หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 323 เด็กๆ น้อยใจ นางเจียงมาแล้ว
เรื่องวิชาตัวเบาของซิวหลัวไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไป เรื่องต่อมาก็คือการฟื้นฟูวรยุทธ์ของเขา
วรยุทธ์แบ่งเป็นเพลงยุทธ์และพลังภายใน พลังภายในไม่ใช่สิ่งที่ฝึกฝนขึ้นมาได้ในชั่วข้ามคืน ทว่าเพลงยุทธ์สามารถฝึกได้อย่างรวดเร็วตราบใดที่มีความทรงจำดียิ่งยวด
ก่อนหน้านี้ซิวหลัวไม่เคยฝึกเพลงยุทธ์อย่างเป็นกิจจะลักษณะ เขาไม่จำเป็นต้องฝึก พลังภายในของเขาแข็งแกร่งเหลือเกิน ใช้เพียงกลิ่นอายของเขาก็สามารถกดคู่ต่อสู้ไว้ได้แล้ว แต่ว่าในตอนนี้พลังภายในของเขาแทบไม่หลงเหลืออยู่ให้เห็นแล้ว จึงจำเป็นต้องใช้เพลงยุทธ์มาเสริม
ในครั้งนี้ อาเว่ย ชิงเหยียน เยว่โกว และเจียงไห่ล้วนแต่ออกโรงด้วยตนเอง พวกเขาค่อยๆ สอนซิวหลัวทีละกระบวนท่า
ทั้งสี่นำสิ่งที่ตนเองถนัดออกมาสอนทั้งสิ้น สาบานได้ว่าต่อให้เป็นลูกศิษย์ของพวกเขา พวกเขาก็คงไม่ได้สอนอย่างละเอียดเช่นนี้ แต่แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสามนับเป็นข้อยกเว้น อาเว่ยสอนสิ่งที่ถนัดกับพวกเขาไม่ได้
…ไม่ได้ความเลย หนักใจจริงๆ!
เด็กๆ ที่ ‘ไม่ได้ความ’ ทั้งสามก็กระโดดโลดเต้นไปยังร้านขายถังหูลู่กับท่านแม่
เถ้าแก่ร้านขายถังหูลู่ชื่นชอบเด็กทั้งสามคน ทุกๆ วัน เขาจะตั้งหน้าตั้งตารอเด็กทั้งสาม เมื่อเห็นใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูเดินเตาะแตะมา ความขุ่นเคืองในใจของเขาก็พลันมลายหายไปทันที
อวี๋หวั่นควบคุมปริมาณน้ำตาลที่เด็กๆ กินอย่างเข้มงวด เธอตกลงกับเถ้าแก่ไว้แล้วว่าให้ขายถังหูลู่ที่มีปริมาณน้ำตาลเพียงครึ่งเดียวแก่เด็กๆ
“ต้าเป่าจะกินองุ่นเหมือนเดิมไหม?” เถ้าแก่ถามพร้อมรอยยิ้ม เด็กๆ มักจะเปลี่ยนรสชาติของถังหูลู่ไปเรื่อยๆ แต่ต้าเป่านั้นหนักแน่นในรสชาติขององุ่นเคลือบน้ำตาลมานานแล้ว
ต้าเป่าพยักหน้า
เถ้าแก่หยิบองุ่นเคลือบน้ำตาลเม็ดใหญ่ให้เขา แม่นางคนหนึ่งเพิ่งซื้อองุ่นเคลือบน้ำตาลไปเช่นกัน นางมององุ่นในมือของตน จากนั้นก็มององุ่นเคลือบน้ำตาลที่เถ้าแก่ส่งให้ต้าเป่า จากนั้นก็ยื่นมือออกมา แล้วบอกว่า “ข้าจะเอาไม้นั้น!”
เถ้าแก่ตอบว่า “ขายไปแล้ว! เหลือแต่ไม้นี้!”
แล้วทำไมเมื่อครู่ท่านไม่ขายให้ข้าละ?!
แม่นางคนนั้นมองค้อนเถ้าแก่ด้วยความขุ่นเคือง
เถ้าแก่ยิ้มอย่างลำบากใจ จากนั้นก็ห่อส้มเคลือบน้ำตาลให้นาง “ไม้นี้แถม”
ครานี้นางจึงมีสีหน้าดีขึ้นมาก ถือองุ่นและส้มเดินจากไป
นางเดินออกไปไกลแล้ว แต่ก็ยังมิวายหันหลังกลับไปมองเด็กทั้งสาม น่ารักจริงๆ ทั้งยังเป็นแฝดสามอีกด้วย นางอยู่มาครึ่งค่อนชีวิต เพิ่งเคยเห็นเด็กที่น่ารักอย่างนี้เป็นครั้งแรก จะโทษเถ้าแก่ก็ไม่ได้ หากเป็นคนอื่นมา ‘แย่ง’ ถังหูลู่ของนางไป นางคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่สำหรับเด็กสามคนนี้ นางทำใจโกรธไม่ลง
ต้าเป่าได้องุ่นเคลือบน้ำตาลสมใจ เขาพยักหน้าให้เถ้าแก่พร้อมรอยยิ้ม
นั่นหมายความว่า ‘ขอบคุณ’
เขาลูบศีรษะของต้าเป่าด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ต้าเป่าเป็นเด็กดีจริงๆ”
จากนั้นเถ้าแก่ก็หยิบส้มเคลือบน้ำตาลให้เอ้อร์เป่า และหยิบถังหูลู่ขนาดใหญ่ให้กับเสี่ยวเป่า
เห็นได้ชัดว่าเป็นน้องคนเล็ก แต่มักจะชอบกินถังหูลู่ไม้ใหญ่ที่สุด เขาถือถังหูลู่ไม้ยาวกว่าส่วนสูงของเขา ราวกับถือกระบองขนาดยักษ์ ทำเอาเถ้าแก่และผู้คนบนท้องถนนอดหลุดยิ้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้
แน่นอนว่าทั้งสามมิได้ลืมซิวหลัว พวกเขาส่งสายตาออดอ้อนให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นถูกสายตาของพวกเขาทำให้ใจอ่อน
อวี๋หวั่นจึงตัดสินใจซื้อถังหูลู่มาทั้งหมด หลังจากให้เถ้าแก่ห่อเรียบร้อยแล้ว เธอก็เตรียมตัวกลับจวน
“ต้าเป่าอยากกินบัวลอย” เสี่ยวเป่าพูดพลางเลียถังหูลู่ไม้ใหญ่ของตน
ดูสิ เพิ่งจะกินถังหูลู่ ก็ร้องจะกินบัวลอยซะแล้ว
อวี๋หวั่นจิ้มศีรษะน้อยๆ ของเขา “ต้าเป่ายังพูดไม่ได้ เจ้าบอกแม่มาว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาอยากกิน”
“ข้า…” เสี่ยวเป่าเงยหน้ามองท้องฟ้า “พวกเราเป็นพี่น้องกัน จิตใจเชื่อมถึงกัน!”
นั่นแน่ะ สำบัดสำนวนซะด้วยสิ!
ไม่เสียแรงที่อยู่กับเยี่ยนจิ่วเฉามานาน เริ่มเจ้าเล่ห์ซะแล้ว
แต่ความสามารถในการเอาตัวรอดเช่นนี้ ไม่รู้ว่าได้จากใครมา
“ฮัดชิ่ว!”
อยู่ๆ นางเจียงซึ่งกำลังเล่นไพ่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าก็จามออกมาเสียงดัง
สุดท้ายแล้วอวี๋หวั่นก็พาพวกเขาไป เพราะเอ้อร์เป่าบอกว่าเขาเองก็อยากกิน เอ้อร์เป่าผู้ซึ่งพูดออกมาด้วยความจริงใจและต้าเป่าซึ่งถูกลากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ถูกท่านแม่อุ้มขึ้นมา ส่วนเสี่ยวเป่าผู้น่าสงสารก็ต้องกอดถังหูลู่ไม้ใหญ่ของตนต่อไป เขาเดินไปนั่งบนเก้าอี้เตี้ยด้วยความน้อยใจ มองไปยังท่านแม่และพี่ชายที่ รัก! กัน! เหลือ! เกิน!
รถม้าเคลื่อนมาถึงร้านชื่อดังแห่งหนึ่ง อวี๋หวั่นอุ้มเด็กทั้งสามลงมาจากรถม้า
เด็กทั้งสามถือถังหูลู่ วิ่งเตาะแตะเข้าไปด้านในร้าน
ตอนนี้ก็เลยเวลาอาหารเช้าไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาอาหารกลางวัน ลูกค้าในร้านไม่มาก อวี๋หวั่นหามุมสงบในโถงกลางร้าน หมายจะให้เด็กๆ นั่งตรงนี้ ไหนเลยจะรู้ว่าเด็กๆ กลับไม่ต้องการ พวกเขาเลือกโต๊ะกลางร้าน เมื่อเดินเข้าร้านมาก็จะมองเห็นพวกเขาทันที
เป็นเด็กที่ชอบโอ้อวดจริงๆ เหมือนกับท่านพ่อของพวกเขาไม่มีผิด
“บัวลอยชามเล็กสามชุด” อวี๋หวั่นคิดจะซื้อกลับไปให้คนที่บ้านด้วย เธอจึงกลับไปหยิบกล่องอาหารบนรถม้า และให้ทางร้านทำให้ก่อนที่จะออกมา
เด็กทั้งสามวางถังหูลู่ลงในจานเปล่า มือเล็กจับช้อน ตักบัวลอยร้อนๆ ขึ้นมาเป่า
“ร้อนน!” เสี่ยวเป่าพูด
อวี๋หวั่นยิ้มแล้วบอกว่า “ค่อยๆ กิน”
“ฟู่ว ฟู่ว” เสี่ยวเป่าเป่าสองสามครั้ง แล้วยื่นคำแรกให้อวี๋หวั่น “ท่านแม่กิน!”
เดิมทีอวี๋หวั่นคิดจะแสร้งทำเป็นไม่สนใจเขา เพื่อสั่งสอนเขา ไม่คาดคิดเลยว่าพวกเขาจะน่ารักและช่างเอาใจใส่เช่นนี้ คำแรกก็จะป้อนให้เธอกิน อวี๋หวั่นรู้สึกซาบซึ้งเหลือเกิน และเริ่มจะรู้สึกผิดที่ตนโหดร้ายกับลูกเกินไป
อวี๋หวั่นกินบัวลอยคำนั้น และตัดสินใจว่าจะใจดีกับเสี่ยวเป่าสักหน่อย
เสี่ยวเป่าเอียงคอ “ไม่ร้อนแล้วสินะ? งั้นเสี่ยวเป่ากินแล้วน้าา”
อวี๋หวั่นรู้สึกประหนึ่งถูกน้ำเย็นถังใหญ่ราดลงบนศีรษะ “…”
เจ้าให้แม่กินเพื่อทดสอบว่าร้อนหรือไม่ร้อนแค่นั้นน่ะหรือ?
เด็กทั้งสามกินคนละชามไม่พอ จึงเติมอีกหนึ่งชาม เมื่อกินชามที่สองเสร็จก็จะกินชามที่สามอีก
อร่อยขนาดนั้นเชียวหรือ?
อวี๋หวั่นมองไปยังท้องป่องๆ ของพวกเขา และพยายามปฏิเสธสายตามแกมอ้อนวอนของพวกเขา
ทั้งสามจำต้องถือถังหูลู่ขึ้นไปกินบนรถ
อวี๋หวั่นถือกล่องใส่อาหารซึ่งบรรจุบัวลอยไว้ด้านใน ขณะที่กำลังรอสารถีอยู่นั้น แขกไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวขึ้น
อวี๋หวั่นรู้สึกงุนงง ตนแค่มาซื้อบัวลอย แต่กลับมาเจอกับนาง เธอรู้สึกว่าตัวเธอกับนางนั้นมีโชคชะตาต่อกัน เพียงแต่จะเรียกว่าพรหมลิขิตคงไม่ได้ เรียกว่าเวรกรรมเห็นจะเหมาะกว่า
“อ๋า! ข้าก็ว่า ได้กลิ่นเหม็นของความจนมาจากไหน ที่แท้ก็มาจากเจ้านี่เอง!”
องค์หญิงน้อยยืนเท้าเอวอยู่ตรงหน้าอวี๋หวั่น สายตาจับจ้องเธอเขม็ง
หลังจากหายหน้าหายตาไปหลายวัน องค์หญิงน้อยผู้นี้แลดูจะเอาแต่ใจยิ่งกว่าเดิม ดูเหมือนว่าเรื่องของจวนตี้จีจะมิได้มีผลกับนางเท่าไรนัก จะว่าไปก็ไม่แปลก อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงหลานสาวของฮองเฮา หนานกงเยี่ยนเกิดเรื่อง ฮองเฮาก็ยังรักนาง จะปล่อยให้หลานสาวสุดที่รักถูกรังแกได้อย่างไร
เป็นไปได้ว่าเพื่อที่จะชดเชยความเสียใจต่อหนานกงเยี่ยน นางจึงให้ความรักความเอ็นดูแก่หลานสาวมากขึ้นอีก
ดูจากแพรพรรณและเครื่องประดับที่นางสวมใส่ ไม่น่าแปลกใจที่นางเย้นหยันอวี๋หวั่นเช่นนี้
องค์หญิงน้อยเห็นว่าอวี๋หวั่นไม่ตอบโต้ จึงเชิดหน้าขึ้น แล้วพูดด้วยท่าทางเย่อหยิ่งว่า “อย่าคิดว่าเจ้ามีแม่เป็นตี้จีจะเก่งกาจเกินใคร แม่เจ้าเป็นกาลีบ้านกาลีเมือง เมื่อเทียบกับท่านยายข้าแล้ว อวิ๋นเฟยก็เป็นเพียงสนมที่หน้าไม่อายคนหนึ่งเท่านั้น! เจ้าอย่าคิดว่าจะตีตนเสมอข้าได้!”
คำพูดของนางทำให้อวี๋หวั่นรู้สึกขบขันเหลือเกิน
นางคิดได้อย่างไรว่าอวี๋หวั่นอยากไปตีตนเสมอนาง? เธอเองไม่ได้อยากแหย่เท้าเข้าไปในสกุลหนานกงด้วยซ้ำไป
อีกอย่าง ท่านแม่เป็นลูกของสนมแล้วอย่างไร?
หนานกงเยี่ยนกำลังอับจน ถ้าเธอกับท่านแม่คิดจะสู้จริงๆ หนานกงซีจะทำอะไรได้?
“เจ้าหัวเราะอะไร?” องค์หญิงน้อยเริ่มมีโทสะ “ที่ข้าพูดไม่ถูกหรือไง? ตอนนี้ชาวบ้านรู้กันทั่วแล้ว ว่าแม่ที่หน้าด้านของเจ้า หลอกคนสกุลเห้อเหลียน เพื่อที่จะได้กลับมาหนานจ้าวอีกครั้ง!”
ดวงตาของอวี๋หวั่นเป็นประกายวาบ “เจ้าพูดอีกครั้งซิ ใครหน้าด้าน?”
“แม่เจ้าไง! แม่เจ้าหน้าด้าน! ยั่วยวน…อ๊าาาาาาา”
นางยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกอวี๋หวั่นคว้าศีรษะเอาไว้ แล้วผลักนางเข้าไปในหน้าต่างร้าน ใบหน้าของนางถูกอวี๋หวั่นกดไว้เหนือน้ำแกงซึ่งกำลังเดือดพล่าน
ไอร้อนพุ่งขึ้นมาปะทะใบหน้าของนางจนรู้สึกแสบร้อน หน้าผากและแผ่นหลังมีเหงื่อกาฬ ขาและร่างกายสั่นเทิ้ม
“เจ้า…เจ้าจะทำอะไร” นางเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว
อวี๋หวั่นกล่าวอย่างไม่ยี่หระว่า “เจ้าฟังที่ข้าพูดให้ดี ความอดทนของคนเรามีจำกัด คนอื่นจะพูดว่าอย่างไรข้าไม่สนใจ แต่ถ้ามารนหาที่ตายต่อหน้าข้า ข้าก็จะไม่เกรงใจ ถ้าเจ้ากล้าเหยียดหยามท่านแม่ของข้าอีก ข้าก็จะต้มหนังหน้าของเจ้าให้เละ จะได้รู้ว่าใครกันที่หน้าด้าน!”
องค์หญิงน้อยขนลุกซู่!
นางยั่วยุอวี๋หวั่นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่อวี๋หวั่นก็คร้านจะสนใจนาง ครั้งที่นางทำเกินไปก็คือนางแย่งเรือนของเธอ แต่อวี๋หวั่นก็ไม่ได้แตะนางแม้แต่ปลายเล็บ นางจึงคิดว่าอวี๋หวั่นรังแกง่าย ใช้เพียงการสนับสนุนจากเยี่ยนอ๋องมาท้าทายนาง แต่บัดนี้เยี่ยนอ๋องไม่อยู่? ถึงครานางเอาคืนบ้างแล้ว
ไหนเลยจะรู้ว่าไม่ทันไรก็เกือบถูกอวี๋หวั่นกดหน้าลงในหม้อแล้ว ตอนนี้นางตกใจกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาเป็นคนบ้า สตรีผู้นี้ก็บ้าไม่ต่างกัน!
บ้ากันทั้งบ้าน!
บ้ากันทั้งหมด!
“ยังกล้าว่าท่านแม่ข้าอยู่ไหม?”
“ไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแล้ว! ”
“ถ้าเห็นข้า ให้อ้อมไปทางอื่น เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้ว…ฮืออ…”
องค์หญิงน้อยมิได้มีความกล้าหาญเท่าหนานกงหลี ตกใจกลัวเพียงเล็กน้อยก็ร้องไห้ออกมาแล้ว นางอ้อนวอนอวี๋หวั่น จนไม่เหลือท่าทางเย่อหยิ่งเยี่ยงองค์หญิงแม้แต่น้อย
เจ้าของร้านขายบัวลอยนั้นเคยพบอวี๋หวั่นหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยเห็นเธอเกรี้ยวโกรธเช่นนี้มาก่อน ฝูงชนไม่ได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน แต่พวกเขาล้วนแต่ตกตะลึงกับท่าทีของอวี๋หวั่น
เจ้าของร้านมองไปยังหม้อน้ำแกงที่เดือดพล่าน
และคิดในใจว่า เส้นผมขององค์หญิงกำลังจะร่วงลงไปในหม้อแล้ว ประเดี๋ยวคงต้องเปลี่ยนน้ำแกงทั้งหม้อสินะ…
อวี๋หวั่นได้ระบายโทสะแล้ว ก็หันหลังกลับไปหยิบบัวลอย และพาลูกๆ กลับจวนไป
ทว่าองค์หญิงน้อยไม่ได้มีท่าทีสบายใจอย่างอวี๋หวั่น นางร้องไห้กลับจวนตี้จีไป เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นท่ามกลางฝูงชนเมื่อครู่ นางก็รู้สึกอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี!
หลังจากกลับเรือนมา นางขังตนเองไว้ในห้อง ไม่ยอมกินข้าว นอนก็ไม่หลับ
บ่าวเป็นห่วงว่านางจะทำเรื่องโง่เขลาในห้อง จึงรุดรีบไปรายงานหนานกงหลี
หนานกงหลีมายังห้องของนาง
ม้เห็นว่านางน้ำตานองหน้า เขาก็ยิ้ม แล้วถามว่า “เป็นอะไรหรือ? ออกไปข้างนอก มีเรื่องอะไรทำให้เสียใจหรือ?”
“ท่านยังยิ้มออกอีกหรือ! รู้หรือไม่ว่าข้าถูกรังแกอย่างรุนแรง!” องค์หญิงน้อยเล่าเรื่องที่ตนเกือบถูกอวี๋หวั่นจับกดลงในหม้อน้ำแกง “…ท่านยังจะพูดอยู่ไหมว่านางเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ข้าต้องการลูกพี่ลูกน้องแบบนี้รึ! นางบอกว่าข้าไม่มีท่านแม่คอยช่วยแล้ว! บอกว่าพวกเราไม่ใช่คนจวนประมุขหญิง!”
หนานกงหลีหรี่ตามองอย่างไม่เข้าใจ
เด็กคนนั้นไม่ได้เป็นเพียงสตรีชาวบ้านผู้แสนจะอ่อนแอหรือ? ไม่กี่ปีมานี้เกิดอะไรขึ้นกัน เหตุใดนางถึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้?
ใบหน้าก็ยังคงเป็นใบหน้าเดิม ร่างกายก็ยังคงเป็นร่างเดิม แต่วิญญาณของนาง…ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เขากำลังกังวลว่าจะไม่สามารถจัดการพวกเขาซึ่งหน้าได้ แต่พวกเขาก็มาเยือนถึงที่ด้วยตนเอง
หนานกงหลีลูบหลังน้องสาวด้วยความเอ็นดู “เจ้าวางใจเถิด เจ้าจะไม่ถูกรังแกอย่างเสียเปล่า พี่ชายสัญญากับเจ้าว่าเจ้าถูกลูกพี่ลูกน้องรังแกมามากเท่าไร พี่จะเอาคืนนางสิบเท่า ร้อยเท่า!”
ในคืนนั้น หนานกงหลีก็ ‘เดินทางมาถึง’ เมืองหลวง สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการ ‘ไปดูพระวรกาย’ ของฮองเฮา
ที่จริงแล้ว พระวรกายของฮองเฮามีปัญหาเพียงเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้หนานกงหลีกังวล หากแต่ทำให้อวิ๋นเฟยเกิดโทสะขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเรื่องที่หนานกงหลีลอบเข้ามาในวังไปรู้ถึงหูอวิ๋นเฟยได้อย่างไร อวิ๋นเฟยจึงมาโวยวายต่อหน้าพระพักตร์องค์ประมุข บอกว่าฮองเฮาใช้อำนาจในทางมิชอบ รู้ว่าผิดแต่ก็ยังทำ และเรียกร้องให้องค์ประมุขใช้กฎวังหลวงลงโทษฮองเฮา
องค์ประมุขจะลงโทษฮองเฮาได้อย่างไรเล่า?
อวิ๋นเฟยจึงข่มขู่ว่าจะทำให้เรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป
เพื่อที่จะทำให้อวิ๋นเฟยสงบปากสงบคำ องค์ประมุขจึงเลื่อนฐานะให้นาง จากเดิมทีที่เป็นอวิ๋นเฟย ให้เป็นอวิ๋นกุ้ยเฟย
อวิ๋นกุ้ยเฟยมาเข้าเฝ้าองค์ประมุขบ่อยครั้ง จนฮองเฮาเดือดดาล
เมื่อฮองเฮาบอกว่าเจ็บปวดหัวใจ นั่นก็หมายความว่าเจ็บปวดจริงๆ
หลังจากหนานกงหลีเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮองเฮา เขาก็กลับมาเปิดเผยตัวตนต่อสาธารณชนได้แล้ว
ในเมื่อเขา ‘กลับ’ มาแล้ว ก็มีบางเรื่องต้องสะสางให้เรียบร้อย
อวิ๋นกุ้ยเฟยไปเยือนตำหนักวันละสองครั้ง ซึ่งก็คือในยามเช้าและยามเย็น ในวันนี้ นางก็ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวได้อีกครั้ง จากนั้นก็เดินกลับตำหนักไปอย่างสบายอารมณ์
หลังจากได้ขึ้นเป็นกุ้ยเฟย ตำหนักอันวิจิตรงดงามก็ไม่เพียงพอสำหรับนางอีกต่อไป นางต้องการตำหนักจูเชวี่ยซึ่งเป็นรองเพียงตำหนักกลางเท่านั้น
ระหว่างทางที่นางกำลังเดินทอดน่องกลับตำหนักอยู่นั้น ก็มีเงาดำพุ่งลงมาจากฟ้า ดวงตาของนางเบิกโพลง จะส่งเสียงร้อง ก็ถูกฝ่ามือฟาดจนหมดสติไป
วันต่อมา ก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในวังหลวง อวิ๋นกุ้ยเฟยหายตัวไป!
ในวันเดียวกัน ก็มีจดหมายส่งตรงถึงสกุลเห้อเหลียน
‘หากต้องการช่วยอวิ๋นเฟย ยามจื่อคืนนี้ วัดฉางถิง’
ท้ายจดหมายเขียนไว้ว่า ‘ไปคนเดียว หากขัดขืน อวิ๋นเฟยตาย!’
เดิมทีจดหมายนี้ส่งถึงอวี๋หวั่น ทว่าสองแม่ลูกหน้าตาละม้ายคล้ายกันเหลือเกิน จนคนส่งสาส์นจำผิด และไปส่งให้กับมือนางเจียง
……………………………….