หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 328 ความจริงเปิดเผย
“แค่กๆ! ไม่ต้องหรอก เจ้าเหนื่อยแล้ว พักผ่อนให้สบายเถิด อาหารเช้าวันพรุ่งนี้พ่อจะทำให้เอง”
ลูกเขยออกตัวช่วยไว้แล้ว อวิ๋นเฟยส่งสายตาให้อวี๋เซ่าชิง พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะของอวี๋หวั่นด้วยความเอ็นดู “พ่อเจ้าพูดถูกแล้ว ฟังที่พ่อเจ้าพูดเถิด เจ้ามาอยู่สนทนาเป็นเพื่อนยายดีกว่า”
แม้ว่าอวี๋หวั่นจะอยากสำแดงฝีมือการทำอาหารที่พัฒนาขึ้นของเธอ แต่ในเมื่อท่านยายเอ่ยปากแล้ว อวี๋หวั่นย่อมตอบรับด้วยความยินดี
อวิ๋นเฟยถอนหายใจอย่างโล่งอก
หากรักชีวิต ก็อย่าคิดกินอาหารที่หลานทำ
ดึกมากแล้ว ทว่าอวิ๋นเฟยและอวี๋เซ่าชิงกินอิ่มเกินไปจนนอนไม่หลับ อวี๋หวั่นคิดว่าอวิ๋นเฟยตื่นเต้น ไม่มีท่าทีง่วงนอน พวกเขาจึงมานั่งสนทนากันที่โต๊ะ
พบกันครั้งแรก แต่กลับมิได้รู้สึกอึดอัดและกระอักกระอ่วนอย่างที่คิด ต่างคนต่างรู้สึกสบายใจ อวี๋หวั่นชอบอวิ๋นเฟยมาก อวิ๋นเฟยเองก็ชอบอวี๋หวั่น ส่วนอวี๋เซ่าชิงนั้นแม้เงียบขรึม แต่ท่าทางดูไม่เลว ทั้งยังเอาใจใส่ อวิ๋นเฟยมีหรือจะไม่พอใจ
สิ่งที่สำคัญไปกว่าก็คือ อวิ๋นเฟยจดจำความช่วยเหลือของหนิวตั้นได้ นางจึงปฏิบัติต่อลูกชายของเขาดียิ่งกว่า
ในวัดฉางถิงไม่มีใบชา อวี๋เซ่าชิงต้มน้ำหม้อหนึ่ง จากนั้นก็นำพุทราจีนแห้งในห้องมาแช่เป็นชาพุทราจีน
ทั้งสามดื่มชา
ราตรีเงียบสงัด
อยู่ๆ อวี๋หวั่นก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านยาย เล่าเรื่องในตอนนั้นให้พวกเราฟังได้ไหมเจ้าคะ?”
อวี๋หวั่นไม่ได้ระบุชัดเจนว่าตอนไหน หนึ่งก็เพราะเธอไม่มั่นใจว่าอวิ๋นเฟยจะยินดีเล่าเรื่องราวในอดีตหรือไม่ ถ้า
หากนางไม่ยินดีเล่า นางก็สามารถเลือกเล่าเรื่องที่อยากเล่าได้ สองก็เพราะอันที่จริงเธอก็ไม่มีสิทธิ์ถามเรื่องนี้เท่าไรนัก
อย่างไรเสียข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นเพียงคำบอกเล่า ความจริงเป็นอย่างไร เกรงว่าแม้แต่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้นก็คงไม่กระจ่างเสียด้วยซ้ำ
อวิ๋นเฟยกล่าวว่า “อาหวั่นหมายถึงเรื่องที่ข้าขึ้นเป็นสนมได้อย่างไรน่ะหรือ?”
อวี๋หวั่นครุ่นคิด เรื่องนี้ก็ได้
อวี๋หวั่นพยักหน้า
อวิ๋นเฟยถอนหายใจ “เรื่องบางเรื่องข้าก็ไม่ควรพูดต่อหน้าเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าถามขึ้นมา ข้าคิดว่าเล่าให้เจ้าฟังก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด”
อวี๋หวั่นและอวี๋เซ่าชิงตั้งใจฟัง
เรื่องในตอนนั้น อวิ๋นเฟยทั้งเคียดแค้นและเจ็บปวด บัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นได้ลดลงแล้ว คนเกิดมามีโชคชะตา แต่โชคชะตาขึ้นอยู่กับตัวมิใช่ฟ้า รู้ได้อย่างไรว่าสวรรค์มองไม่เห็น? ยกตัวอย่างเรื่องของตี้จีองค์โต ก่อนหน้านี้ชีวิตลำบากยากเข็น ภายหลังสวรรค์ก็ค่อยๆ ชดใช้ให้แก่นาง
เพราะฉะนั้น หากจะต้องหยิบยกเรื่องขององค์ประมุขขึ้นมาเล่า อวิ๋นเฟยก็มิได้เดือดดาลเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
นางถามด้วยสีหน้าสงบว่า “เรื่องเล่าที่เจ้าได้ยินเป็นอย่างไร”
สองพ่อลูกเหลือบมองกัน
เรื่องนั้นอวี๋เซ่าชิงไม่กล้าเอ่ยถึง
อวี๋หวั่นเป็นคนโปรดของอวิ๋นเฟย เธอจึงต้องกัดฟันพูดออกไป
อวี๋หวั่นบอกว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านกับฮองเฮาเป็นเพื่อนสนิทกัน ท่านมีคู่หมั้นคนหนึ่ง ทว่าคู่หมั้นของท่านหนีไปกับลูกพี่ลูกน้องของท่านเสียก่อน ฮองเฮาเดือดดาลมาก ไม่เพียงลงโทษคู่หมั้นของท่าน แต่ยังตำหนิลูกพี่ลูกน้องของท่านด้วย ภายหลังงานแต่งงานของเขาก็ล่ม ทว่าชีวิตการแต่งงานของท่านเองก็ยากลำบากเหมือนกัน”
อวี๋หวั่นพูดไปพลางสังเกตสีหน้าของอวิ๋นเฟย และพบว่าขณะที่อวิ๋นเฟยฟังเรื่องราวมากขึ้นเรื่อยๆ มุมปากของนางก็มีรอยยิ้มเย้ยหยันมากขึ้นเช่นกัน
“ยังมีอีกไหม? เจ้าเล่าต่อสิ” อวิ๋นเฟยบอก
อวี๋หวั่นเล่าต่อว่า “ฮองเฮาเห็นว่าท่านโศกเศร้า รับท่านเข้ามาในวังหลวง จัดงานเลี้ยงให้ท่าน ปรากฏว่า…”
“ปรากฏว่าข้าไม่แลคุณชายจากสกุลใหญ่ที่นางคัดสรรมาให้ แต่กลับปีนขึ้นไปบนแท่นบรรทมของฝ่าบาทใช่ไหม?” อวิ๋นเฟยต่อประโยคที่อวี๋หวั่นไม่กล้าพูดออกมาจนจบ
อวี๋หวั่นไม่ตอบ
ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร ข่าวลือที่เธอได้ยินมาย่อมเป็นเช่นนี้ ฮองเฮาจิตใจดีไม่ถือตัว นึกสงสารอวิ๋นเฟย แต่อวิ๋นเฟยกลับทำลายความเป็นพี่น้องเสียยับเยิน นางยั่วยวนสามีของฮองเฮา และนั่นทำให้หลังจากมีคำทำนายว่าเด็กที่อวิ๋นเฟยคลอดออกมาเป็นกาลกิณี ทุกคนจึงเชื่ออย่างสนิทใจ
ในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นตี้จีองค์โตซึ่งถูกทอดทิ้งตั้งแต่ยังเเบเบาะ หรืออวิ๋นเฟยซึ่งถูกปล่อยไว้อย่างโดดเดี่ยวในวัง ทั้งสองล้วนแต่เป็นผู้รับเคราะห์
ทุกคนล้วนมีความเห็นแก่ตัว ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จ เธอก็จะอยู่ข้างอวิ๋นเฟย เธอไม่ใช่วีรสตรี และไม่ใช่ทวยเทพบนสวรรค์ เธอเป็นเพียงผู้หญิงแสนธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าจะให้ลงโทษครอบครัวของตนเองเพื่อผดุงความยุติธรรม เธอทำไม่ได้หรอก
อวี๋หวั่นมองไปยังอวิ๋นเฟย “ท่านยาย ท่านกับฮองเฮาสนิทกันจริงหรือเจ้าคะ?”
“สนิท?” อวิ๋นเฟยหัวเราะเย็นชา “ข้าเป็นลูกของอนุ ลูกของภรรยาเอกอย่างนาง มีหรือจะเห็นความสำคัญของคนอย่างข้า? นางก็แค่ใช้ข้าสร้างชื่อเสียงเท่านั้นแหละ ปฏิบัติต่อลูกอนุเสียดิบดี ทำให้นางดูเป็นผู้ที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี รู้ไหมว่านางกับองค์ประมุขพบกันตอนไหน?”
อวี๋หวั่นส่ายหน้า
อวิ๋นเฟยกล่าวถากถางว่า “ในวันที่หิมะตกหนัก ข้าถูกพี่น้องในบ้านรังแก นางนำน้ำแข็งมาประคบบนแก้มบวมๆ ของข้า ทั้งยังออกหน้าสั่งสอนคนพวกนั้น ในตอนนั้นฝ่าบาททรงผ่านมาเห็นเข้าพอดี พระองค์ชื่นชอบความงามและความปราดเปรื่องของนาง ด้วยเหตุนี้นางจึงเข้าตาพระองค์
ในตอนนั้นองค์ประมุขยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์เป็นเพียงองค์ชาย ทว่าองค์ประมุของค์ก่อนชื่นชมพระองค์มาก ทุกคนต่างรู้ว่าพระองค์จะได้เป็นรัชทายาทในภายภาคหน้า พี่น้องในครอบครัวต้องการความสนใจจากองค์ประมุข แต่ฐานะของพวกนางไม่อาจเทียบเท่าฮองเฮา จึงไม่กล้าทำอะไรฮองเฮา และนำความโกรธทั้งหมดมาลงที่ข้า ทุกครั้งที่พวกนางรังแกข้า ฮองเฮาก็มักจะออกหน้าแทน เมื่อฮองเฮาย้ายออกไป ใครเล่าจะปกป้องข้า?
การที่นางออกหน้าแทนลูกอนุเช่นนี้ ทำให้นางได้รับความชื่นชมจากฝ่าบาทเป็นอย่างมาก พระองค์ตรัสว่า ‘ปฏิบัติต่อลูกอนุดีเช่นนี้ วันใดเจ้าได้เป็นฮองเฮา ราษฏรจะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข’”
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “ราษฎรอยู่อย่างเป็นสุขหรือ เหอะ เห็นชัดๆ ว่านางใช้ท่านบำบัดความใคร่ทางศีลธรรม!”
คำพูดนี้อวิ๋นเฟยเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก แต่นางก็ฟังเข้าใจ นางยิ้มแล้วบอกว่า “ตอนนั้นนางดีต่อข้า และไม่ใช่ว่านางแสร้งทำไปเสียทุกอย่าง อย่างน้อยก็ครั้งแรกที่นางออกหน้าแทนข้า นางไม่ได้คิดว่าจะใช้ข้าบำบัด…”
นางพยายามเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ แต่กลับพูดไม่คล่องปาก
“บำบัดความใคร่ทางศีลธรรม” อวี๋หวั่นบอก
“อืม” อวิ๋นเฟยพยักหน้า “หลังจากช่วงเวลาอันหอมหวานนั้นผ่านไป ข้ากับนางก็เปลี่ยนไปเช่นกัน”
อวี๋หวั่นเชื่อว่าสิ่งที่ฮองเฮาทำทั้งหมดก็เพื่ออวิ๋นเฟย แต่สุดท้ายกลับทำให้อวิ๋นเฟยต้องประสบพบเจอกับเรื่องที่เลวร้ายกว่าเดิม ผู้ที่มีทั้งชื่อเสียงและทรัพย์ศฤงคารมีแต่ฮองเฮาเพียงผู้เดียว นางฉีกปากแผลของอวิ๋นเฟย ทั้งยังเปิดเผยความเจ็บปวดของนางต่อหน้าผู้คน จากนั้นจึงใช้อำนาจของฮองเฮามาทวงคืนความยุติธรรมให้แก่นาง คนทั้งใต้หล้าต่างแซ่ซ้องสรรเสริญว่าดีหนักหนา และอิจฉาที่อวิ๋นเฟยสามารถปีนขึ้นไปถึงจุดนั้นได้ แต่ไม่มีผู้ใดถามเลยว่าอวิ๋นเฟยยินดีทำเช่นนี้หรือไม่
หลายปีมานี้ฮองเฮาก็เป็นดังเดิม นั่นเป็นเพราะมีอวิ๋นเฟยซึ่งได้ชื่อว่าวิปลาส คุณธรรมอันสูงส่งของนางจึงเพิ่มพูนขึ้นไปอีก
อวี๋หวั่นสงสารอวิ๋นเฟย เธอชะงักไป แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้น…ท่านกับองค์ประมุข…”
อวิ๋นเฟยตอบว่า “ข้าไม่ชอบนางอีกต่อไป และไม่ได้คิดจะสนใจผู้ชายของนางด้วย ทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ ฤทธิ์ของสุรานั้นแรงเหลือเกิน ดื่มไปเพียงแก้วเดียวข้าก็ไม่รู้แล้วว่าตนเองอยู่ที่ไหน”
รายละเอียดของเรื่องเหล่านี้ไม่ควรพูดต่อหน้าเด็ก
สรุปคือ ในตอนแรกนางมิได้เสน่หาองค์ประมุขแม้แต่น้อย
ส่วนหลังจากที่เข้าวังมาแล้ว นางจึงเกิดความคาดหวังขึ้นมา
นางทำเรื่อง ‘ไร้ยางอาย’ เช่นนี้ นับเป็นความอัปยศอดสูของวงศ์ตระกูล นางถูกครอบครัวทอดทิ้ง นางย้ายเข้าไปอยู่ในตำหนักอย่างโดดเดี่ยว ตัวนางในตอนนั้นเป็นเพียงดรุณีน้อยไม่รู้ประสีประสา นางรู้สึกหวาดกลัวและไร้ที่พึ่ง จึงเริ่มบังเกิดความโหยหาต่อบุรุษผู้เป็นสามี
เขาเป็นที่พึ่งพิงเพียงคนเดียวของนางและลูกในท้อง นางคิดว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ในเมื่อลูกก็เป็นลููกของเขา นางก็จะทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด
นางก็เป็นเหมือนภรรยาที่รอคอยให้สามีกลับมา ยืนอยู่ที่ประตูห้องนอน ชะเง้อมองหาแต่เขา ทว่าตราบจนนางคลอดลูก เขาก็ไม่เคยปรากฏตัวเลยสักครั้ง
แต่เขาก็ปรากฏตัวเพียงเพื่อพรากลูกไปจากนาง
หัวใจของนางไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดเช่นนี้มาก่อน
เมื่อก่อนนางเป็นเพียงดรุณีผู้ไร้เดียงสา นางมอบหัวใจให้กับประมุขวัยเยาว์ผู้เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณ กระนั้นก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่หัวใจดวงน้อยของนางแปรเปลี่ยนไปเป็นด้านชา และในตอนนี้ ความรู้สึกที่นางมีให้กับเขาก็ไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าความเกลียดชัง
อวิ๋นเฟยเงยหน้าขึ้น และถอนหายใจด้วยความเจ็บปวด และพบว่าลูกเขยได้ผล็อยหลับไปบนโต๊ะเสียแล้ว อวี๋หวั่นก็นอนอยู่บนตักของนาง
อวิ๋นเฟยลูบใบหน้าของอวี๋หวั่นเบาๆ
อวี๋หวั่นกำลังหลับสบาย อวิ๋นเฟยสัมผัสได้ถึงความสุขในหัวใจของตน
แท้จริงแล้วไม่ใช่ความเจ็บปวดเพียงอย่างเดียวที่ทำให้คนเราร้องไห้ ความสุขก็เช่นกัน
ขอบตาของอวิ๋นเฟยแดงก่ำ นางสูดหายใจเข้า เงยหน้าเพื่อกลั้นน้ำตา
ฟ้ากำลังจะสาง
นางควรไปได้แล้ว
อวิ๋นเฟยจับอวี๋หวั่นพาดบนโต๊ะ และหยิบหมอนมาหนุนให้ เพื่อให้เธอนอนอย่างสบาย
จากนั้นจึงเดินไปยังข้างเบาะนอน ลูบใบหน้าของบุตรสาว
ยามที่ตั้งท้องเจ้า ข้าหลงรักท่านพ่อของเจ้า เพราะฉะนั้นเจ้าจึงเป็นลูกที่ข้ารักและตั้งหน้าตั้งตารอให้ลืมตาดูโลก อย่าได้โศกเศร้าไป
อวิ๋นเฟยสัมผัสหน้าผากของลูก จากนั้นก็ลุกขึ้น หันไปเปิดประตู มุ่งหน้าสู่แสงแรกแห่งรุ่งอรุณ
นางเจียงซึ่งกำลัง ‘หลับสนิท’ ลืมตาขึ้น มองตามเงาของนางซึ่งกำลังกลืนหายไปกับแสงทองบนเส้นขอบฟ้า
……………………………..