หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 352.1 ตกม้า? ต้าเป่ากลับมา (1)
อวี๋เซ่าชิงแต่งงานกับนางเจียงมาหลายปี เขาได้ตราตรึงรูปลักษณ์ของภรรยาไว้ในใจนานแล้ว แม้เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์จะสวมผ้าคลุม ใส่ผ้าปิดหน้า แต่อย่างไรก็ตาม ยามนางสวมชุดเกราะขนาดใหญ่กว่าตัวในค่ายหน่วยกล้าตาย ก็ยังทำให้อวี๋เซ่าชิงจดจำได้ ตอนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่ที่อวี๋เซ่าชิงมีน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนัก เพราะสตรีตรงหน้าแปลกเกินไปจริงๆ
อาซูไม่มีทางเท้าเอวสั่นขา ไม่มีทางหัวเราะลั่นเสียงหมู ยิ่งไม่มีทาง…
สมองของอวี๋เซ่าชิงปรากฏภาพที่เขาได้เห็นโดยบังเอิญ ร่างผอมบางยกซิวหลัวที่สูงถึงเจ็ดฉื่อและเหวี่ยงลงไปอย่างแรง แรงจนทำให้ซิวหลัวร้องไห้…
นั่นไม่ใช่อาซูของเขา แต่นั่นก็คืออาซูของเขา ตกลงนางเป็นอาซูของเขาหรือเปล่า…
“อา…”
“ดูตรงนั้นสิ!”
อวี๋เซ่าชิงกำลังจะเอ่ยปาก เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ชี้นิ้วโดยไม่หันกลับ อวี๋เซ่าชิงก็หันไปมองโดยไม่รู้ตัว
วินาทีถัดมา เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์หยิบไม้ท่อนเล็กขึ้นมา ฟาดเขาทีหนึ่งจนสลบไป!
อวี๋เซ่าชิงเหลือกตาล้มลงกับพื้นอย่างนุ่มนวล
เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์วิ่งกลับไปที่รถม้า เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็กระโดดออกจากรถม้า สาวเท้าเดินไปหาอวี๋เซ่าชิงอย่างไม่ไว้หน้าใคร คนเดินมาถึงแล้ว นึกขึ้นได้ว่าลืมบางสิ่ง ก็กระโดดกลับไปอีกครั้ง!
เมื่อเจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์เดินลงจากรถม้าอีกครั้ง ในมือก็มีผ้าเช็ดหน้าน้อยผืนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
นางนอนลงข้างกายอวี๋เซ่าชิงด้วยท่าทางป่วยไข้ คว้าไม้ท่อนเล็กจากด้านข้าง เคาะอวี๋เซ่าชิงให้ตื่น จากนั้นก็ใช้ท่อนไม้ฟาดด้วยความเร็วไม่ทันตั้งตัว ศีรษะของนางเริ่มเอียงและสลบไม่ตื่น!
อวี๋เซ่าชิงมึนหัวไปชั่วขณะ ยามเขากุมศีรษะอันหนักอึ้งลืมตาขึ้น ก็เห็นซิวหลัวของตนนั่งยองๆ อยู่บนพื้น ถือขวดนมเล็กยกดื่มไปพลาง จ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างไปพลาง
อวี๋เซ่าชิงตกตะลึง ก่อนจะรู้สึกตัวว่าเมื่อครู่เขาเห็นอาซู
“อาซู!” เขารีบลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ เห็นนางเจียงที่กำลังนอนอยู่บนพื้นอย่างสง่างามราวกับเทพธิดาข้างกายเขา
เขาขยี้ตา สงสัยว่าตัวเองตาฝาดไป
เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นี้เขาเห็นอาซูที่ดูแตกต่างไป เหตุใดหันมาอีกทีก็…
อวี๋เซ่าชิงเกาหัว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขามองซิวหลัว อยากถามคนเพียงคนเดียวที่ตื่นอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปาก เขาก็คิดได้ว่าซิวหลัวก็เหมือนต้าเป่าของเขา ไม่ค่อยอ้าปากพูดสักเท่าไร
อวี๋เซ่าชิงคิดจนสมองแทบแตกก็หาเหตุผลไม่ได้ แต่เขาไม่อาจปล่อยให้นางเจียงนอนบนพื้นเย็นๆ อยู่แบบนี้ เขาอุ้ม นางเจียงขึ้นมาและตบหน้านางเจียงเบาๆ “อาซู อาซูตื่นเถิด”
นางเจียงตื่นขึ้นมาอย่างเงียบๆ นางเปิดดวงตาที่พร่ามัวไร้เดียงสาคู่หนึ่งมองอวี๋เซ่าชิงอย่างลังเล “สามี…”
อวี๋เซ่าชิงรวดร้าวใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อนแอและแหบแห้งของนาง เขาเริ่มไม่แน่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสิ่งที่เขาเพิ่งเห็นนั้นเป็นความจริง
“…ข้าอยู่นี่!” เขาพูด
“ท่านเป็นอะไรไป? เหตุใดถึงมองข้าเช่นนี้?” นางเจียงพูดอย่างขี้ขลาด
อวี๋เซ่าชิงอ้าปากพะงาบ ลังเลที่จะพูด
นางเจียงมองเขาด้วยดวงตาสดใส
เขาลังเลอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็รวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้า…เหมือนเห็นเจ้า…ในชุดสีดำ…”
“ชุดสีดำ?” นางเจียงพูดขัดด้วยความประหลาดใจ ก้มลงดึงผ้าโปร่งสีทองของตนเอง “ข้าไม่มีชุดสีดำ ท่านฝันไปหรือเปล่า?”
ฝัน?
อวี๋เซ่าชิงตบหัวตัวเองอย่างแรง!
ใช่แล้ว เขาต้องฝันไปแน่! ไม่เช่นนั้นจะเห็นอาซูกลายเป็นโจรหญิงได้อย่างไร!
อาซูของเขาเป็นสตรีผู้อ่อนโยนและมีคุณธรรมที่สุดในใต้หล้า ในวันธรรมดานางยังไม่พูดเสียงดัง ย่อมไม่มีทางเท้าเอวเขย่าขาหัวเราะเสียงหมู!
อวี๋เซ่าชิงถอนใจด้วยความโล่งอก กระซิบเสียงต่ำ “อันที่จริงหากเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถอะ อาซูในความฝันกลายเป็นสุดยอดปรมาจารย์ กระทั่งซิวหลัวก็สามารถเอาชนะได้ หากเป็นเช่นนั้นต่อไปข้าจะไม่เป็นสามีผู้ด้อยกว่าภรรยาหรือ?”
ซิวหลัวเหลือบมองเขาอย่างเย็นชา : พูดอย่างกับเจ้าเคยเหนือกว่าภรรยา…
อวี๋เซ่าชิงยืดเอวฮึกเหิมอีกครั้ง “อาซูคงกลัวมากเลยใช่หรือไม่?”
เจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์พยักหน้าราวกับโขลกกระเทียม “กลัวจนทนไม่ไหว”
“มีสามีเช่นข้าอยู่ ไม่ต้องกลัว!” อวี๋เซ่าชิงลุกยืนตบหน้าอก พยุงภรรยาขึ้นมา
ในเวลานี้ มีปลาตัวหนึ่งลอดผ่านตาข่ายมา หน่วยกล้าตายหน้ากากทองคนหนึ่งพุ่งฝ่ามือลมไปทางอวี๋เซ่าชิง
อวี๋เซ่าชิงก้าวไปปกป้องภรรยาไว้ด้านหลังอย่างแน่นหนา จากนั้นก็ปล่อยหมัดต้อนรับฝ่ามือของหน่วยกล้าตายหน้ากากทอง
ขณะที่หมัดกับฝ่ามือปะทะกัน ดวงตาของเจียงน้อยจอมเจ้าเล่ห์ส่องประกาย กลิ่นอายสังหารทรงพลังส่งผ่านอวี๋เซ่าชิง กระแทกเข้ากับร่างของหน่วยกล้าตาย
หน่วยกล้าตายหน้ากากทองร้องอ๊า ลอยขึ้นไปบนฟ้าจนหายลับตา
อวี๋เซ่าชิงมองไปที่กำปั้นของตนอย่างไม่เชื่อสายตา
แค่หมัดเดียวของเขา ก็สามารถต่อยหน่วยกล้าตายหน้ากากทองจนปลิว เขากลายเป็นคนทรงพลังยิ่งนัก!
อีกด้านหนึ่งอวี๋หวั่นก็ตื่นขึ้นเช่นกัน เธอลูบศีรษะที่มึนงงยันพื้นลุกขึ้นยืน
นอกจากอาการปวดเมื่อย ก็ไม่มีอาการบาดเจ็บร้ายแรง
พลังภายในนั้นน่ากลัวเกินไป ไม่รู้ว่าเห้อเหลียนเซิงและต่งเซียนเอ๋อร์ตกลงไปที่ใดแล้ว แต่คนที่ไม่เข้าใจวรยุทธ์อย่างเธอยังไม่เป็นไร พวกเขาก็คงไม่เป็นไรเช่นกัน
แต่ไม่รู้ว่าลุงใหญ่กับอาม่าแล้วก็ท่านแม่จะปลอดภัยดีหรือไม่
อวี๋หวั่นตัดสินใจตามหาพวกเขา แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงไอเบาๆ
เธอหันไปมองตามเสียง เห็นหนานกงเยี่ยนถูกทับอยู่ใต้ก้อนหิน
หนานกงเยี่ยนตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด หลังจากตื่นขึ้นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้น ร่างกายครึ่งหนึ่งถูกกดทับ ตั้งแต่เอวลงไปไร้ความรู้สึก ทว่าตั้งแต่เอวขึ้นมากลับเจ็บปวดจนนางอยากให้ไร้ความรู้สึกไปแทบไม่ไหว
นางพยายามใช้กำลังแขนคลานออกไป แต่กลับกระอักเลือดออกมา
ทันใดนั้นแสงสว่างเหนือศีรษะของนางก็มืดลง
นางเงยหน้าขึ้นด้วยความยากลำบาก มองสตรีที่งดงามหาใดเปรียบ
“หึ…”
นางหัวเราะเยาะตัวเอง
อวี๋หวั่นโค้งมุมปากอย่างเฉยเมย “สมกับเป็นตี้จีองค์เล็กจริงๆ เป็นเช่นนี้แล้วก็ยังหัวเราะได้”
หนานกงเยี่ยนกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “ไม่หัวเราะ ให้เจ้าดูข้าร้องไห้หรือ?”
อวี๋หวั่นยักไหล่ “เจ้าหัวเราะหรือร้องไห้ คิดว่าข้าสนใจหรือ?”
สีหน้าของหนานกงเยี่ยนแข็งขึ้น
อวี๋หวั่นย่อตัวงอเข่าลง มองนางอยู่ชั่วขณะ “คงไม่คิดว่าตัวเองจะลงเอยเช่นนี้กระมัง? อยากฆ่าคน แต่ก็ไม่ได้ฆ่าสักคน กลับเป็นตัวเองที่ไม่อาจมีชีวิตรอด เจ้าบอกว่าเจ้าสูงส่งเป็นถึงตี้จีแห่งหนานจ้าว เห็นได้ชัดว่าจะมีอนาคตที่สวยงามราวกับผ้าไหมทอดิ้น แล้วเหตุใดถึงพาตัวเองเดินมาถึงจุดนี้ได้?”
ใช่แล้ว นางพาตัวเองเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร?
ความผิดพลาดทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด?
เป็นเพราะนางกีดกันไม่ให้ตี้จีองค์โตกับองค์ประมุขพบหน้ากัน หรือเพราะนางบังคับให้ของศักดิ์สิทธิ์เลือกนาย? หรืออาจเพราะนางขายตี้จีองค์โตเพื่อแลกกับของศักดิ์สิทธิ์ หรือเป็นเพราะก่อนหน้านั้นที่นางแย่งสามีของซั่งกวนเยี่ยนมา…
ไม่สิ อาจจะก่อนหน้านั้นทั้งหมด
การถือกำเนิดของนางเป็นความผิดพลาด
ภายใต้คำที่บอกว่านางคือเลือดเนื้อของอวี่เหวินจ้าว บังคับแย่งชิงดวงชะตาของตี้จีองค์โตมา
นางควรเป็นเด็กคนนั้นที่ถูกทอดทิ้ง
ชีวิตของนางตลอดหลายปีที่ผ่านมา เป็นท่านแม่ของนางที่ขโมยมาจากอวิ๋นเฟยและตี้จีองค์โต
หนานกงเยี่ยนหัวเราะออกมา ยิ่งหัวเราะ เสียงยิ่งดังขึ้น และท้ายที่สุดก็หัวเราะจนทั้งร่างสั่นคลอน
ต่างจากรอยยิ้มเย้ยหยันในตอนแรก ยามนี้ทั่วทั้งดวงตาของนางส่องประกายแห่งความสิ้นหวัง
อวี๋หวั่นมองนางและส่ายศีรษะอย่างเสียดาย “เจ้าก็น่าสงสารเหมือนกัน เหตุใดโชคชะตาถึงมีอสูรกันนะ?”
มีบางเรื่องที่อวี๋หวั่นไม่ได้ยินฮองเฮาสารภาพด้วยตนเอง แต่ถึงไม่ได้ฟัง ก็ไม่ได้แปลว่าเธอเดาไม่ได้ ตี้จีองค์เล็กควรเป็นเลือดเนื้อขององค์ประมุข แต่น่าเสียดายเพื่อควบคุมอวี่เหวินจ้าว ฮองเฮาจึงโกหกว่าเป็นของเขา ดังนั้นเพื่อปกป้องเด็กคนนี้ อวี่เหวินจ้าวจะทำอย่างไรละ? เขาไม่อาจให้องค์ประมุขมีความสงสัยในตัวนางแม้แต่น้อย และไม่อาจให้นางเกิดมาพ่ายแพ้ต่อตี้จีองค์โต
ไม่มีวิธีใดที่สมบูรณ์แบบไปกว่าการให้สถานะตี้จีผู้เป็นพรจากสวรรค์อีกแล้ว
สิ่งที่นางแบกรับมิใช่เพียงความคาดหวังขององค์ประมุข แต่ยังรวมถึงความเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมโทรมของอาณาจักรและความโชคดีของหนานจ้าว
เช่นนี้ องค์ประมุขก็จะไม่สงสัยในตัวนางอีกต่อไป
ส่วนเรื่องโชคดีร้ายเกิดคู่กัน อวี๋หวั่นเคยถามอาม่า อาม่าเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงมากกว่า แต่ถูกอวี่เหวินจ้าวพลิกฟ้าสับเปลี่ยนดวงชะตาหรือไม่นั้นยากจะบอก
อวี๋หวั่นทอดถอนใจ “แม้ว่าหนานจ้าวจะส่งท่านแม่ของข้าออกไป ท่านแม่ของข้าก็ยังมีชีวิตที่ดีกว่าเจ้า จงหยวนมีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า แม้อยู่ในแดนตายก็สู้เพื่อมีชีวิตต่อไป เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากตอนแรกเป็นเจ้าที่ถูกส่งไป ยามนี้ผู้ที่กลับมาอาจเป็นเจ้า?”
หัวใจของหนานกงเยี่ยนกระตุกวูบ
จริงด้วย หากคนที่ถูกส่งไปเป็นนาง เช่นนั้นคนที่ได้ผจญภัยในเผ่าปีศาจก็เป็นนางเช่นกัน นางจะไม่พบราชบุตรเขย ไม่ทำให้เกิดความผิดพลาดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ นางอาจได้พบกับอวี๋เซ่าชิงเหมือนกับตี้จีองค์โต เช่นนั้นยามนี้นางก็คงเป็นสะใภ้ของสกุลเห้อเหลียน แล้วเหตุใดนางถึงกังวลว่าจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งประมุขหญิงละ?!
อวี๋หวั่นตบไหล่ของนาง “นี่ ข้าแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น เจ้าจริงจังหรือ? เจ้าคิดว่านิสัยของแม่ข้า จะขายเจ้าเพื่อแลกกับของศักดิ์สิทธิ์หรือ? เจ้ากล้าที่จะหลบหนีจากเผ่าปีศาจหรือ? ต่อให้เจอพ่อข้าแล้ว แต่พ่อของข้าจะมองเจ้าหรือ?”
“เจ้า!” หนานกงเยี่ยนตระหนักว่าตนกำลังถูกอวี๋หวั่นกลั่นแกล้ง อวี๋หวั่นไม่ได้เสียดายแทนนาง เธอแค่ซ้ำเติมความรู้สึกผิดและความเจ็บปวดของนางเท่านั้น สมแล้วที่เป็นสตรีของเยี่ยนจิ่วเฉา หัวใจดำมืดเช่นนี้เหมือนกับเยี่ยนจิ่วเฉาไม่มีผิด!
หนานกงเยี่ยนโกรธจัด นางคว้าก้อนหินขว้างไปที่อวี๋หวั่นราวกับสตรีบ้าคลั่ง
อวี๋หวั่นค่อยๆ ยกแขนเสื้อขึ้นกำบังการตอบโต้อันอ่อนแอปวกเปียกของนาง จากนั้นอวี๋หวั่นก็เผยดวงตาที่มีน้ำใสเอ่อล้นออกจากแขนเสื้อกว้าง “ท่านน้า สตรีอารมณ์ไม่ดีจะทำให้แก่เร็วได้”
“เห้อเหลียนหวั่น!” หนานกงเยี่ยนกัดฟันพูด “เจ้าอย่าเพิ่งดีใจเร็วนัก! อย่าลืมสิ ลูกของเจ้ายังอยู่ในมือข้า! เจ้าคิดว่าข้าจะส่งเขาคืนจริงๆ หรือ? ฮ่า เลิกฝันซะเถอะ! ไม่ว่าชนะหรือแพ้ ข้าก็ไม่เคยคิดจะคืนเขาให้เจ้า! เยี่ยนจิ่วเฉาทำให้ข้าสูญเสียเลือดเนื้อ ข้าก็ต้องการให้เขาได้ลิ้มรสการสูญเสียบุตรเช่นกัน!”
“อ้อ”
อ้อ?
นี่มัน…ท่าทีอะไรกัน?!
หนานกงเยี่ยนมองอวี๋หวั่นอย่างตกตะลึง
อวี๋หวั่นย่อเข่าทั้งสองข้างลง เธอกอดอกมองหนานกงเยี่ยนไม่กะพริบตา “วันนี้มีโอกาสสำคัญเช่นนี้ เจ้าคิดว่าเหตุใดเยี่ยนจิ่วเฉาถึงไม่มา?”
ดวงตาของหนานกงเยี่ยนสั่นไหว!
อวี๋หวั่นกล่าว “โง่เขลาแล้วกระมัง? เอาแต่คิดเอาชนะแม่ข้า กระทั่งช่องโหว่ที่ใหญ่เช่นนี้ก็ละเลยเสียแล้ว สมองหมูอย่างเจ้า ยังคิดจะเป็นองค์ประมุข! ชาติหน้าเถอะ!”
หนานกงเยี่ยนโกรธจนตัวสั่น แต่ไม่นาน นางก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง “เห้อเหลียนหวั่นเอ๋ย เห้อเหลียนหวั่น เจ้าคิดว่าตนเองวางแผนอย่างแยบยลหรือ? ข้าก็จะบอกเจ้าเช่นกัน ข้าไม่ได้คิดจะให้เขามีชีวิตอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าคิดว่ามีเยี่ยนอ๋องอยู่ แล้วข้าจะใจอ่อน ฮ่าๆ…ไร้เดียงสา!”
หนานกงเยี่ยนกล่าวพร้อมกับมองท้องฟ้าเหนือศีรษะ “ชั่วยามนี้ เยี่ยนอ๋องคงฝังบุตรชายของเจ้าไปแล้วกระมัง…ฮ่าๆ…ฮ่าๆๆๆ…ฮ่าๆๆๆ…”
ทั่วทั้งแท่นบูชาก้องกังวานไปด้วยเสียงหัวเราะบัาคลั่งในความสำเร็จของหนานกงเยี่ยน
อวี๋หวั่นคร้านจะสนใจสตรีบ้าผู้นี้ เธอยืนขึ้นมองไปยังทิศทางที่เยี่ยนจิ่วเฉาจากไป
เยี่ยนจิ่วเฉา ท่านต้องไปให้ทันนะ…
ถนนหนทางที่ขรุขระบนภูเขา
ล้อเกวียนของรถม้าติดอยู่ในรางหิน
เยี่ยนจิ่วเฉาลงจากรถม้า
อิ่งสือซันยกล้อขึ้นมา
อิ่งลิ่วกลับจากการสำรวจเส้นทาง และพูดกับเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “คุณชาย ด้านหน้าไม่มีถนนแล้ว”
เยี่ยนจิ่วเฉามองหนอนกู่ตัวน้อยที่อาเว่ยทิ้งไว้ให้เขา เป็นทิศทางนี้ไม่ผิด พวกเขาตามหามาตลอดทาง บนถนนยังมีร่องรอยของล้อรถที่มองเห็นได้ แต่ถึงตรงนี้ ร่องรอยก็หายไป
เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขาผลักรถม้าลงไปในหน้าผา?
ผลักแค่รถม้า หรือผลักทั้งคนทั้งรถ?
อิ่งสือซันก็เดาออกเช่นกัน เขามองลงไปที่หน้าผา ตกจากที่สูงขนาดนี้ คนที่ไม่อาจใช้วรยุทธ์อย่างเยี่ยนอ๋องและต้าเป่าต้องเสียชีวิตไปนานแล้ว
……………