หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 349 ชักธงรบก็ชนะศึก
ในโลกนี้มีปรมาจารย์พิษเทพอยู่จริงๆ หรือ?
หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง ผู้อาวุโสแห่งวิหารพิษผู้นี้ไม่มีทางเชื่อเป็นอันขาด
ไสยศาสตร์แรกถือกำเนิดมิได้แบ่งแยกลัทธิ พ่อมดในยามนั้นก็คือปรมาจารย์พิษ ปรมาจารย์พิษก็เรียกว่าพ่อมด แต่ด้วยการฝึกฝนวิชาที่ยากขึ้น ศิษย์บางคนก็เริ่มเชี่ยวชาญในทักษะใดทักษะหนึ่ง
กล่าวได้ว่าในยุครุ่งเรืองยังคงมีปรมาจารย์พิษเทพอยู่ไม่น้อย แต่พ่อมดทั้งสองฝ่ายฆ่าฟันกันเองเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่งในใต้หล้า ศิษย์ที่เก่งกาจได้ลาจากโลกนี้ไปไม่น้อย การถ่ายทอดวิชาก็ขาดตอนตามไปด้วย
จนถึงบัดนี้ กระทั่งปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งร้อยปีก็ยังไม่พบ ปรมาจารย์พิษอาวุโสเก้าจั้ง สิบจั้งยิ่งมีอยู่แค่ในตำนานที่เล่าลือ ปรมาจารย์พิษเทพ? เป็นคนที่แม้แต่ในฝันก็ยังไม่คาดคิดว่าจะมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าพวกเขาจริงๆ
บรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสต่างเบิกตาค้าง
ประชาชนที่ล้อมรอบแท่นบูชาได้ยินคำว่าปรมาจารย์พิษเทพของปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งต่างก็ตกตะลึงไม่อยากเชื่อ
บุรุษผู้นี้ดูแล้วก็ยังไม่แก่ ไม่ถึงสามสิบด้วยซ้ำ อ่อนวัยเช่นนี้ก็เป็นถึงปรมาจารย์พิษเทพแล้วหรือ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าปรมาจารย์พิษอาวุโสจะเข้าใจอะไรผิด?
ปรมาจารย์พิษอาวุโสซ่งก็หวังให้ตนเองเข้าใจผิด เขาเป็นปรมาจารย์พิษอาวุโสผู้ตื้นเขินที่สุดที่มีคุณสมบัติที่สุดของวิหารพิษ ในด้านความสามารถไม่อาจเทียบเท่าปรมาจารย์พิษอาวุโสรุ่นก่อนๆ ทว่ามองจากสายตาที่ตะลึงงันของพวกเขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้เข้าใจผิด อีกฝ่ายเป็นปรมาจารย์พิษเทพอย่างแน่นอน
ลำบากแล้ว
หลังจากหนานกงเยี่ยนใส่ร้ายว่าวิหารพิษกับสกุลเห้อเหลียนรวมมือกันให้ร้ายนาง วิหารพิษก็แตกหักกับหนานกงเยี่ยนอย่างสิ้นเชิง พวกเขาไม่หวังให้หนานกงเยี่ยนได้รับชัยชนะ
บรรดาปรมาจารย์พิษอาวุโสมองหน้ากันไปมาครู่หนึ่ง ก็บังเกิดความกังวลต่อตี้จีองค์โตพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
มิน่าละ หนานกงเยี่ยนถึงได้กล้านัดหมายสามวันหลังจากนั้น แม้กระทั่งปรมาจารย์พิษเทพก็ยังเชิญมาได้ นางเตรียมการมาเป็นอย่างดี เกรงว่าตี้จีองค์โต…จะพบกับโชคร้ายไม่น้อยแล้ว
“เหตุใดถึงมีปรมาจารย์พิษเทพได้ละ?” อวี๋เซ่าชิงบ่นพึมพำ
ยามอยู่ในต้าโจว เขาไม่ค่อยเข้าใจในศาสตร์กู่นัก หลังจากมาที่หนานจ้าวจึงค่อยๆ ได้ยินผู้คนกล่าวถึง จากความเข้าใจปรมาจารย์พิษเทพคือปรมาจารย์พิษที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้ายามนี้ กระทั่งปรมาจารย์พิษอาวุโสตัวน้อยทั้งสามยามอยู่ต่อหน้าเขายังไม่อาจเทียบเคียง เช่นนั้น อาเว่ยจะยังสามารถเอาชนะได้อยู่จริงๆ หรือ?
อวี๋เซ่าชิงมองไปทางอาเว่ยด้วยความกังวล
เมื่อเริ่มประกาศการประลองในรอบแรก อาเว่ยก็เดินขึ้นไปบนแท่นพิธีกับอาม่าแล้ว
บัดนี้เขายืนอยู่ข้างกายอวี๋หวั่น จ้องมองคู่ต่อสู้ของตนเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย อีกฝ่ายสังเกตสายตาของอาเว่ย เขาจึงมองมาที่อาเว่ยอย่างใจกว้าง ในรอยยิ้มเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง
“อาเว่ย…” อวี๋หวั่นอ้าปาก
อาเว่ยไม่เอ่ยสิ่งใด เดินไปกลางแท่นพิธีอย่างเฉยเมย มองบุรุษหนุ่มที่รุ่นราวคราวเดียวกับชิงเหยียนและพูดว่า “ชื่อแซ่ใด? แจ้งชื่อมา ข้าไม่ตีคนไร้นาม”
ปรมาจารย์พิษเทพเหยียดยิ้มมุกปากอย่างยโสโอหังยิ่ง “ข้านึกว่าคู่ต่อสู้ของข้าจะเก่งกาจสักเพียงใด ที่แท้กลับเป็นแค่เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนหนึ่ง ข้าได้ยินว่าเจ้ามีลูกศิษย์ปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งสามคน ปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้ง….เหอะ”
ปรมาจารย์พิษเทพเอ่ยพลางปัดแขนเสื้อกว้างของตนเอง “นั่นเป็นของเล่นเหลือทิ้งของข้า”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมาจากปาก ทุกคนต่างหายใจเฮือกด้วยความตกใจไม่ได้
ปากดียิ่งนัก! สมแล้วที่เป็นปรมาจารย์พิษเทพ!
อาเว่ยกล่าว “วาจาเหลวไหลพูดให้น้อย มีชื่อก็บอกชื่อ ไม่มีชื่อก็หุบปาก”
ปรมาจารย์พิษเทพหัวเราะหึๆ “เด็กน้อย เจ้าฟังให้ดี ตัวข้านั่งไม่เปลี่ยนชื่อ ยืนไม่เปลี่ยนแซ่ เฟิงสือ! เฟิงของคำว่าคลื่นลมโหมซัดสาด สือของคำว่ากร่อนกระดูกเผาดวงใจ”
อาเว่ยขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่ก็คิดไม่ออกว่า ‘เป็น’ ตัวใด เขารู้อักษรไม่มากนัก
ปรมาจารย์พิษเทพกลับไม่มีมารยาทเข้าไปถามชื่อของอาเว่ย อย่างไรเสียในสายตาของเขา อีกฝ่ายก็เป็นเพียงปรมาจารย์พิษที่มีความรู้งูๆ ปลาๆ คนหนึ่งเท่านั้น อีกไม่นานก็จะตกเป็นรองและพ่ายแพ้แก่เขา แล้วเหตุใดเขาต้องจดจำชื่อของอีกฝ่ายด้วยละ?
การประลองศาสตร์กู่มีเพียงรอบเดียว เวลาจำกัดหนึ่งก้านธูป ผู้ใดสามารถปล่อยกู่ใส่อีกฝ่ายได้สำเร็จภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ผู้นั้นถือว่าชนะ เพราะเป็นด่านแห่งความเป็นความตาย ดังนั้นจะเป็นหรือตายก็ต้องรับผิดชอบตนเอง
ฟังดูง่าย แต่สำหรับปรมาจารย์พิษ คิดจะทำให้พวกเขาถูกกู่ ไม่ใช่เรื่องง่ายดายมาแต่ไหนแต่ไร
ปรมาจารย์พิษเทพยิ้มอย่างเหยียดหยาม “เด็กน้อย ข้ารู้ว่าในมือพวกเจ้ามีราชันสัตว์พิษและราชินีสัตว์พิษ หากแน่จริงก็เข้ามาเลย ชนะพวกเจ้าแล้ว ราชันสัตว์พิษและราชินีสัตว์พิษก็เป็นของข้า”
หากประโยคที่ว่า ‘ปรมาจารย์พิษอาวุโสเจ็ดจั้งเป็นของเล่นที่เหลือทิ้งของข้า’ นั้นหยิ่งผยองมากพอแล้ว เช่นนั้นประโยคนี้ก็คงไม่เห็นใครในสายตาแล้ว เขาไม่เพียงแต่ต้องการเอาชนะตี้จีองค์โต ยังคิดจะแย่งของขององค์หญิงหวั่นไปอีก นี่ไม่เหลือหนทางให้สองแม่ลูกได้มีชีวิตต่อไปเลย
หากไม่มีของศักดิ์สิทธิ์ ตี้จีองค์โตกับองค์หญิงหวั่นจะเอาสิ่งใดมายึดเหนื่ยวหัวใจประชาชน
ดวงตาของอวี๋เซ่าชิงส่องประกายเย็นชา “บัดซบ! มันจะแย่งของของอาหวั่น!”
ไม่แปลกใจที่หนานกงเยี่ยนสามารถเชิญปรมาจารย์พิษเทพมาได้ ที่แท้ก็ต้องการให้อีกฝ่ายสัญญาว่าจะมอบของศักดิ์สิทธิ์ให้กับเขา สิ่งยั่วยวนถึงเพียงนี้ มิน่าปรมาจารย์พิษเทพถึงได้หวั่นไหว
อวี๋หวั่นกระซิบกับชายชรา “อาม่า ปรมาจารย์พิษเทพอะไรนี่…เก่งกาจถึงเพียงนั้นจริงหรือ? ของศักดิ์สิทธิ์ที่เลือกเจ้าของแล้วยังถูกแย่งไปได้ด้วยหรือ?”
ชายชราพยักหน้า “ได้”
“ไม่เอา!” อวี๋หวั่นกุมหัวใจ
เธอไม่อยากส่งกู่กู่น้อยของเธอไป!
ชายชรากล่าว “กุมไว้ก็ไร้ประโยชน์ ราชันสัตว์พิษของเจ้าในยามนี้เล็กเกินไป อ่อนเกินไป ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปรมาจารย์พิษเทพ”
มันเป็นเพียงราชันสัตว์พิษวัยเยาว์เท่านั้น ยังไม่ถึงยุครุ่งเรืองของตน แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างมากในมือของอวี๋หวั่น แต่หากจะต่อกรกับปรมาจารย์พิษเทพ ยังอีกห่างไกลนัก
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมปรมาจารย์พิษเทพถึงเต็มใจออกจากเขาไปล่ามัน รอให้มันโตขึ้น ปรมาจารย์พิษเทพสิบคนก็ยังสู้ไม่ได้ ทว่ายามนี้ มันสู้ปรมาจารย์พิษเทพไม่ได้
ไม่รู้ว่าเพราะได้ยินบทสนทนาระหว่างอวี๋หวั่นกับอาม่าหรือไม่ ปรมาจารย์พิษเทพมองมาทางอวี๋หวั่น ดวงตาที่ชั่วร้ายนั้นไม่เหมือนกับมองสตรีคนหนึ่ง แต่เป็นเหยื่อตัวหนึ่งเสียมากกว่า
แน่นอน ราชันสัตว์พิษของอวี๋หวั่นที่เป็นเหยื่อของเขา
อวี๋หวั่นก่นด่าหนานกงเยี่ยนเจ็ดสิบแปดสิบครั้งในใจ เพื่อความเห็นแก่ตัวของตน ยังไม่เสียดายที่จะนำของศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานจ้าวไปให้ปรมาจารย์พิษเทพ นี่แตกต่างอย่างไรกับการทรยศแว่นแคว้น?
ปรมาจารย์พิษเทพยกยิ้มมุมปาก หยิบขวดหยกเล็กๆ ออกจากอ้อมแขนของตน ดึงจุกขวดออกเบาๆ กลิ่นที่คล้ายมีกลับไม่มีฟุ้งกระจายไปทั่วแท่นบูชา
ปรมาจารย์พิษอาวุโสซุนสีหน้าแปรเปลี่ยน “กู่ไหมฟ้า!”
ในฐานะปรมาจารย์พิษอาวุโสที่มีประสบการณ์ที่สุดของวิหารพิษ การรับรู้ต่อหนอนกู่ของปรมาจารย์พิษอาวุโสซุนแตกต่างจากคนทั่วไป เกือบในทันทีที่ฝาขวดถูกเปิดออก เขาก็สัมผัสถึงลมปราณอันรุนแรงและทรงพลัง
“กู่ไหมฟ้าคืออะไร?”อวี๋หวั่นถามอย่างไม่เข้าใจ
อาม่าตอบ “ราชันพันสัตว์พิษที่เทียบเทียมราชินีสัตว์พิษ”
อวี๋หวั่นรู้สึกว่ากู่กู่น้อยของเธอกระสับกระส่าย
กู่กู่น้อย : ซู้ด~ ซู้ด~
อวี๋หวั่นคิดในใจ : อดทนไว้ๆ อย่ากิน! เลี้ยงเจ้าจนโตขนาดนี้ เจ้าจะถูกแมลงตนหนึ่งพาตัวไปไม่ได้!
กู่กู่น้อยแวบออกมาดังปิ๊ว!
อวี๋หวั่นสายตาเฉียบแหลมมือว่องไวจับมันไว้!
กู่กู่น้อยดิ้นไปมา!
จะกินๆๆ!
“แต่อาม่า เหตุใดท่านถึงสงบนิ่งสงบเช่นนี้?”
“อย่างไรเสียก็….”
ก็อะไร? แพ้หรือ?
อวี๋หวั่นรู้สึกไม่สบายใจ…
“ข้าจะต่อให้เจ้าสามครั้ง” ปรมาจารย์พิษเทพยิ้มหยันมองอาเว่ย
อาเว่ยกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่จำเป็น เริ่มพร้อมกัน”
ปรมาจารย์พิษเทพยิ้มเย็นชา “เด็กน้อย อย่าโทษว่าข้าไม่ให้โอกาส——”
ปัง!
เกิดเสียงดังสนั่น
ทุกคนยังไม่ทันตระหนักว่าเกิดสิ่งใดขึ้น รู้สึกเพียงมีภาพลวงตาหนึ่งแวบผ่านไป วินาทีถัดมา ปรมาจารย์พิษเทพก็ล้มลง
ปรมาจารย์พิษเทพมองอาเว่ยที่ต่อยตนเองจนหัวใจแทบระเบิดออกมา จนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองเลย!
อาเว่ยสูดหายใจ ถอนการเคลื่อนไหว “ท่านอาจารย์กล่าวไว้ไม่ผิด ศาสตร์กู่ในโลก มีแต่ความเร็วเท่านั้นที่ไม่อาจถูกทำลาย”
ต่อให้หนอนกู่เจ้ามีมากกว่านี้ ก็ยังไล่ตามข้าไม่ทัน!
อวี๋หวั่น “เอ่อ…ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ในโลก ความเร็วเท่านั้นที่ไม่อาจถูกทำลายหรือ? อาเว่ยเจ้ามีอาจารย์แบบใดกัน?”
ปรมาจารย์พิษเทพอกจะแตก
ไหน ไหนว่าใช้กู่? ไยลงมือใช้กำลัง? นี่มันการประลองศาสตร์กู่! ไม่ใช่ประลองยุทธ์! มีปัญญาเจ้าก็ใช้กู่สิ!
อาเว่ยคว้าหนอนกู่ลวกๆ โยนไปบนร่างของเขา “เจ้าโดนกู่แล้ว”
ปรมาจารย์พิษเทพ “…”
คนที่เลี้ยงกู่ต้องตายเพราะพิษกู่ แต่คนที่แข็งแกร่งเช่นเขา ไม่คาดคิดเลยว่าตนเองจะโดนหนอนกู่ระดับต่ำตัวหนึ่งที่ไม่แม้แต่เทียบเทียมกับราชันร้อยสัตว์พิษด้วยซ้ำ
ชีวิตครึ่งหนึ่งของเขาไม่เหลือแล้ว ร่างกายไม่อาจใช้ศาสตร์กู่ได้ ทำได้เพียงมองดูตนเองติดพิษ
“…เจ้า”
เขากล่าวจบคำสุดท้ายของประโยคที่ยังไม่จบ จากนั้นตาทั้งสองข้างก็กลอกขึ้น
ปรมาจารย์พิษเทพ ตาย!
อาเว่ยต้อนรับลมหนาว ลุกขึ้นอย่างสง่างาม!
นรกว่างเปล่า อาเว่ยยังอยู่ในแดนมนุษย์!
ปรมาจารย์พิษเทพตายแล้ว หนอนกู่ของเขาก็ถูกอาเว่ยเก็บไปใช้ อาเว่ยกวาดของดีๆ มาไม่น้อย ทำเงินได้มากมาย หนึ่งในนั้น กู่ไหมฟ้าที่อวบอ้วนที่สุดมอบให้แก่กู่กู่น้อย
“ข้าไม่ยอม!” หนานกงเยี่ยนลุกขึ้นพรวด “พวกเขาขี้โกง! ที่ประลองเป็นศาสตร์กู่ เขากลับใช้ยุทธ์ต่อสู้!”
อวี๋หวั่นกอดอกเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างช้าๆ แล้วกล่าวถามอวี้สื่อต้าฟูว่า “ได้กล่าวไว้ว่าห้ามใช้ยุทธ์หรือ?”
อวี้สื่อต้าฟูตอบ “เอ่อ…ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
เพราะไม่เคยมีปรมาจารย์พิษคนใดสามารถใช้วรยุทธ์ ดังนั้นผู้ใดจะไปกำหนดห้ามใช้วรยุทธ์ละ?
แล้วอวี๋หวั่นก็ชี้ไปยังปรมาจารย์พิษเทพที่ตายจนไม่อาจตายอย่างไรได้ “แล้วนั่นไม่ใช่โดนกู่หรือ?”
อวี้สื่อต้าฟูตอบ “เอ่อ…ใช่พ่ะย่ะค่ะ”
ถูกกู่ในยามที่โดนต่อยจนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง….
อวี้…อวี้สื่อต้าฟูไม่รู้แล้วว่าควรจะพูดอย่างไรดี เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่ถูกต้อง แต่ไม่ว่าที่ใดก็กลับไม่พบว่าผิด…
อวี๋หวั่นยังกล่าวต่อ “ยามนี้เปิดการประลองไปนานกว่าหนึ่งก้านธูปแล้วหรือ?”
อวี้สื่อต้าฟูล้มเลิกการขัดขืนไปแล้ว “…ไม่พ่ะย่ะค่ะ”
อวี๋หวั่นยิ้มงดงาม “ตอนแรกกล่าวไว้ว่า ผู้ใดที่สามารถใช้กู่กับคู่ต่อสู้ได้สำเร็จภายในเวลาหนึ่งก้านธูป ผู้นั้นก็ชนะ เช่นนั้นข้าถามตี้จีองค์เล็ก พวกเราไม่ได้ใช้กู่กับเขาหรือ? หรือว่าพวกเราเลยเวลา?”
“เจ้า…” หนานกงเยี่ยนอึกอักจนพูดไม่ออก
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “ไม่ยอมหรือ ได้ เห็นแก่ที่เจ้าเป็นน้องสาวของท่านแม่ข้า ท่านแม่ข้าให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้าเรียกปรมาจารย์พิษเทพออกมาอีก! ครั้งนี้ พวกเรารับรองว่าจะไม่ใช่วรยุทธ์!”
แค่คนเดียวนี้ กว่าราชครูจะหามาได้ก็ไม่ง่ายดาย! นางจะไปหาคนที่สองมาจากที่ใด?
นางเด็กตัวเหม็นคงคำนวณเรื่องนี้ไว้ดีแล้ว ถึงกล้าเอ่ยวาจาไร้ความเกรงกลัวเช่นนั้นออกมา!
คนพาล…นางโมโหคนพาลพวกนี้จะตายแล้ว…
อวี้สื่อต้าฟูประกาศว่า “การประลองแรก ตี้จีองค์โตได้รับชัยชนะ!”
………………………