหลียนเป่ยหมิงคิดว่าถ้าหากนางพาท่านพ่อกลับมาอีกสักสองสามครั้ง ฝาโลงศพของท่านพ่อคงจะปิดไว้ไม่อยู่เป็นแน่ และเพื่อที่จะป้องกันไม่ให้ท่านพ่อปีนออกมาจากโลงศพ เห้อเหลียนเป่ยหมิงจึงกัดฟันลุกออกไปหาท่านแม่สักหน่อย
เขาคิดเสียอีกว่าท่านแม่จะไปเก็บคนหน้าตางดงามปานเทพเซียนมาจากไหน แต่เมื่อลองเพ่งมองดูแล้ว กลับพบว่าเป็นบุรุษสภาพปางตายคนหนึ่ง
ซิวหลัวมาจวนสกุลเห้อเหลียนหลายครั้ง มีหรือเห้อเหลียนเป่ยหมิงจะจำเขาไม่ได้ แต่กระนั้นเขาก็จำซิวหลัวไม่ได้ในแรกเห็น ไม่ใช่เพราะอะไร หากแต่เป็นเพราะเขาไม่ยักเหมือนซิวหลัวในความทรงจำของเห้อเหลียนเป่ยหมิง
ซิวหลัวผู้ที่สามารถทำลายล้างทุกสิ่งเพียงแค่กระดิกนิ้ว บัดนี้กลับถูกดูดพลังไปจนหมด แลดูราวกับเป็นซากศพที่ไร้วิญญาณ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงกระดูกที่หักไปทั้งตัว ใบหน้าบวมดวงตาเขียวช้ำ
หลังจากที่เห้อเหลียนเป่ยหมิงจำเขาได้ เขาก็รู้สึกหวั่นใจขึ้นมา
นี่คือซิวหลัวหรอกหรือ ใครทำให้เขากลายเป็นเช่นนี้กัน?
แม้ว่าเซียวเจิ้นถิงจะผ่านสนามรบมามาก เคยชินกับความตาย แต่เมื่อเห็นสภาพของซิวหลัวในตอนนี้ ก็อด
หายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจไม่ได้
ซิวหลัวที่ปราศจากพลังภายในก็ไม่ต่างอะไรกับอินทรีไร้ปีก พยัคฆ์ไร้เขี้ยว และช่างเจียระไนหยกที่ไร้มือ พวกเขาสูญเสียสิ่งล้ำค่าที่สุดไป ได้แต่นั่งรอความตายตาปริบๆ
และนี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าหยิบดาบมาแทงเสียอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าร่ำไห้ออกมา “หนิวตั้นนนน เจ้าลูกเต่าพวกนั้นทำกับเจ้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ? เจ้าบอกข้ามา! ข้าจะ
ให้ลูกเจ้าไปเชือดมันให้ตาย!”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นลูกของซิวหลัว “…”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกุมขมับ สูดหายใจเข้าลึกๆ “ท่านแม่ เขาไม่ใช่พ่อข้า”
ฮูหยินผู้เฒ่าตวาด “เขาเป็นพ่อเจ้า!”
“ไม่ใช่”
“ใช่!” ฮูหยินผู้เฒ่าดึงหูลูกชาย “เจ้าเป็นแม่ทัพมันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ? แม้แต่พ่อตัวเองก็จำไม่ได้แล้วใช่ไหม?”
“เจ็บ! ท่านแม่! เจ็บ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าช่างสมกับเป็นฮูหยินตระกูลแม่ทัพ เห้อเหลียนเป่ยหมิงรู้สึกราวกับหูของเขากำลังจะถูกท่านแม่บิดจนหลุดออกมา ปีนี้ดวงตกหรืออย่างไร? มีแต่คนมาแก่งแย่งความรักของท่านแม่ไปจากเขา สถานะของเขาในจวนแห่งนี้ตกต่ำลงเรื่อยๆ อีกหน่อยก็คงไม่อาจเป็นได้แม้แต่คนแปลกหน้าแล้วกระมัง
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวว่า “ยังไม่ไปเชิญชุยเฒ่ามารักษาให้พ่อเจ้าอีก!”
รักษา…ได้ แต่ให้ยอมรับว่าเป็นท่านพ่อ…ไม่เอาด้วยหรอก!
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเดินออกไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
เดิมทีฮูหยินผู้เฒ่าคิดจะไปเยี่ยมหลานชายและเหลนทั้งสาม บัดนี้ต้องรักษาหนิวตั้น จึงไปไม่ได้แล้ว ทว่านาง
เตรียมของขวัญเอาไว้แล้ว จึงให้สารถีนำของไปส่งให้ที่ถนนซื่อสุ่ยแทน
เมื่อได้ยินว่าท่านย่าเก็บ ‘หนิวตั้น’ ได้ อวี๋หวั่นก็ไม่รอช้า ตรงไปยังจวนสกุลเห้อเหลียนเพื่อดูเหตุการณ์ทันที
เพียงแต่เธอไม่คิดว่าผู้ที่ถูกเก็บกลับมานั้นจะเป็นซิวหลัว
เธอกะพริบตาปริบๆ มองไปยังผู้ชายที่สภาพร่อแร่บนเตียง เธอรู้สึกไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
“ชุย…ชุยเฒ่า” อวี๋หวั่นดึงแขนเสื้อของชุยเฒ่า
ชุยเฒ่ามุมปากกระตุก “อย่ามาถามข้า ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ดังนั้นทั้งสองจึงไปตามเจียงไห่กับอาเว่ยมา
ทันทีที่พวกเขาเห็นซิวหลัว ก็หายใจเข้าเฮือกหนึ่งพร้อมกันด้วยความตกใจ
สภาพปางตายเช่นนี้ น่าเวทนาเหลือเกิน!
เขาไม่เพียงมีสภาพไม่เหมือนเดิม แต่ยังสูญเสียพลังภายใน แม้แต่กลิ่นอายอันแข็งแกร่งที่เดิมทีเคยเป็นของซิวหลัว บัดนี้ก็ไม่เหลืออยู่แล้ว เขากลายเป็นเพียงหน่วยกล้าตายที่ไร้ประโยชน์ แบกรับความเจ็บปวดของอาการธาตุไฟเข้าแทรก แต่กลับไม่สามารถฟื้นฟูเส้นเลือดที่ฉีกขาดได้
อาการของเขาเป็นถึงขั้นนี้ ย่อมไม่ต่างอะไรกับการนอนรอความตาย
“รักษาได้ไหม?” อวี๋หวั่นถาม
นางเจียงและอวี๋เซ่าชิงพาฮูหยินผู้เฒ่าไปเล่นไพ่ในสวนดอกไม้แล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงอวี๋หวั่น ชุยเฒ่า และพวกอาเว่ย
ชุยเฒ่ามีสีหน้าหนักใจ “ข้าบอกไม่ได้ แต่เขาบาดเจ็บหนักกว่าลุงใหญ่ของเจ้ามาก”
ซิวหลัวแข็งแกร่งจนไม่อาจบาดเจ็บได้ง่าย แต่เมื่อบาดเจ็บแล้วฟื้นฟูได้ยากเช่นกัน บาดแผลบนมือของเขาที่อวี๋หวั่นรักษาให้ก่อนหน้านี้ ใช้เวลามากในการรักษาและยามากกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่า ตอนนี้พวกเขาจึงไม่แน่ใจว่ายาจะสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่
ชุยเฒ่ารักษาอาการบาดเจ็บภายนอกได้ แต่ไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้
ชุยเฒ่าคร่ำหวอดในวงการแพทย์มานาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบคนไข้ที่อาการหนักถึงเพียงนี้ เขาเกาศีรษะ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญาว่า “ต้องให้พลังภายในเขาก่อน จับชีพจรของเขาด้วย อย่าให้ธาตุไฟเข้าแทรกจนตาย”
ชุยเฒ่าหมายความว่าให้พลังภายในแก่ซิวหลัวเพียงเล็กน้อย ไหนเลยจะรู้ว่าเจียงไห่ อาเว่ย ชิงเหยียน และเยว่โกวเค้นพลังจนแทบหมดตัว
แต่แม้ว่าจะทำเช่นนั้น อาการบาดเจ็บของซิวหลัวก็ไม่ได้ดีขึ้นแม้แต่น้อย
นี่ไม่ใช่เพราะวิธีของชุยเฒ่าผิดพลาด แต่หากเปรียบพลังภายในของทั้งสี่เป็นน้ำสี่แก้ว เช่นนั้นจุดตันเถียนของซิวหลัวก็เปรียบดังทะเลสาบ พลังภายในที่พวกเขาสละให้นั้นไม่อาจเติมเต็มสิ่งที่สูญสลายไปแล้วได้
ในที่สุดเซียวเจิ้นถิงก็มาที่นี่ และเขาต้องใช้วรยุทธ์เกือบครึ่งหนึ่งเพื่อหยุดยั้งอาการบาดเจ็บของซิวหลัว
หลังจากนั้นชุยเฒ่าและอวี๋หวั่นก็ใช้เวลาครึ่งค่อนวันไปกับการต่อกระดูกทีละชิ้นๆ ให้ซิวหลัว ทั้งยังใช้ยารักษาบาดแผลตำรับพิเศษ แล้วจึงใช้ผ้าพันแผลพันเขาเอาไว้กับแผ่นไม้
เขาถูกพันไว้จนเป็นมัมมี่ เหลือเพียงดวงตาสีโลหิตสองข้างเท่านั้น
คนผู้นี้ทำให้พวกเขาตกใจกลัวแทบตาย แต่เมื่อมาเห็นเขาในสภาพนี้ ทุกคนก็อดใจหายไม่ได้
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ใครทำกันนะ?” ชิงเหยียนพึมพำ คิดในใจว่าจะหรือจะเป็นคนในเผ่า? เพราะนอกจากคนในเผ่าแล้ว ชิงเหยียนก็นึกไม่ออกว่าจะมีผู้ใดเอาชนะซิวหลัวได้อีก
แต่ว่า…ต่อให้เป็นคนจากเผ่า ก็ไม่สามารถทำให้ซิวหลัวบาดเจ็บได้มากถึงขนาดนี้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงสังหารซิวหลัวไปตั้งแต่แรกแล้ว คงไม่จับตัวซิวหลัวไปขังไว้หรอก
ซิวหลัวยินยอมทำเช่นนั้นเอง
ซิวหลัวยอมสลายพลังของตนเอง ทำให้เกิดช่องโหว่ให้ผู้อื่นฉวยโอกาส
“หรือว่า…จะเป็นหนานกงหลี?” ดวงตาของชิงเหยียนเบิกกว้าง
อวี๋หวั่นพยักหน้า และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้เขาฟัง “…หนานกงหลีกลับเมืองหลวงมาแล้ว ซิวหลัวถึงมาที่ถนนซื่อสุย น่าจะมาตามคำสั่งของเขา แต่ซิวหลัวขัดคำสั่ง เขาน่าจะ…คิดว่าซิวหลัวไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เลยจัดการเขา”
หนานกงหลี เจ้าคนสารเลว! เรื่องโฉดชั่วเช่นนี้ยังทำได้ลงคอ โหดร้ายเกินไปแล้ว!
ชิงเหยียนกำหมัดแน่น เมื่อนึกบางเรื่องออก เขาก็เอ่ยถามว่า “เดี๋ยวนะ เขายอมทำแบบนี้กับซิวหลัวหรือ?”
ซิวหลัวไม่ใช่ยอดฝีมือที่มีอยู่ดารดาษตามท้องถนน เขาเป็นถึงเครื่องมือสังหารอันดับหนึ่งในใต้หล้า ไม่ฟังคำสังแค่ครั้งสองครั้งก็กำจัดเขาแล้ว เขาไม่ได้ด้อยค่าซิวหลัวไปหน่อยหรือ
อวี๋หวั่นถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “อิ่งสือซันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คล้ายกับซิวหลัว เยี่ยนจิ่วเฉาคิดว่าหนานกงหลี ใช้พลังของซิวหลัว ฝึกซิวหลัวขึ้นมาใหม่”
……
หนานกงหลีฝึกซิวหลัวขึ้นมาใหม่จริง และเขาไม่ได้มีซิวหลัวเพิ่มมาแค่คนเดียว หนานกงหลีพึงพอใจเหลือเกิน
หนานกงหลีจิบน้ำชาอย่างสบายอารมณ์อยู่ในห้อง “เดิมทีคิดว่าหลังจากที่พวกเขาดูดซับพลังของซิวหลัวแล้วจะไม่แข็งแกร่งเท่าซิวหลัว แต่ข้าดูแล้วจิตสังหารของพวกเขารุนแรงกว่าซิวหลัวเสียอีก”
คนชุดดำกล่าวว่า “มิผิด ซิวหลัวผู้นั้นถูกขังอยู่ในคุกมานานหลายปี ไม่ได้รับการดูแลที่ดี ใต้เท้าซิวหลัวคนใหม่ไม่มีปัญหาเหล่านั้น ข้ายืนยันได้ว่าต่อให้คนจากเผ่าปีศาจเหล่านั้นมา พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้”
หนานกงหลียกยิ้มมุมปาก “ประเสริฐนัก เมื่อมีพวกเขาแล้ว ข้าอยากจะกำจัดใครก็เพียงออกคำสั่ง!”
คนชุดดำประสานมือคำนับ “ย่อมเป็นเช่นนั้น องค์ชายมีซิวหลัวถึงสามคน อย่าว่าแต่เยี่ยนจิ่วเฉาหรือเซียวเจิ้นถิง แต่ตำแหน่งประมุขที่องค์ชายต้องการก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม!”
หนานกงหลีพูดอย่างทระนงตนว่า “ถูกต้อง พวกเขามีสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ข้ามีซิวหลัว คอยดูก็แล้วกันว่าใครจะหัวเราะดังกว่า!”
สัตว์ศักดิ์สิทธิ์เป็นความเชื่อ ส่วนซิวหลัวคือพลังที่มองเห็นได้ พวกเขาชักจูงผู้คนได้ และข่มขวัญพวกเขาได้เช่นกัน
คนชุดดำพยักหน้า “เพียงแต่ว่า พลังของซิวหลัวคนนั้นแข็งแกร่ง พวกเขาต้องใช้เวลาสิบวันกว่าจะดูดซับได้ทั้งหมด ก่อนจะถึงตอนนั้น ขอให้องค์ชายอดทนรอสักหน่อย”
หนานกงหลีเลิกคิ้ว “ไม่เป็นไร ข้าจะปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่ออีกสักสิบวัน!”
……
เซียวเจิ้นถิงและพวกอาเว่ยคอยแวะเวียนมาเติมพลังภายในให้ซิวหลัวทุกวัน เพื่อให้เขาสามารถกดพลังอันบ้าคลั่งในร่างได้ อวี๋หวั่นและชุยเฒ่าคอยดูแลซิวหลัวอยู่ในห้อง ด้วยความช่วยเหลือจากทุกคน ซิวหลัวจึงพ้นขีดอันตรายแล้ว
แต่เขาก็เหมือนกับเห้อเหลียนเป่ยหมิง สูญเสียวรยุทธ์ไปสิ้น
เขากลายเป็นเพียงซิวหลัวเดนตาย
เห้อเหลียนเป่ยหมิงไม่มีวรยุทธ์ ก็ยังคงเป็นประมุขสกุลเห้อเหลียน แต่ซิวหลัว…ไม่ใช่ซิวหลัวอีกต่อไป
มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไร้ค่า สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่เหลือเกิน
อวี๋หวั่นยกยาที่ต้มเสร็จมา เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่านั่งทอดถอนใจอยู่ที่ธรณีประตู เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะท่านย่า?”
ฮูหยินผู้เฒ่าตอบอย่างเศร้าสร้อยว่า “หนิวตั้นไม่กินข้าวมาสามวันแล้ว เจ้าว่าเขากำลังทรมานอยู่ไหม? ถึงกับกินข้าวไม่ลง…”
แน่นอนว่าซิวหลัวกำลังทรมาน หลังจากที่เขาสูญเสียพลังภายในไป ความเจ็บปวดในร่างกายของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว นั่นทำให้เขากินอาหารไม่ลง แต่อวี๋หวั่นกลับรู้สึกว่าที่เขาไม่กินอาหารไม่ใช่เพราะความเจ็บป่วยด้านร่างกาย
ซิวหลัวนั่งขดตัวอยู่ในมุมด้านหลังตู้ เมื่อได้ยินเสียงของอวี๋หวั่น เขากุมศีรษะซุกหน้าเข้ากับตัวยิ่งกว่าเดิม
อวี๋หวั่นไม่ได้บังคับให้ซิวหลัวหันหน้ามาหาตน เธอวางถ้วยยาไว้บนโต๊ะ “ข้าวางยาไว้ตรงนี้ เจ้าอย่าลืมดื่มนะ”
ซิวหลัวไม่ได้ดื่ม
อวี๋หวั่นยกอาหารไปอุ่นสามครั้ง และเปลี่ยนยาไปสามครั้งแล้ว
ไม่ว่าอย่างไร ซิวหลัวก็ยังคงนั่งอยู่ในท่วงท่าเดิม มือของเขากุมศีรษะ ซุกตัวอยู่ในมุมอับแสง
อวี๋หวั่นต้มนมแพะไปให้เขา เขาก็ไม่ดื่ม
เขาเป็นเหมือนลูกนกตัวน้อยที่กำลังตกใจกลัว การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ทำให้เขาก้มหน้างุดยิ่งกว่าเดิม
เขาคือพญาอินทรีปีกหัก
เขาสูญเสียจิตวิญญาณไป
อวี๋หวั่นลอบถอนหายใจ แล้วยกอาหารและยาออกมา
ตกกลางคืน อวี๋หวั่นไปรับเด็กน้อยทั้งสามมา
เมื่อได้ยินว่าซิวหลัวไม่สบาย เด็กทั้งสามก็นำถังหูลู่ที่ตนเองชื่นชอบมาด้วย
“ซิวหลัว!”
เสี่ยวเป่าลงจากรถม้ามาเป็นคนแรก เขาวิ่งเตาะแตะมายังห้องของซิวหลัว!
“เอ๋? ซิวหลัวละ?”เสี่ยวเป่าค้อมตัวมองใต้เตียง เปิดตู้ดู เข้าไปหาในตู้ หาจนทั่วก็ยังไม่เจอเงาของซิวหลัว
ทันใดนั้นต้าเป่าและเอ้อร์เป่าก็เข้ามา
“ซิวหลัว” เอ้อร์เป่าร้องเรียกเบาๆ
ซิวหลัวหลับอยู่ด้านหลังม่านของอีกซีกหนึ่งของห้อง ร่างที่เคยสูงใหญ่ของเขาขดเหลือเพียงก้อนกลม
ทันใดนั้น ม่านก็ถูกเปิดออก
ศีรษะกลมๆ โผล่เข้ามา
ซิวหลัวรีบกุมศีรษะ ไม่ยอมให้พวกเขาเห็นตนเอง
ยิ่งพวกเขาเข้ามาใกล้ ซิวหลัวก็ยิ่งตัวสั่น
“เจ้าหนาวหรือ?” เสี่ยวเป่าถาม
ซิวหลัวตัวสั่นอย่างรุนแรง
“อืม…” เสี่ยวเป่าเอียงคอ ยื่นแขนน้อยๆ ออกมากอดซิวหลัว
ตัวเขาเล็กเกินไป กอดซิวหลัวไว้ไม่อยู่
เอ้อร์เป่าและต้าเป่าก็กางแขนสั้นๆ แล้วกอดซิวหลัว
ทั้งสามคนกอดซิวหลัวเอาไว้
อย่างนี้ก็ไม่หนาวแล้วนะ ซิวหลัว
………………………….