หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 326 ครอบครัวพร้อมหน้า
ท่าทางเศร้าสร้อยและขุ่นเคืองใจนี้
ว่ากันว่าต้องมีคนที่รัก จึงจะรู้สึกเศร้าได้ กระนั้นตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่ได้รับความรักจากทั้งบิดาและมารดาแม้แต่น้อย
นางกำนัลซึ่งถูกส่งไปดูแลนางก็รู้สึกไม่พอใจที่ตนถูกส่งไป จึงนำโทสะทั้งหมดมาลงที่นาง
นางเติบโตมาราวกับเป็นวัชพืชต้นหนึ่ง
จนท้ายที่สุด ก็ไม่มีผู้ใดรังแกนางอีก
เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ถูกรังแกแล้ว แต่ทำไม…
นางเจียงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น ฝ่าเท้าประกบกัน สองมือจับฝ่าเท้า ค้อมกายลง แลดูประหนึ่งกบตัวน้อยที่น่าสงสาร
“จะไม่ใช่เจ้าได้อย่างไร?” อวิ๋นเฟยคุกเข่าลงด้านหลังของนาง
“ไม่ใช่ข้า” นางเจียงตอบด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
ทันใดนั้น นางก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากด้านหลัง
อวิ๋นเฟยกอดนางไว้ กลิ่นหอมละมุนของอวิ๋นเฟยลอยมาจากด้านหลังของนางเจียง นี่เป็นกลิ่นที่ไม่อาจพรรณนาได้ กลิ่นหอมอ่อนๆ นี้…ไม่เคยปรากฏอยู่ในความทรงจำของนาง
ศีรษะของนางเจียงก้มต่ำ
ถ้าหากอวิ๋นเฟยอ้อมไปมองด้านหน้า ก็จะเห็นใบหน้าเล็กขนาดเท่าฝ่ามือของนางเจียงกำลังเป็นสีแดงระเรื่อ
แต่อวิ๋นเฟยมิได้ทำเช่นนั้น
อวิ๋นเฟยยังคงกอดนาง กอดนางราวกับเป็นเสี่ยวหลงเปาไส้เนื้อแพะที่นางชอบกินที่สุด
นางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ในวันที่เจ้าเกิด เจ้าก็ถูกพาตัวไปแล้ว ข้ายังคิดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว”
ค่ำคืนซึ่งหิมะตกหนักยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของนาง หลังจากที่คลอดลูกออกมาแล้ว อวิ๋นเฟยก็นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง เหล่านางกำนัลกรูกันเข้ามาแย่งทารกในอ้อมแขนของนางไป
เสียงร้องไห้ของเด็กคนนั้นดังมาจากประตูวัง นางคุกเข่าลงบนหิมะ อ้อนวอนให้ชายผู้นั้นคืนลูกให้นาง
แต่เขาหาได้ทำตามคำอ้อนวอนของนางไม่
“ฝ่าบาท ตี้จีองค์เล็กร้องไห้ ฮองเฮาทรงปลอบไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเดินตรงไปหาหญิงผู้นั้นที่ห้องนอน
นางรอคอยปีแล้วปีเล่า รอจนเส้นผมของนางกลายเป็นสีดอกเลา รอจนนางกลายเป็นไม้ใกล้ฝั่ง ไม่คิดเลยว่าได้มาพบกันอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แม้นางจะไม่ใช่เด็กทารกในห่อผ้า แต่อวิ๋นเฟยก็จดจำนางได้เพียงมองปราดเดียว
นางผ่านชีวิตมาอย่างไรบ้างไม่อาจรู้ได้ กระนั้นอวิ๋นเฟยก็มั่นใจว่านางเผชิญกับความลำบากมาไม่น้อย เด็กที่ถูกประคบประหงมเอาอกเอาใจมาคงจะเติบโตมาเหมือนกับหนานกงเยี่ยนและหนานกงซี อ่อนแอจนบีบด้วยมือเดียวก็ตาย ทว่าความสามารถทุกอย่างที่นางเจียงมี ล้วนเป็นเงาหลงเหลือจากการถูกรังแก
อวิ๋นเฟยรู้สึกเจ็บปวดใจจนร่ำไห้ออกมา
ในวังหลวง อวิ๋นเฟยถูกผลักไสไล่ส่ง นางจึงเข้าใจรสชาติของความทรมานนี้ดีกว่าผู้ใด แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นผู้ใหญ่ นางรู้จักป้องกันตัว ทว่าลูกของนางเป็นเพียงทารกในห่อผ้า ต้องล้มลุกคลุกคลานเท่าไรจึงจะเติบโตมาได้
ทุกครั้งที่อวิ๋นเฟยนึกถึงเรื่องนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าองค์ประมุขและฮองเฮาใจไม้ไส้ระกำทุกครั้งไป!
พวกคนใจร้าย!
อวิ๋นเฟยกอดนางเจียงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่าตัวของนางไม่ได้เกร็งเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ก็ค่อยๆ ปล่อยร่างเล็กของนางเจียง ให้นางเจียงนอนตะแคงอยู่ในอ้อมอกของตน
ลมเย็นพัดเข้ามาในวัดอย่างแผ่วเบา
ไม่มีใครพูดอะไร โดยรอบมีแต่ความเงียบสงัด
หัวใจอันบอบช้ำและด้านชาของอวิ๋นเฟยกลับมาเต้นอีกครั้ง นางสัมผัสได้ถึงโลหิตที่ไหลเวียนในร่างกาย นางรู้สึกราวกับทุกสิ่งไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ระหว่างที่สองแม่ลูกกอดกันอยู่นั้น หนานกงหลีก็ฟื้นขึ้นมา
เขาลอบมองสองแม่ลูกซึ่งกำลังดำดิ่งอยู่ในความรู้สึกตื้นตัน เมื่อมั่นใจแล้วว่านี่เป็นโอกาสทองที่จะหลบหนี เขาจึงใช้มือดันตนเองขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น สองแม่ลูกก็ปล่อยหมัดออกมา ต่อยเข้าที่เบ้าตาของเขาจนเขียวเหมือนหมีแพนด้า ร่างของหนานกงหลีร่วงแผละลงบนพื้น!
“กลับไปที่ห้องทำสมาธิเถิด ตรงนี้หนาว”
จะไม่หนาวได้อย่างไรเล่า?
กำแพงทั้งสี่ด้านถูกใครก็ไม่รู้ต่อยจนทะลุ ลมยามราตรีพัดเข้ามา อวิ๋นเฟยหมายความว่าร่างกายอันแก่ชราของนางทนความเย็นนี้ไม่ไหว
“อื้ม” นางเจียงตอบเสียงค่อย
อวิ๋นเฟยจับมือนุ่มขึ้นมา นางเจียงก้มหน้า แล้วลุกขึ้นตามอวิ๋นเฟยไปอย่างว่าง่าย
ทันใดนั้น ปลาซึ่งหลุดจากแหออกมาตัวหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาพวกนาง
นางเจียงบังเกิดจิตสังหาร แล้วต่อยเขาจมลงกับพื้นในหมัดเดียว
อวิ๋นเฟยย่อมคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใด ลูกของนางทำอะไรก็ดี
อวิ๋นเฟยมองนางเจียงด้วยสายคาเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อบนหน้าผากของนางเจียง
บนพื้นเกลื่อนกลาดไปด้วยเหล่าองครักษ์และหน่วยกล้าตายซึ่งสลบไป
นางเจียงเดินนำไปด้านหน้า คว้าทีละคนๆ โยนออกไปเพื่อไม่ให้เกะกะทางเดิน
เมื่อเดินมาถึงห้องทำสมาธิ ก็มีเสียงของบุรุษดังขึ้นมาจากเชิงเขา “อาซู——”
นางเจียงซึ่งเมื่อครู่มีท่าทางองอาจก็ชะงักจนร่างแข็งทื่อ ทันใดนั้นนางก็ยกมือขึ้นกดจุดไท่หยาง แล้วล้มลงไปกับพื้นอย่างอ่อนแรง
อวิ๋นเฟยมุมปากกระตุก “…”
อวี๋เซ่าชิงพบจดหมายซึ่งนางเจียงลืมทำลายทิ้ง จึงรู้ว่านางเจียงมายังวัดฉางถิงโดยไม่บอกพวกเขา ในจดหมายมิได้ระบุชัดเจนว่าส่งถึงอวี๋หวั่น เพราะฉะนั้นอวี๋เซ่าชิงจึงไม่รู้ว่าผู้ที่หนานกงหลีต้องการให้มา เดิมทีคืออวี๋หวั่น
อวิ๋นเฟยเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของนางเจียง เมื่อนางถูกจับตัวไป นางเจียงออกมาโดยลำพังตามที่ระบุไว้ในจดหมาย เรื่องนี้นับว่าเข้าใจได้
อาซูของเขา ช่างเป็นลูกที่กตัญญูรู้คุณเหลือเกิน!
นางคงไม่อยากทำให้พวกเขาต้องโดนหางเลขไปด้วย จึงปิดบังเรื่องนี้กับพวกเขา!
อาซูเป็นเช่นนี้ จึงทำให้เขารักนางเหลือเกิน!
“อาซู!”
อวี๋เซ่าชิงรุดรีบขึ้นมาถึงวัด เมื่อเข้าไปด้านในก็เห็นเศษซากกระจัดกระจาย เขาตกใจจนขาสั่น!
“อาซู! เจ้าอยู่ที่ไหน!”
“อาซู!”
อวี๋เซ่าชิงเรียกพลางวิ่งไปตามหานางที่ด้านหลังของวัด
จากนั้นก็มีเสียงกระหืดกระหอบของอวี๋หวั่นซึ่งกำลังยืนเท้าเอวตัวงอ “อะไรน่ะ…ท่านพ่อ…รอข้าด้วย…”
อวี๋เซ่าชิงไหนเลยจะมีเวลารออวี๋หวั่น? ไม่เห็นหน่วยกล้าตายกับองครักษ์ที่กระจัดกระจายเหล่านี้หรือ? ที่นี่จะต้อง
เกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้นเป็นแน่ อาซูของเขา…โชคร้ายเหลือเกิน
“อาซู!”
ในที่สุด อวี๋เซ่าชิงก็พบนางเจียงซึ่งนอนหมดสติอยู่ในห้องทำสมาธิ
เขาสาวเท้าเข้าไป อุ้มนางเจียงซึ่งนอนหายใจรวยรินเข้ามาในอ้อมอก แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความชอกช้ำว่า “อาซู เจ้าฟื้นสิ อาซูอย่าทำให้ข้ากลัว…”
นางเจียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างอ่อนแรง แล้วไอออกมาเบาๆ “ท่านมาได้อย่างไร?”
อวี๋เซ่าชิงรีบบอกว่า “เจ้าอย่าเพิ่งพูดอะไร! ข้าจะพาเจ้าลงเขาไปหาหมอ!”
ไม่สิ ลูกสาวของเขาเป็นหมอนี่!
อวี๋เซ่าชิงวางอาซูกลับที่เดิม เขาใช้วิชาตัวเบาออกไปยังด้านนอกวัด แล้วพาอวี๋หวั่นซึ่งกำลังหายใจไม่ทันเข้าไป “เร็ว! ไปดูหน่อยว่าแม่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
อวี๋หวั่นถูกดึงมาจนตาลายไปหมด ตอนนี้ท่านพ่อควรจะดูก่อนไม่ใช่หรือว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง?
แกร็ก
ประตูห้องทำสมาธิถูกเปิดออก
สตรีสวมเสื้อผ้าสมถะคนหนึ่งปรากฏตัวเบื้องหน้าพวกเขา หากกล่าวถึงอายุ นางก็อายุไม่น้อยแล้ว แต่เป็นเพราะอาหารการกินและได้รับการบำรุงเป็นอย่างดี นางจึงดูไม่ต่างจากคนอายุเพียงสี่สิบต้นๆ ดวงตาของนางเรียวสวยดุจผลซิ่ง คิ้วโก่งคู่นั้นแลดูดุจพระจันทร์เสี้ยวในสารทฤดู วันเวลาได้ทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าของนาง แต่นั่นก็มิได้ทำให้ความงามของนางแลดูมัวหมองลงเลย
“ท่านคือ…” อวี๋หวั่นมองนางตาปริบๆ
อวิ๋นเฟยเดิมทีสวมอาภรณ์งามวิจิตรของสนมในวังหลวง นี่คือผลจากการนำอาภรณ์ของวังหลวงมาพลิกกลับด้านและดึงผ้าด้านในออก ทำให้นางดูราวกับสตรีจากตระกูลใหญ่
อวิ๋นเฟยมองอวี๋หวั่น บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน “หน้าตาคล้ายกันถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นลูกของตี้จีองค์โตสินะ? ข้าคืออวิ๋นเฟย”
หากคนในวังหลวงเห็นอวิ๋นเฟยพูดจาด้วยท่าทางจริงจังเช่นนี้ เกรงว่าพวกเขาคงตื่นตะลึง และไม่เชื่อว่านี่คืออวิ๋นเฟยที่สามวันดีสี่วันวิปลาส นางมีด้านนี้ด้วยหรือ?
อวิ๋นเฟยยิ้มกว้าง
เจ้าเด็กโง่ เรียกข้าว่าท่านยายสิ!
เรียกสิ!
ข้าจะทนไม่ไหวแล้วนะ!
อวี๋หวั่นยังคงยืนนิ่งพลางมองนางด้วยความประหลาดใจ “ท่านคืออวิ๋นเฟย เช่นนั้นท่านก็เป็น…”
“ท่านแม่!”
อวี๋เซ่าชิงพุ่งเข้ามาคุกเข่าเบื้องหน้าของนาง!
อวิ๋นเฟยสะดุ้งโหยง มุมปากกระดุก แล้วบอกกับอวี๋หวั่นว่า “เด็กน้อย เจ้าอย่าไปฟังท่านพ่อของเจ้า ข้าไม่ใช่ท่านแม่ของเจ้า” นางหันหลังไป ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นแล้วร่ำไห้ออกมาเสียยกใหญ่ “ลูกเขย…ข้าพบพวกเจ้าแล้ว…ถ้าพวกเจ้าไม่มา
…พวกข้าสองแม่ลูกคงจะถูกเจ้าลูกเต่าหนานกงหลีนั่นรังแกแล้วเป็นแน่…”
หนานกงหลีที่กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้นั้น กำลังเดินกะโผลกกะเผลกไปยังปากประตูวัด ทันทีที่ได้ยินคำพูดใส่สีตีไข่ของอวิ๋นเฟย เขาก็โมโหจนแทบล้มลงไปอีกครั้ง!
ใครรังแกใครกันแน่?
เส้นผมของพวกเจ้าไม่หลุดเลยสักเส้น!
แต่ข้ากระดูกซี่โครงหัก! หัวเข่าเคลื่อน! จมูกช้ำตาเขียว! ที่สำคัญก็คือเหล่าองครักษ์กับหน่วยกล้าตายของข้านอนเกลื่อนอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าไม่เห็นหรือไง!!!
อวี๋เซ่าชิงกำหมัดแน่น “เข้าเดาไว้แล้วเชียวว่าจะต้องเป็นเจ้านั่น! กล้ารังแกอาซูกับท่านแม่ ท่านแม่วางใจเถิด ข้าจะไปลากคอเขามาสั่งสอนให้หลาบจำ!”
เพราะฉะนั้น หลังจากที่หนานกงหลีถูกสองแม่ลูกลงมือลงไม้ไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็ถูกอวี๋เซ่าชิงจัดการซ้ำอีกครั้ง น่าเวทนาเหลือเกิน
……………….