หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 353 ความจริงของสาเหตุ
ในที่สุดอวี๋หวั่นก็ได้พบบุตรชาย ความกังวลทั้งหมดที่เธอไม่กล้าแสดงต่อหน้าคนอื่นสองสามวันที่ผ่านมา บัดนี้ท่วมท้นออกจากใจ
เธอไม่อาจสนใจภาพลักษณ์ของพระชายาซื่อจื่อ ถกกระโปรงวิ่งเข้าไปหากลางค่ำมืด
“ต้าเป่า ต้าเป่า!”
เด็กน้อยทั้งสองวิ่งไปหาพี่ชาย แต่มีร่างหนึ่งกลับดึงต้าเป่าเข้าไปในอ้อมแขนเร็วกว่าพวกเขา
“ต้าเป่า!” อวี๋หวั่นกอดบุตรชายที่ไม่ได้พบมาสามวัน แม้แต่ก่อนจะเคยห่างกันนานกว่านี้ ทว่าบุตรชายที่อยู่กับญาติ และอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู เป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง “ให้แม่ดูเจ้าหน่อยซิ ต้าเป่าผอมไปหรือไม่?”
ต้าเป่ามองมารดาอย่างบ้องแบ๊ว อยากบอกเธอยิ่งนักว่า เขาอยากให้เธอคิดว่าผอม แต่ก็น่าเสียดายที่ไขมันตรงท้องหักหลังเขา
ปู่เยี่ยนยังป้อนอาหารเขามากกว่ายายทวดเสียอีก!
อวี๋หวั่นเห็นว่าบุตรชายได้รับการดูแลจากเยี่ยนอ๋องเป็นอย่างดี เธอหันไปมองเยี่ยนจิ่วเฉา “ท่านพ่อเล่า? เขาไม่เป็นไรใช่หรือไม่?”
เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว “กลับถนนซื่อสุ่ยไปแล้ว แค่เหนื่อยนิดหน่อย ไม่เป็นไรมาก”
ภายใต้เปลือกตาของศัตรู การเลี้ยงต้าเป่าให้อ้วนไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ร่างกายบอบบางที่ไม่อาจสู้แรงลมของเยี่ยนอ๋องแทบหมดแรงเป็นอัมพาตไปชั่วขณะทันทีที่ขึ้นรถ เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเขากลับไปที่ถนนซื่อสุ่ยก่อน จากนั้นจึงพาต้าเป่ากลับจวนเห้อเหลียน
“ไอ้หยา ท่านแม่กอดพอหรือยัง?” เสี่ยวเป่าดึงชายกระโปรงอวี๋หวั่น ในอดีตเขาไม่อยากให้มารดาอุ้มต้าเป่า เพราะเขาต้องการครอบครองมารดา ทว่าบัดนี้กลับอยากครอบครองต้าเป่า
อวี๋หวั่นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแล้ววางต้าเป่าลง
เสี่ยวเป่าและเอ้อร์เป่าอ้าแขนน้อยๆ กอดพี่ชายของพวกเขา
ต้าเป่าก็เข้าไปกอดน้องชายทั้งสอง
แขนของพวกเขาทั้งอ้วนทั้งสั้น กอดกันแล้วดูเงอะงะยิ่ง
“ข้า…ข้ากอดไม่ถึงแล้ว” เสี่ยวเป่ากล่าว
“ข้าด้วย” เอ้อร์เป่าพูด
อวี๋หวั่นหัวเราะน้ำตาไหล
เด็กน้อยทั้งสามกอดกันอย่างเงอะงะครู่หนึ่ง อวี๋หวั่นก็ลูบหัวทั้งสาม “ค่ำมากแล้ว กลับจวนกันเถอะ ท่านย่ายังรอพวกเจ้าอยู่ที่เรือน”
“อื้อ!” ทั้งสามพยักหน้า
สามพี่น้องจูงมือกัน เดินพลางกระโดดพลางเข้าไปในจวน!
“พวกเราก็ไปกันเถอะ” อวี๋หวั่นพูดกับเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียงอืมอย่างราบเรียบ เดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
อวี๋หวั่นก้าวตามอย่างรวดเร็วและแผ่วเบา มองมือที่ห้อยลงข้างลำตัวแล้วจับมันขึ้นมาเบาๆ
“ขอบคุณมาก” เธอกล่าว
“ข้าเป็นพ่อของเขา” เยี่ยนจิ่วเฉากล่าว
ความหมายแฝงคือมีสิ่งใดน่าขอบคุณ?
อวี๋หวั่นยกยิ้มมุมปากกระซิบเบาๆ “นั่นก็ยังต้องขอบคุณท่าน”
อวี๋หวั่นไม่เคยรู้สึกว่า เพราะเขาเป็นบุรุษ เป็นสามีของเธอ หรือเป็นบิดาของเด็กๆ ดังนั้นความดีและความทุ่มเทของเขาจึงเป็นสัจธรรมความถูกต้องที่พึงมี เรื่องที่ต้องทำเพียงห้าส่วนเขาทำสิบส่วน ไม่ใช่เพราะความรับผิดชอบ แต่เพราะหัวใจที่รักใคร่หวงแหนเธอและเด็กๆ
น้ำใจนี้ล้ำค่าไม่อาจตีราคา ในใต้หล้าหาได้ยากยิ่ง
อวี๋หวั่นมองเขาด้วยรอยยิ้ม
กำลังจะก้าวขึ้นบันได เขาก็สะดุดเสียทื่อๆ ในทันที
“ไม่เป็นไรใช่หรือไม่!” อวี๋หวั่นช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา “บันไดใหญ่เพียงนี้ ท่านก็สะดุดได้ ข้าแค่มองท่านเองมิใช่หรือ? แต่งงานมาก็นานแล้ว บุตรก็มีถึงสามคน ยังทำให้ท่านตื่นเต้นอีกหรือ!”
เยี่ยนจิ่วเฉาส่งเสียงฮึดฮัด ถอนมือออก สาวเท้าเดินหนีไป
ท่าทางสามีข้ายามโกรธเกรี้ยวช่างหล่อบาดใจยิ่งนัก!
อวี๋หวั่นตามไปอย่างมีความสุข
ภายในห้อง ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเหลนตัวน้อยของนางก็ยิ้มไม่ยอมหุบ กับฮูหยินผู้เฒ่าแน่นอนว่าไม่ได้พูดเรื่องการลักพาตัวของต้าเป่า บอกเพียงว่าไปอยู่ในวังกับอวิ๋นเฟยสองสามวันเท่านั้น
แม้ไม่รู้ความจริง แต่ช่วงสองสามวันนี้เปลือกตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็มักจะกระตุกอยู่เสมอ นอนก็หลับไม่สนิท ในที่สุดได้กอดต้าเป่าที่กลับมาอย่างปลอดภัย ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้สดใสแช่มชื่นขึ้นอีกครั้ง
“ดวงใจของทวด!” ฮูหยินผู้เฒ่าอุ้มต้าเป่าไว้เนิ่นนาน รักใคร่จนวางไม่ลง
แต่สิ่งที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีความสุขไม่ได้มีเพียงเรื่องนี้
“อะแฮ่ม!” อวี๋เซ่าชิงกระแอมในลำคอ “ท่านแม่ ท่านดูสิว่าใครมา?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเงยหน้าขึ้นอย่างว่างเปล่า
อวี๋เซ่าชิงก้าวหลบไปด้านข้าง เผยให้เห็นภิกษุในชุดสีดำ
ดวงตาของฮูหยินผู้เฒ่าพลันเบิกกว้าง “เซิง…เซิงเอ๋อร์?”
เห้อเหลียนเซิงยืนนิ่ง
“มัวนิ่งอะไร? เข้ามาสิ!” อวี๋เซ่าชิงลากหลานชายไปหาฮูหยินผู้เฒ่า
ลำคอของฮูหยินผู้เฒ่าพลันเจ็บปวด เอื้อมมือออกไปอย่างสั่นเทา กล่าวด้วยน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม “ใช่เซิงเอ๋อร์หรือไม่?”
ภิกษุชุดดำคุกเข่าลงต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า และยื่นหน้าไปที่มือของนาง “ข้าเอง ท่านย่า”
“เซิงเอ๋อร์–” ฮูหยินผู้เฒ่าดึงเห้อเหลียนเซิงเข้าไปในอ้อมแขนด้วยน้ำตาไหลพราก
นอกห้อง นางถานเฝ้าดูฉากนี้อย่างเงียบๆ และแอบเช็ดน้ำตา เดิมทีอวี๋เซ่าชิงต้องการให้นางพบฮูหยินผู้เฒ่าเช่นกัน แต่เมื่อมาถึงประตูนางก็ผงะถอย
เป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นางไปรบกวน
นางคิดจะจากไปอย่างเงียบๆ แต่เมื่อหันหลังกลับ เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็ผลักรถเข็นมาขวางทางนางไว้
“เจ้าจะไปที่ใด?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว
นางถานก้มศีรษะลงและพูดว่า “กลับอารามชี”
“อารามชีไม่มีแล้ว” เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว
“ข้าจะไปอารามชีที่อื่น” นางเอ่ยพลางเดินตรงไปเงียบๆ
ขณะที่เดินผ่านไป เห้อเหลียนเป่ยหมิงก็จับข้อมือนาง “กลับมาอยู่บ้าน ไม่ดีหรือ?”
ดวงตาของนางถานเริ่มร้อนผ่าว
คิดว่าตนเองตัดใจได้นานแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบุรุษผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรกลับไม่อาจทำท่าทีเฉยชาเช่นนั้นได้
นางถานหันหนี ไม่กล้ามองเขา และไม่ให้เขามองหน้านางเช่นกัน
ขาของเขาถูกนางทำให้พิการ นางไม่มีหน้าจะพบเขา
เห้อเหลียนเป่ยหมิงเดาได้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด เมื่อเทียบกับการตำหนิตัวเองของนางแล้ว ในใจของเขาตำหนิตัวเองยิ่งกว่า ในฐานะสามี เขาไม่อาจปกป้องภรรยาและบุตร และยังทำให้นางต้องทำในสิ่งที่นางเจ็บปวด หากเป็นเขาที่วางยานาง ต่อให้เพื่อช่วยนาง เขาก็คงต้องเสียใจไปตลอดชีวิตกระมัง
“เจ้าโทษข้าหรือ?” เขาพูด
นางถานรีบพูด “ไยข้าต้องโทษท่าน? คนที่ควรถูกโทษเป็นข้าถึงจะถูก!”
เห้อเหลียนเป่ยหมิงกล่าว “เจ้าจะผิดได้อย่างไร? ข้าเป็นพ่อของเซิงเอ๋อร์ ความรับผิดชอบแต่แรกควรเป็นของข้า แต่กลับให้เจ้ากับท่านแม่ต้องแบกรับ ข้าเป็นบุตรที่แย่ เป็นสามีที่แย่ และเป็นบิดาที่แย่!”
นางถานกล่าว “ท่าน…ท่านเลิกพูดได้แล้ว!”
“เช่นนั้นเจ้าจะยกโทษให้ข้าได้หรือไม่?” เห้อเหลียนเป่ยหมิงมองนาง
“ข้า…”
ข้าไม่เคยตำหนิท่าน ข้าจะให้อภัยท่านได้อย่างไร?
“พี่สะใภ้ ท่านแม่เรียกท่าน!” อวี๋เซ่าชิงโผล่หัวออกมา
นางถานกระวนกระวาย
เห้อเหลียนเป่ยหมิงดึงมือที่หยาบกร้านของนาง พลางจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง “ไปเถอะ อย่าให้ท่านแม่ต้องรอ”
“ข้า…” นางถานสัมผัสใบหน้าที่ไร้ความเยาว์วัยด้วยความประหม่า
เห้อเหลียนเป่ยหมิงคลี่ยิ้ม “เหมือนตอนที่แต่งงานในยามนั้น ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย”
“แต่…” นางถานยังอยากปฏิเสธ แต่ก็ถูกเห้อเหลียนเป่ยหมิงจูงเข้าไปในห้อง
ทั้งคู่พูดคุยกับฮูหยินผู้เฒ่า เห้อเหลียนเซิงถูกไข่ดำทั้งสามพาไปที่สนาม
ไข่ดำน้อยมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เขาดูเหมือนกับพวกเขา บนหัวไม่มีผมสักเส้น!
ใกล้ชิดสนิทสนมยิ่งนัก!
อวี๋หวั่นเดินมาพร้อมกับกล่องอาหาร เรียกพี่ใหญ่ด้วยรอยยิ้ม เมื่อนึกขึ้นได้อวี๋หวั่นจึงถามว่า “ยามอยู่ที่ชิงเหอ ท่านอาศัยอยู่ข้างข้า ไม่ใช่เรื่องบังเอิญกระมัง? ท่านรู้จักข้านานแล้วใช่หรือไม่? จงใจอยู่ห้องข้างๆ ข้า? แล้วก็ตอนที่ถูกขังคุก ท่านจงใจก่อความผิดเพื่อถูกขังอยู่กับข้ากระมัง?”
เห้อเหลียนเซิงยอมรับโดยปริยาย
“แปลกจริง ท่านจำข้าได้อย่างไร?”
“จำเจ้าไม่ได้”
“หือ?”
เห้อเหลียนเซิงชี้ไปที่เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งยืนอยู่ตรงทางเดิน และกำลังเงยหน้าขึ้นมองจันทร์กระจ่าง “ข้าจำเขาได้”
“เหตุใดท่านถึงจำเขาได้?”
“ข้าเคยพบราชบุตรเขย”
สิ่งนี้ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนที่เห้อเหลียนเซิงถูกฮองเฮาตามฆ่าจนต้องออกจากจวนเห้อเหลียน หลังจากเห้อเหลียนเซิงถูกไล่ออกจากจวน เขาก็ไม่ได้ออกจากเมืองหลวง ทว่ากลับมุ่งมั่นหาโอกาสต่อสู้กับฮองเฮา
ประจวบเหมาะ เขาได้ยินการสนทนาระหว่างตี้จีองค์เล็กกับลูกน้อง เดิมทีของศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้รับนางเป็นนาย และทุกอย่างเป็นกลลวงที่บรรดาปรมาจารย์พิษสร้างขึ้นเพื่อตบตา
เขาจึงมีความคิดที่จะขโมยของศักดิ์สิทธิ์ออกมา และเปิดโปงให้โลกรู้ถึงการหลอกลวงของตี้จีองค์เล็ก
เขาแทรกซึมเข้าไปในจวนตี้จี และพบกับราชบุตรเขยที่ฟื้นคืนความทรงจำ
ราชบุตรเขยวาดภาพภาพหนึ่ง ปากของเขาพึมพำชื่อฉงเอ๋อร์ เขาเคยเป็นเพื่อนร่วมเรียนกับหนานกงหลี จึงรู้ว่าฉงเอ๋อร์เป็นชื่อเล่นของหนานกงหลี ทว่าคนในภาพนั้นกลับเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่หนานกงหลี
แน่นอนว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรในตอนนั้น เขามาเพื่อขโมยของศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่เขาทำสำเร็จก็จะจากไป
ต่อมาเขาถูกตามล่าโดยหนานกงเยี่ยน โชคดีที่หนานกงเยี่ยนไม่รู้ว่าเขาเป็นคนขโมยของศักดิ์สิทธิ์ไป ไม่เช่นนั้นจวนเห้อเหลียนทั้งหมดคงพบกับหายนะและความโชคร้าย
เขาตระหนักว่าตนเองได้ก่อปัญหาใหญ่โตแบบใด จึงไม่กล้าที่จะเก็บของศักดิ์สิทธิ์ไว้ในมือ เขาพยายามทำลายของศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่สามารถเปิดลูกเหล็กได้ เมื่อหมดหนทางเขาก็ทำได้เพียงต้องขายมัน
เขาไม่ได้บอกว่ามันเป็นของศักดิ์สิทธิ์ บอกเพียงว่ามันคือราชันสัตว์พิษ แต่กลิ่นอายของศักดิ์สิทธิ์นั้นแตกต่างจากราชันสัตว์พิษ หลังจากนั้นข่าวก็ยังคงรั่วไหลออกไป แต่นั่นไม่ใช่ธุระของเขาอีกต่อไปแล้ว
ของศักดิ์สิทธิ์ถูกขโมยโดยอิทธิพลมืดมาหลายครั้งและสุดท้ายก็มาตกอยู่ในต้าโจว เรื่องหลังจากนั้นอวี๋หวั่นรู้ดีทุกอย่าง
อวี๋หวั่นไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
เพราะเห้อเหลียนเซิง เธอถึงได้กู่กู่น้อยตัวนี้มา
เห้อเหลียนเซิงประหลาดใจเสียยิ่งกว่าอวี๋หวั่น เพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าสิ่งนี้จะมาตกอยู่ในมือลูกพี่ลูกน้องของเขา
ต้องกล่าวว่าสวรรค์ไม่มีตา ทว่าเทพเจ้ามีตาที่สุด
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเห้อเหลียนเซิงได้ยินข่าวมาไม่น้อย หนึ่งในนั้นมีเรื่องของเยี่ยนจิ่วเฉา ครั้งแรกที่เขาเห็นภาพวาดของซื่อจื่อแห่งเมืองเยี่ยน ก็พบว่าเขาคือฉงเอ๋อร์ที่ราชบุตรเขยเอ่ยเรียก เขาจึงเกิดความสงสัยในตัวตนของราชบุตรเขย
เรื่องใดที่สามารถโค่นฮองเฮาและตี้จีองค์เล็ก เขาจะทุ่มเททำสุดกำลัง เขาได้สืบข่าวมากมายเกี่ยวกับเยี่ยนจิ่วเฉา แต่เขามารู้ว่าอวี๋หวั่นเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ก็หลังจากจวนเห้อเหลียนรับอวี๋หวั่นเข้ามา
ความสัมพันธ์ทางสายเลือดเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์
ที่เมืองชิงเหอ เดิมทีเขาตั้งใจจะสะกดรอยตามเยี่ยนจิ่วเฉาเท่านั้น แต่เขาบังเอิญเห็นอวี๋หวั่น พบอวี๋หวั่นในแวบแรก เขาก็รู้สึกอยากจะปกป้องเธอขึ้นมา
“เจ้า…มีความสุขมากเลยหรือ?” เห้อเหลียนเซิงถามด้วยความประหลาดใจ
อวี๋หวั่นพยักหน้าราวกับโขลกกระเทียม “ใช่สิ!”
“เหตุใด?” เห้อเหลียนเซิงถาม
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ท่านป้ากับพี่ใหญ่กลับมาแล้ว ครอบครัวกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ข้าก็ต้องมีความสุขสิ! แต่พี่ใหญ่ คำถามของท่านประหลาดยิ่งนัก เหตุใดท่านถึงคิดว่าพวกท่านกลับมา ข้าจะไม่มีความสุขเล่า?”
เห้อเหลียนเซิงกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าไม่กลัวว่าการกลับมาของข้า จะเป็นภัยต่อตำแหน่งผู้สืบทอดสกุลของพ่อเจ้าหรือ?”
อวี๋หวั่นถึงกับผงะก่อนจะหัวเราะฮ่าๆ ออกมา
โอ๊ย พี่ชายโง่เขลาผู้นี้
“เจ้า…หัวเราะอะไร?” เห้อเหลียนเซิงถามอย่างงงงวย
อวี๋หวั่นยิ้มและกล่าวว่า “สิ่งสำคัญที่สุดของครอบครัวคือการได้อยู่ด้วยกัน ผู้ใดจะเป็นผู้สืบทอดจวนเห้อเหลียนเกี่ยวกันอย่างไร?”
บิดาของเธอเป็นท่านโหวแห่งต้าโจว ที่บ้านมีเหมือง กี่ชั่วอายุคนก็กินไม่หมด จะเป็นผู้สืบทอดจวนเห้อเหลียนหรือไม่แล้วอย่างไร? อีกอย่าง มารดาของเธอเป็นตี้จีแห่งหนานจ้าว บิดาของเธอจะเป็นราชบุตรเขย ทั้งหนานจ้าวยังไม่ยิ่งใหญ่พอสำหรับบิดาเธออีกหรือ? ผู้ใดยังอยากไปแย่งจวนเห้อเหลียนกัน?
เห้อเหลียนเซิงทอดถอนใจ “ข้าได้ยินเรื่องท่านปู่รอง หากท่านปู่รองเหมือนกับท่านอา ครอบครัวของเราก็คงไม่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติมากมายเช่นนั้น”
“ท่านพ่อของข้ายามแรกเป็นเป็ดที่ถูกไล่ขึ้นคอน ในเมื่อท่านกลับมาแล้ว…”
เห้อเหลียนเซิงส่ายหน้า “ข้าได้หลบหนีเข้าสู่ประตูอันว่างเปล่าแล้ว บัดนี้ข้าไม่มีทางสู้กับท่านอา อนาคตข้าก็จะไม่อยู่”
นี่คือความจริงยิ่ง เห้อเหลียนเซิงเป็นภิกษุปลีกวิเวกมาหลายปี พบว่าชีวิตแบบนั้นสงบสุขและร่มเย็นที่สุด
“หนีเข้าสู่ประตูที่ว่างเปล่า…” อวี๋หวั่นแตะคางของเธอ “ก่อนจะกล่าวเช่นนี้ควรถามผู้ใดก่อนหรือไม่?”
“หือ?” เห้อเหลียนเซิงผงะกับคำถามของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นชี้ไปที่กำแพง
เห้อเหลียนเซิงหันไปมอง ก็เห็นตงเซี่ยนเอ๋อร์ในชุดสีม่วงยืนอยู่บนกำแพงและกำลังมองมาที่เขาอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ขนตาของเห้อเหลียนเซิงสั่นระริก เขายกมือขึ้นข้างหนึ่ง “สีกาผู้นี้…”
ต่งเซียนเอ๋อร์ขนฟูด้วยความโกรธเกรี้ยว “ยามนี้รู้จักเรียกสีกาแล้ว! ยามนอนไยไม่เรียก?”
อวี๋หวั่นอ้าปากหายใจเฮือกด้วยความตกตะลึง
รู้ว่าสองคนนี้มีความหลัง แต่ไม่รู้ว่าเป็นความหลังที่ร้อนแรงเช่นนี้
พี่ใหญ่นะพี่ใหญ่ ดีร้ายอย่างไรท่านก็เป็นคนออกเรือนแล้ว อย่าทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องเสียหายเช่นนี้ได้หรือไม่?
“อมิตาภพุทธ” เห้อเหลียนเซิงโค้งกาย “ข้าได้อธิบายกับสีกาแล้วว่าข้อเท็จจริงในวันนั้นเป็นความเข้าใจผิด เรื่องน้องสาววันนี้ อาตมาขอบคุณสีกาที่ยื่นมือช่วยเหลือ แล้วพบกันวันหน้า”
ต่งเซียนเอ๋อร์กระทืบเท้า “ภิกษุ! หยุดนะ!”
………………………