หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 342 ต้าเป่าผู้ทระนง
“ไม่ จะทำเช่นนั้นไม่ได้” ต่อให้ฮองเฮากล้าหาญเพียงใด นางก็ไม่เคยคิดที่จะแย่งชิงบัลลังก์ ใช้ประโยชน์จากการบาดเจ็บขององค์ประมุข บังคับให้เขาสละบัลลังก์ เรื่องแบบนี้นางทำไม่ลง
แม้นางจะใช้กลอุบายกับแม่ลูกอวิ๋นเฟยมากมาย แต่นั่นก็เพราะนางไม่มีทางเลือก กับองค์ประมุขสามีผู้นี้นางพึงพอใจมาก นางไม่อยากทำร้ายเขา
แล้วเมื่อครู่นางเพียงต้องการผลักเขาออกไป ไม่ได้คิดจะฆ่าเขา!
ขันทีกล่าวด้วยใจจริง “ฮองเฮา ฝ่าบาทกับตี้จีมีชีวิตอยู่ได้เพียงหนึ่งคน ฝ่าบาทไม่สละบัลลังก์ คนที่ตายก็คือตี้จีกับหลานของท่าน ท่านโปรดพิจารณาให้ดีเถิด บ่าวเข้าใจดีถึงความรู้สึกของท่านกับฝ่าบาท แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะใช้ความรู้สึกได้ ท่านทำให้ฝ่าบาทบาดเจ็บถึงเพียงนี้….”
ฮองเฮาส่ายหน้าอย่างร้อนรน “ข้าไม่ได้ตั้งใจ…ข้าพลั้งมือ…”
ขันทีทอดถอนใจยาวเหยียด ขัดคำพูดของนาง “ฝ่าบาทจะเชื่อท่านหรือ ฮองเฮา?”
ฮองเฮากระอักกระอ่วน
แม้แต่หนานกงเยี่ยนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเขายังไม่เชื่อ แล้วจะเชื่อตนที่พลั้งมือทำร้ายเขาได้อย่างไร?
ความดื้อรั้นขององค์ประมุขนั้นน่ากลัว ดูจากกรณีของอวิ๋นเฟยนางก็รู้แล้ว เขาเชื่อคนคนหนึ่ง ก็จะเชื่อจนหมดใจ แต่หากเขาสงสัยใครขึ้นมา ก็จะไม่มีที่ว่างให้เปลี่ยนแปลง
นิสัยใจคอขององค์ประมุขทำให้นางได้ลิ้มรสความหวาน ทว่าวันนี้กลับต้องเริ่มกินผลไม้รสขม
องค์ประมุขเคยเกลียดอวิ๋นเฟยมากเพียงใด หลังจากนี้ก็จะเกลียดนางมากเท่านั้น เมื่อนึกถึงอวิ๋นเฟยที่สิบปีก็ยังไม่สามารถกลับคำพิพากษาให้ตนเองได้ ฮองเฮาก็รู้สึกว่าความไว้วางใจที่องค์ประมุขมีให้นางแทบไม่เหลืออยู่แล้ว
ฮองเฮาหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด “ไม่มี…วิธีอื่นแล้วจริงๆ หรือ?”
ขันทีทอดถอนใจมองนาง “ฮองเฮา ท่านลืมไปแล้วหรือว่าเมื่อครู่ฝ่าบาทจะทำอันใดกับตี้จี?”
แน่นอนว่านางไม่ลืม หากนางช้าไปก้าวเดียว หนานกงเยี่ยนคงสิ้นใจอยู่ใต้ดาบขององค์ประมุขไปแล้ว
“ยังมีหรูเซี่ย” ขันทีหวังมองนางข้าหลวงที่หมดลมหายใจอยู่บนพื้น “นางเป็นข้าหลวงของฮองเฮา แต่หลังจากนางเห็นฮองเฮาทำร้ายฝ่าบาท ท่าทีแรกของนางกลับจะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ถึงที่สุดแล้ว พวกเขาเป็นข้ารับใช้ของฮองเฮา แต่เป็นข้ารับใช้ของฝ่าบาทมากกว่า ตำแหน่งของฮองเฮาในวันนี้เพลานี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทมอบให้ หากฝ่าบาทต้องการนำมันกลับไป แม้แต่โอกาสที่ฮองเฮาจะขัดขืนก็ไม่มี เมื่อไร้ซึ่งใจของฝ่าบาท ฮองเฮาก็จะกลายเป็นอวิ๋นเฟยคนที่สอง ไม่สิ อย่างน้อยอวิ๋นเฟยก็ไม่เคยทรยศฝ่าบาท ถึงเป็นเช่นนั้นชะตากรรมของนางก็ยังน่าสังเวช ฮองเฮาคาดหวังชะตากรรมที่เลวร้ายกว่านางหรือ?”
ฮองเฮามองร่างไร้วิญญาณของหรูเซี่ย แล้วหันมองขันที “เช่นนั้น เจ้า…”
ขันทีก้มหัวคำนับแทบเท้า “บ่าวไม่เหมือนกับพวกเขา บ่าวจะจงรักภักดีต่อฮองเฮาตลอดไป”
ฮองเฮารู้สึกราวกับคว้าไม้ท่อนหนึ่งที่ลอยอยู่กลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ นางจับแขนของขันทีแน่น พลางมองเขาเนือยนิ่ง “หลี่อวี้ หากเจ้าสามารถช่วยให้ข้ารอดพ้นจากภัยพิบัตินี้ได้จริง ก็จะเป็นผู้มีบุญคุณต่อข้า รอให้ข้ามีอำนาจ ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าเป็นจงฉางซื่อ”
จงฉางซื่อคือหัวหน้าขันที ไม่ใช่ทาสขันทีธรรมดา แต่เป็นขันทีใหญ่ที่สามารถครองอำนาจในราชสำนัก ขันทีรัชสมัยก่อนก่อความวุ่นวายซึ่งนำไปสู่การทุจริตในราชสำนัก การสังหารจงเหลียง รัชสมัยนี้ลดอำนาจของขันทีลงอย่างมาก แต่ที่สูงที่สุดคือหัวหน้าขันทีใหญ่ เช่น หวังเต๋อเฉวียน สามารถรับใช้องค์ประมุขใกล้ชิด แต่ไม่อาจยื่นมือเข้าไปในราชสำนักได้
คำมั่นสัญญาของฮองเฮานั้นอาจกล่าวได้ว่าหนักพันจิน
ร่องรอยความตื่นเต้นปรากฏบนใบหน้าของขันทีหลี่ เขาก้มหัวคำนับอีกครั้ง “ขอบพระทัย ฮองเฮา!”
ฮองเฮาลุกขึ้นอย่างแผ่วเบา ลมเย็นที่พัดเข้ามาผ่านช่องหน้าต่าง ทำให้ร่างชุ่มเหงื่อของนางรู้สึกเยือกเย็น “บอกข้ามา ข้าควรทำอย่างไรต่อไป?”
ขันทีหลี่กล่าวว่า “รักษาฝ่าบาทก่อน”
ฮองเฮาพยักหน้า
“ใต้เตียงของบ่าวมีล่วมยา รบกวนฮองเฮาช่วยหยิบมา” ขันทีหลี่ใช้มือรักษาบาดแผลขององค์ประมุขพัลวัน ไม่อาจละออกมาได้
ฮองเฮาไปหยิบมาให้เขา
ขันทีหลี่เปิดล่วมยา หยิบกรรไกรและเข็มด้ายออกมาอย่างชำนาญ เริ่มทำความสะอาด เย็บบาดแผลให้กับองค์ประมุข
ต่อให้ฮองเฮาที่ไม่เข้าใจศาสตร์การแพทย์ ก็มองออกว่าทักษะทางการแพทย์ของเขาไม่เลว
ฮองเฮาตะลึง “เจ้า เจ้ามีความสามารถถึงขั้นนี้เชียวหรือ?”
ขันทีหลี่กระซิบ “ฮองเฮาไม่ต้องกลัว ต่อให้บ่าวมีความสามารถมากกว่านี้ ก็จะใช้เพื่อฮองเฮาเท่านั้น”
ฮองเฮาสูดหายใจ และหลับตาลง
บ่าวคนนี้ เข้าไปอยู่ในใจของนางแล้วจริงๆ กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังเดาได้
ทว่ายามนี้ นอกจากเชื่อใจเขา ก็ไม่มีทางใดให้เดินอีกแล้ว
ขันทีหลี่รักษาอาการบาดเจ็บขององค์ประมุข และป้อนยาเม็ดสีน้ำตาลให้เขา
ฮองเฮาขมวดคิ้ว “เจ้าให้ฝ่าบาทกินสิ่งใด?”
“ยาที่ทำให้ฝ่าบาทไม่อาจเคลื่อนไหวและพูดไม่ได้” ขันทีหลี่ตอบ
“เจ้า…” ฮองเฮาคิดจะตำหนิเขา แต่เมื่อวาจาขึ้นมาถึงปากกลับกลืนมันลงไป ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ หากฝ่าบาทขยับได้คงฆ่านางเป็นคนแรก หากพูดได้ ประโยคแรกคงเป็นเอาตัวนางไปประหาร
องค์ประมุขถูกจับให้นั่งอยู่บนเก้าอี้นวม
เมื่อฮองเฮาเดินไปที่เก้าอี้นวม องค์ประมุขก็ลืมตาขึ้น ฮองเฮากรีดร้องด้วยความตกใจ ถอยหลังไปหลายก้าว
ขันทีหลี่กล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ฝ่าบาทไม่สามารถทำอะไรได้”
ฮองเฮาหอบหายใจด้วยความหวาดกลัว และรวบรวมความกล้าเดินมาที่เตียงอีกครั้ง มองแววตาที่อยากจะกินเลือดกินเนื้อนางขององค์ประมุข คิ้วของนางก็กระตุกขึ้น “ฝ่าบาท สามารถได้ยินพวกเราหรือไม่?”
ขันทีหลี่พยักหน้า “ได้พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา”
สีหน้าฮองเฮาเปลี่ยนไป “เช่นนั้นเรื่องของเราจะไม่…”
ขันทีหลี่กล่าวว่า “บ่าวบอกแล้วว่าฝ่าบาทไม่สามารถขยับหรือพูดได้ ดังนั้นฮองเฮาจึงไม่ต้องกังวลว่าฝ่าบาทจะได้ยิน”
ความหมายก็คือ ถึงจะได้ยินแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งไม่อาจทำอะไรกับพวกเขาได้
“เจ้า ช่างกล้าหาญยิ่งนัก…” ฮองเฮาลูบหัวใจที่ตื่นตระหนกของนาง “ปิดตาขององค์ประมุขเถิด”
ดวงตาที่ราวกับจะแทงทะลุร่างของนางคู่นั้น นางเห็นแล้วก็หวาดกลัว
ขันทีหลี่หยิบผ้าผืนหนึ่งมาปิดตาขององค์ประมุข จากนั้นก็ถามว่า “ฮองเฮาทรงคิดได้หรือยังว่าจะให้ผู้ใดเป็นองค์ประมุข? ตี้จีองค์เล็กหรือองค์ชายหลี?”
ฮองเฮาเดินไปมาอยู่ในห้อง “ไม่อาจคาดหวังกับเยี่ยนเอ๋อร์ได้อีกแล้ว คงต้องเป็นหลีเอ๋อร์จะเหมาะสมกว่า แต่…ถึงเวลานั้นจะอธิบายกับเหล่าขุนนางอย่างไร?”
ขันทีหลี่กล่าวโดยไม่ลังเลว่า “ฝ่าบาททรงประชวร ไม่สามารถออกว่าราชการด้วยตนเอง และไม่ทีทางรักษา จึงสละบัลลังก์ให้รัชทายาท และแต่งตั้งตนเองเป็นไท่ซ่างหวาง ส่วนฮองเฮา ท่านจะกลายเป็นไทเฮา”
“พวกเขาจะเชื่อหรือ?” ฮองเฮาถามด้วยความกังวล
ขันทีหลี่กล่าวว่า “วันนี้ฝ่าบาทล่วงรู้ความลับของฮองเฮา ยังไม่ทันได้ประกาศสู่ภายนอก ดังนั้นในสายตาประชา ท่านยังคงเป็นฮองเฮาที่รักใคร่เทิดทูนฝ่าบาท ไม่มีผู้ใดเชื่อว่าท่านทำร้ายฝ่าบาท มีท่านออกหน้า แล้วก็ยังมีพระราชกฤษฎีกาจากองค์ประมุข ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์พร้อม”
ฮองเฮาพยักหน้าอย่างเข้าใจแจ่มแจ้งในทันที
สิ่งที่ฝ่าบาทสงสัย ผู้ที่รู้เรื่องมีเพียงนางถาน หรืออาจยังมีอวิ๋นเฟยกับขันทีหวัง อวิ๋นเฟยไม่มีสิ่งใดต้องกลัว นางเป็นเพียงสตรีที่เสียสติ ทั่วหล้าต่างรู้ว่านางจัดการตนเองไม่ได้ คำพูดของนางไม่มีผู้ใดเชื่อ และนางถานก็เกี่ยวข้องกับสกุลเห้อเหลียนและตี้จีองค์โต คำพูดขอนางเพียงฝ่ายเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้ได้รับความไว้วางใจ ผู้ที่รับมือยากที่สุดคือหวังเต๋อเฉวียน
ฮองเฮาขมวดคิ้ว “จริงสิ หวังเต๋อเฉวียนอยู่ที่ใด? ฝ่าบาทตกที่นั่งลำบากนานถึงเพียงนี้ แต่ยังไม่พบเขาด้วยซ้ำ…”
ขันทีหลี่กล่าวอย่างเฉยเมย “มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว เขาหนีไปแล้ว และเขาก็รู้ทุกอย่างแล้ว”
องค์ประมุขเดินเร็ว ขันทีหวังมาถึงตำหนักจงกงในเวลาต่อมา เขาก็เป็นคนที่มักจะเข้าออกจากตำหนักจงกง จึงไม่มีใครจับตาดูเขาและไม่มีใครขัดขวางเขา ยามเขาเดินไปใกล้ห้องของหนานกงเยี่ยนก็ได้ยินหลังจากการทะเลาะกันอย่างดุเดือด ฮองเฮาร้องขอความเมตตาและตามมาด้วยเสียงกระแทกดังกึกก้อง เขาเห็นหลี่อวี้เดินเข้าไปในห้องพร้อมกับกริชด้วยตาของตนเอง ทันใดนั้นก็ปิดประตูลงกลอน
เขาไม่ใช่เด็กสามขวบที่จะไม่สามารถเดาได้ว่าองค์ประมุขเกิดโชคร้ายเพียงใด
ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดเรียกองครักษ์ แต่เรียกแล้วอย่างไร? ด้วยความสามารถของฮองเฮามีหรือจะไม่แสร้งจัดฉาก?
กลัวก็แต่องครักษ์จะไม่จับฮองเฮา แต่กลับเปิดโปงตัวเขาเอง
แล้วเขาต้องพุ่งเข้าไปช่วยฝ่าบาทหรือไม่ ยิ่งไม่อาจทำได้ ร่างกายเล็กๆ ที่แสนจะบอบบางของเขา แค่เท้าเดียวของคนแซ่หลี่ก็สามารถถีบเขากระเด็นไปวิหารยมบาลแล้ว!
แน่นอน ขันทีหวังรักตัวกลัวตายเป็นเรื่องจริง แต่เห็นส่วนรวมเป็นสำคัญก็ไม่ใช่เรื่องเท็จ
เขาได้รับรู้ว่าฮองเฮาเป็นสตรีหัวใจงูจากปากของนางถานแล้ว วันนี้นางทำร้ายฝ่าบาท ใช้หัวแม่เท้าคิดก็ยังเดาออกว่านางจะทำสิ่งใดต่อไป แต่หากไม่มีตราหยก นางก็ฝันไปเถอะ!
ขันทีหวังกลับมาถึงห้องทรงอักษร ก็แอบนำตราหยกขององค์ประมุขออกไป!
เวลานี้ มีเพียงตี้จีองค์โตที่จะสามารถช่วยองค์ประมุขและหนานจ้าวได้!
เขาต้องไปพบนาง!
“ขันทีหวัง ท่านรีบร้อนเช่นนี้จะไปที่ใดหรือ? ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ไปทำงานหรือ?” ระหว่างทางมีทหารองครักษ์คนหนึ่งพูดติดตลกกับเขาอย่างยิ้มแย้ม
ขันทีหวังอดใจอยากจะโบกฝ่ามือใหญ่ไปแทบไม่ไหว หวังอะไร? ขันทีอะไร? ปู่อย่างข้ากำลังหนีเอาชีวิตรอด อย่ามาเปิดเผยเบาะแสของข้าได้หรือไม่?
“ไปๆๆ!” ขันทีหวังโบกมืออย่างร้อนรน กอดตราหยกไว้ในอ้อมแขนแน่น มุ่งหน้าไปที่ประตูวัง
ในขณะที่เขากำลังจะออกจากวัง เสียงราวกับปีศาจก็ดังขึ้นด้านข้างตัวเขา
“ดึกเช่นนี้ ขันทีหวังดูลับๆ ล่อๆ จะไปที่ใดกันน้า?”
ขันทีหวังใจเต้นรัว ทวดแกสิ! หลี่อวี้ไอ้ระยำ!
ขันทีหลี่ทำมือส่งสัญญาณ หน่วยกล้าตายสองสามคนวิ่งเข้าไปล้อมขันทีหวัง
ขันทีหวังกระแอมในลำคอ กล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง “ข้าทำตามรับสั่งขององค์ประมุขให้ออกจากวัง พวกเจ้ามาขัดขวางข้า หรือแม้แต่องค์ประมุขพวกเจ้าก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาแล้ว?”
ขันทีหลี่หัวเราะ “ไม่กล้าขัดขวางขันทีหวังหรอก แต่ตราประทับฮองเฮาหายไป ข้าถูกรับสั่งให้มาตามหา อยากจะขอค้นตัวขันทีหวัง เมื่อค้นเสร็จแล้วก็จะปล่อยท่านออกไป”
มารดาเจ้า!
เร็วเช่นนี้ก็ถูกพบเสียแล้ว
หากค้นเจอตราหยก เขาจะยังมีชีวิตออกไปได้อีกหรือ? มีหรือไม่มีไม่ต้องพูดถึงแล้ว อย่างไรตราหยกซึ่งเป็นกุญแจสำคัญก็ไม่อาจให้ตกไปอยู่ในมือพวกคนชั่วเหล่านี้!
ขันทีหวังจ้องมองอย่าโกรธเกรี้ยว “บังอาจนัก! ข้าเป็นคนของฝ่าบาท แม้แต่ข้าพวกเจ้าก็จะค้นหรือ?”
ขันทีหลี่กล่าว “ค้น!”
ตราหยกสืบบัลลังก์ ถูกค้นพบ
ขันทีหวังก็ถูกขันทีหลี่นำตัวไปยังตำหนักจงกงรอฟังการตัดสินโทษ ว่ากันว่าการฟังคำตัดสินโทษ จริงๆ แล้วเขาไม่เห็นฮองเฮาด้วยซ้ำ ขันทีหลี่ให้คนมัดตัวขันทีหวัง ปิดปากแล้วอุ้มไปสระไท่เย่ฉือ
ขันทีหวังดิ้นรน “อื้อๆๆๆๆ! อื้อๆๆๆๆ!”
พวกสารเลว! พวกเจ้าต้องไม่ตายดี!
ขันทีหลี่ทำสัญญาณมือ
หน่วยกล้าตายผูกหินก้อนใหญ่สองก้อนไว้ที่เท้าของขันทีหวังและโยนหินลงไปในน้ำ
แต่เดิมขันทีหวังคุ้นเคยกับน้ำ แต่มือและเท้าของเขาถูกมัดไว้ ทำได้เพียงเฝ้าดูตัวเองจมลงไปที่ก้นทะเลสาบ
ไอ้พวกหมาเหี้ยมโหดอำมหิต ต่อให้เป็นผีเขาก็จะไม่ปล่อยพวกมัน!
ขณะที่เขากำลังจะจมลง ร่างสีขาวร่างหนึ่งก็ว่ายลงไป ใช้กริชตัดเชือกออกจากขาเขาแล้วลากเขาขึ้นจากน้ำ
หลังจากขึ้นฝั่ง เขาก็มองอีกฝ่ายอย่างไม่เชื่อสายตา “พระ พระสนมกุ้ยเฟย!”
“ชู่” อวิ๋นเฟยส่งสัญญาณให้เขาเงียบ มองไปรอบๆ และหยิบป้ายแขวนเอวกับชุดมามาออกมาจากพุ่มไม้ “ป้ายแขวนเอวคือคืนที่เจ้าองค์ประมุขนั่นมาสำนึกผิดที่ตำหนักข้า ข้าขอเขามา ส่วนเสื้อผ้าข้าขโมยติดมา เจ้ารีบเปลี่ยนชุดออกจากวังซะ”
“อวิ๋นเฟย…” ขันทีหวังมองนางด้วยความประทับใจพลางสะอื้น
อวิ๋นเฟยตบหัวเขา “อย่าร้องไห้กับหญิงชราอย่างข้า! อีกครู่วังหลวงจะใช้กฎอัยการศึก เจ้าจะออกไปก็ออกไปไม่ได้แล้ว! หลังจากที่เจ้าออกจากวัง อย่าเพิ่งไปที่จวนเห้อเหลียน ข้ากังวลว่าจะมีใครบางคนจับตาดูที่นั่นไว้ ไปหาอาหวั่นกับเยี่ยนจิ่วเฉาที่ถนนซื่อสุ่ย”
ขันทีหวังเช็ดน้ำตา ไม่พูดพร่ำ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า “อวิ๋นเฟย ท่านไม่ไปกับข้าหรือ?”
อวิ๋นเฟยกล่าวว่า “ข้าไปไม่ได้”
ในวังมีนางข้าหลวงมามาเป็นพันเป็นหมื่นคน ปะปนออกไปได้ไม่ยาก แต่กุ้ยเฟยมีเพียงนางเท่านั้น ฮองเฮายามนี้จับตาดูนางยังไม่ทัน แล้วจะยอมให้นางหนีออกจากวังได้อย่างไร?
ขันทีหวังจากไปอย่างร้องห่มร้องไห้
หลังจากขันทีหวังออกจากวังหลวงแล้ว เขาก็จ้างรถม้าและมุ่งตรงไปที่ถนนซื่อสุ่ย เมื่อเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองลืมถามอวิ๋นเฟยว่าพวกเขาอาศัยอยู่ที่ใดบนถนนซื่อสุ่ย ก็ได้ยินเสียงไข่ดำทั้งสามกรีดร้องราวกับเสียงหมู
ขันทีหวังสาบานว่า นั่นเป็นเสียงหัวเราะที่ไพเราะที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต!
ขันทีหวังลงจากรถม้า เร่งเท้าเข้าไปในลานและคุกเข่าต่ออวี๋หวั่นที่กำลังตากแห้งสมุนไพรอยู่ในลาน “องค์หญิงน้อย”
มือของอวี๋หวั่นสะดุ้ง ตะแกรงเกือบจะร่วงลงมา เธอเหลือบมองขันทีหวังที่จะชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง ใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะจำเขาได้ “ขันที เหตุใดเจ้าแต่งตัวเช่นนี้?”
ขันทีหวังน้ำมูกน้ำตาไหล “ไอ้หยา! เกิดเรื่องแล้ว! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ฮองเฮากำลังจะกบฏ! ไม่รู้ว่าฝ่าบาทถูกนางทำอย่างไรบ้าง! ตราหยกก็ถูกนางเอาไปแล้ว! หนานจ้าวกำลังจะเปลี่ยนไป”
“ตราหยกสืบบัลลังก์?” อวี๋หวั่นเลิกคิ้วขึ้นด้วยอย่างแปลกใจ และชี้ไปที่ต้าเป่าที่กำลังนั่งอยู่บนธรณีประตูพร้อมกับตราหยก “เจ้าหมายถึงสิ่งนั้นหรือ?”
ขันทีหวังมองอย่างตั้งใจและเสียงร้องไห้ก็หยุดลงทันที
เขาเห็นกองกระดาษอยู่ข้างเท้าของต้าเป่า
ต้าเป่าถือตราหยกไว้ในมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งก็ถือกระดาษ ม้วนๆๆ ปิดราชโองการขององค์ประมุข…
………………………………