หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 366 ทายาทสตรีศักดิ์สิทธิ์
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าบนโลกนี้จะมีผู้ที่กระแทกจนพื้นทะลุเป็นหลุมได้ เขาต้องตกลงมาจากที่สูงแคไหนจึงจะมีแรงมากเช่นนี้?
อวี๋หวั่นถูกตาข่ายซิวหลัวคลุมไว้ เธอรู้ดีว่าตนตกลงไปในหลุมอย่างแน่นนอน
แต่นี่ดูไม่ยักคล้ายกับเป็นเพียงหลุมเท่านั้น อวี๋หวั่นรู้สึกว่าตนไถลลงไปในโพรงขนาดใหญ่ คดเคี้ยวและไร้ที่สิ้นสุด แสงสว่างเหนือศีรษะหายไปแล้ว เธอค่อยๆ จมดิ่งลงสู่เบื้องล่าง
โชคดีที่เจ้าเบาะรองนั่งมนุษย์นี้รองไว้ เธอจึงไม่นับว่ารู้สึกเจ็บ
ไม่รู้ว่าไถลลงไปในหลุมนานเท่าใด บั้นท้ายของอวี๋หวั่นลื่นลงไปจนแทบด้านชา ในที่สุดก็ไถลออกมาจากปากโพรงนั้น กระเด้งกระดอนไปยังพื้นที่ปูด้วยหญ้าจนฝุ่นตลบอบอวล
อวี๋หวั่นไอโขลกเพราะเศษหญ้าและฝุ่น
เธอสะบัดแขนเสื้อ ยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูก และลุกขึ้นมาจากเบาะรองนั่งเนื้อมนุษย์ของเธอ
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรืออย่างไร แต่เธอรู้สึกว่าขณะที่เธอกำลังไถลลงมานั้น เบาะรองนั่งเนื้อมนุษย์ของเธอก็ยวบยาบอยู่บ้าง
เอ…เธอ…เธอไม่ได้หนักขนาดนั้นสักหน่อย…
“เป็นอย่างไรบ้าง?” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม
อีกฝ่ายไม่ตอบ
อวี๋หวั่นจึงหยิบไข่มุกออกมาจากกระเป๋าเงิน
นี่เป็นไข่มุกราตรีที่สามารถส่องแสงได้ แสงของไข่มุกไม่นับว่าสว่างมากนัก แต่ก็พอจะสามารถส่องให้เห็นสถานที่แห่งนี้ได้ นี่คือห้องใต้ดินร้างหรือ? ผนังห้องว่างเปล่า เศษหญ้าขึ้นรากระจัดกระจายเต็มพื้น กระดูกสัตว์กองอยู่ในมุมหนึ่งของห้อง
ด้วยแสงสลัวจากไข่มุกราตรี อวี๋หวั่นมองแทบไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของอีกฝ่าย แต่ตกจากที่สูงถึงเพียงนั้น ทั้งกระเด้งกระดอน กระแทกกับพื้นไม่รู้กี่ครั้งจนใบหน้าของอีกฝ่ายบวมเป็นหัวหมู
อวี๋หวั่นรีบใช้ปลายนิ้วสัมผัสที่คอของเขา และพบว่าชีพจรของเขาไม่เต้นแล้ว
เอ๊ะ…
คงไม่ได้โดนเธอนั่งทับจนสิ้นใจตายหรอกใช่ไหม?
อวี๋หวั่นยื่นมือออกมาลูบหน้าท้องของเธอซึ่งนูนขึ้นมาเล็กน้อย
เธอคิดว่าเขาไม่ได้ถูกน้ำหนักของเธอทับจนตายหรอก แต่เป็นน้ำหนักของลูกมากกว่า จะมีใครเชื่อไหมนะ?
ครืด ครืด
มีเสียงฝีเท้าประหลาดดังมาจากด้านข้างกำแพง อวี๋หวั่นสงสัยเหลือเกินว่ารองเท้าแตะไม้คู่นั้นคงจะไม่พอดีเท้า มิเช่นนั้นคงจะไม่ส่งเสียงแปลกประหลาดเช่นนี้
เสียงนั้นใกล้เข้ามา กำแพงซึ่งดูมิดชิดจนอากาศไม่อาจเล็ดลอดเข้ามาก็ถูกผลักจากอีกด้านหนึ่ง แสงไฟสว่างค่อยๆ โผล่เข้ามา
อวี๋หวั่นยกมือขึ้นเพื่อบังแสงเจิดจ้าจนแสบตา
จากนั้นอวี๋หวั่นก็ได้ยินเสียงซึ่งฟังดูอ่อนเยาว์เหลือเกิน “โอ้โห! มาเร็ว! มีหนึ่งคน! เป็นสตรี!”
ฟังจากน้ำเสียง คล้ายกับรู้ว่ามีบางอย่างหล่นลงมา แต่กลับไม่คิดว่าจะเป็นมนุษย์
“แล้วก็มีอีกคน!”
หมายถึงเบาะรองนั่งเนื้อมนุษย์ของเธอ
อวี๋หวั่นปรับสายตาและมองออกไป เป็นเด็กซึ่งสวมเสื้อผ้าทำจากหนังสัตว์ หัวหน้าของพวกเขาน่าจะอายุประมาณเก้าขวบ เขาสวมรองเท้าซึ่งแลดูคล้ายกับรองเท้าแตะไม้และขนาดใหญ่กว่าตัวเขา เสียงร้องตะโกนเมื่อครู่ก็เป็นเสียงของเขา
ด้านหลังของเขามีเด็กตัวเล็ก อายุราวหกเจ็ดขวบ ใบหน้าเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ดวงตากลมโตเบิกกว้างจับจ้องมายังอวี๋หวั่น
เมื่อเทียบกับเบาะรองนั่งเนื้อมนุษย์ซึ่งนอนกองอยู่บนพื้น พวกเขาสนใจมนุษย์ตัวเป็นๆ มากกว่า
เด็กอายุเก้าขวบตั้งสติได้ จึงหันไปถลึงตาใส่เพื่อนซึ่งยืนจ้องอวี๋หวั่นด้วยความงุนงง พร้อมกับตวาดว่า “ยืนอึ้งอะไรกัน? รีบไปบอกท่านยายสิ!”
หากเป็นคนอื่นคงจะตกใจอยู่นาน แต่อวี๋หวั่นกลับยอมรับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรเสียท่านแม่ของเธอก็เป็นยายแล้วทั้งที่ยังดูอ่อนเยาว์อยู่
“ท่านยาย! พวกเขาอยู่นี่! พวกเขาตกลงมาในกับดัก!” เด็กอายุเก้าขวบคนนั้นพูดพลางชี้ไปยังอวี๋หวั่น จากนั้นก็ชี้ไปยังบุรุษซึ่งน่าจะสิ้นลมไปนานแล้ว “คนนั้นน่าจะตายแล้ว ข้าไม่ได้ยินเขาพูดเลย! เมื่อกี้เขานอนอยู่ตรงนี้ ตอนนี้ก็ยังนอนที่เดิม!”
สตรีซึ่งถูกเรียกว่าท่านยายเหลือบมองอวี๋หวั่น แล้วเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน เมื่อนางเดินเข้ามา อวี๋หวั่นก็ได้กลิ่นหอมดอกโบตั๋นจากกายของนาง
นางดูงามประหนึ่งเทพเซียน
นางคุกเข่าลงเบื้องหน้า ‘เบาะเนื้อมนุษย์’ ขยับมือเล็กน้อย เข็มเงินเล่มหนึ่งปรากฏที่ปลายนิ้วของนาง แล้วปักลงไปบนจุดหนึ่งบนร่างของเขา
อวี๋หวั่นลอบคิดในใจว่า นั่นไม่ใช่จุดตายหรอกหรือ? จุดตายก็ฝังเข็มได้หรือ?
แต่ในเมื่อตายไปแล้ว จะฝังลงไปสักเข็มสองเข็มก็คงไม่ใช่ปัญหา?
เมื่อนางฝังเข็มเสร็จ ก็ค่อยๆ ลุกขึ้น โยนขวดยาใบเล็กให้อวี๋หวั่น “ให้เขากิน”
นางคิดว่าเธอกับเขาเป็นพวกเดียวกันอย่างนั้นหรือ?
อวี๋หวั่นไม่ได้อธิบาย เธอดึงจุกขวดออก แล้วเทยาในขวดออกมา
ไม่รู้ว่ายาเม็ดเหล่านี้ทำจากสมุนไพรอะไร กลิ่นหอมหวาน ละลายทันทีที่เข้าปาก
ทันทีที่อีกฝ่ายกินยาเข้าไป ก็ไอโขลกออกมาเสียงดัง
อวี๋หวั่นขนลุกซู่!
เธอจับชีพจรไปแล้ว เขาไม่มีชีพจรเลย ทำไมยาแค่เม็ดเดียวถึงทำให้เขาฟื้นขึ้นมาได้
อวี๋หวั่นจับชีพจรและใช้มืออังลมหายใจของเขาอีกครั้ง
เขายังมีชีวิตอยู่
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
คนคนนี้ตายไปแล้ว หรือว่าแม่นางที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้มีวิชาฟื้นคืนชีพมนุษย์?
“เจ้าตามข้ามา” นางบอกกับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ แล้ว
จากนั้นแม่นางตรงหน้าก็หันไปสั่งเด็กๆ ว่า “พวกเจ้าแบกบุรุษคนนี้ไปในเรือน”
“ทราบแล้ว ท่านยาย!”
พวกเขาตอบรับอย่างพร้อมเพรียง แล้ววิ่งออกไปหาเสื่อ ดันเขาขึ้นไปบนเสื่อ จากนั้นก็ช่วยกันลากออกไป
จะให้รออยู่ที่นี่ก็ไม่ต่างกับการรอความตาย อวี๋หวั่นจึงตามพวกเขาออกไป
พวกเขาเดินบนเส้นทางอันชื้นแฉะ อวี๋หวั่นมองเห็นแสงสว่างที่ไม่ได้เห็นมาพักใหญ่
เมื่อออกมาจากทางเดิน ก็เห็นเรือนหลังหนึ่ง เรือนหลังนี้เรียบง่ายไม่หรูหรา ทว่าแลดูงามสง่าและสงบเงียบ
สตรีผู้นี้ผลักประตูรั้วไม้ไผ่สานแล้วเดินเข้าไป
เด็กๆ ทั้งหลายลากบุรุษร่างกำยำซึ่งนางช่วยชีวิตเข้าไปด้านในอย่างสุดกำลัง
“ท่านยายๆ ให้วางไว้ที่ไหนหรือ” เด็กอายุเก้าขวบเอ่ยถาม
นางชี้ไปยังสนามหญ้าในลานบ้าน “ไว้ตรงนั้น”
“โอ้” เด็กเก้าขวบสั่งให้เพื่อนๆ ลากเสื่อไปยังสนามหญ้า พวกเขาเหนื่อยจนหอบออกมา แต่ไม่มีผู้ใดปริปากบ่นแม้แต่คนเดียว
“ไปเล่นเถิด” นางบอก
เด็กๆ จึงวิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น
นางเดินไปตามระเบียงทางเดิน และเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง
อวี๋หวั่นชะงักไปชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วจึงเดินตามเข้าไป
บนพื้นห้องมีโต๊ะตัวเล็กอยู่ตัวหนึ่ง รอบโต๊ะทั้งสี่ด้านมีเบาะรองนั่งวางไว้
สตรีผู้นี้นั่งลงบนเบาะรองนั่งตัวหนึ่ง แล้วชงชาหนึ่งกา “นั่งเถิด”
อวี๋หวั่นเดินเข้าไปนั่ง
นางรินชาให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นยกถ้วยชาขึ้นมา แม้ว่านางจะเป็นคนพาอวี๋หวั่นเข้ามา ทว่าระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า อวี๋หวั่นดมกลิ่นของชาเสียก่อน เมื่อพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติจึงยกขึ้นดื่มหนึ่งคำ
ชานี้เป็นชาจากดอกไม้ กลิ่นหอมติดลิ้น
สตรีตรงหน้ายังคงไม่พูดอะไร นางชงชาและดื่มชาต่อไปอย่างเงียบเชียบ
อวี๋หวั่นมองไป เธอไม่มีเวลามานั่งอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ จึงเอ่ยปากขึ้นว่า “ขอถามแม่นางสักหน่อย ที่นี่คือที่ใดหรือ? ทำไมพวกข้าถึงตกลงมาได้”
สตรีผู้นั้นตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่นี่คือที่ไหน ข้ารู้เพียงว่าที่นี่คือหุบเขาแห่งหนึ่ง บนเขามีเส้นทางลับเส้นหนึ่งซึ่งบรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ ด้านบนของเส้นทางลับมีกับดัก เดิมทีใช้สำหรับป้องกันการบุกรุกจากคนนอก ภายหลังไม่ค่อยมีคนเข้ามา จึงเปลี่ยนไปใช้ล่าสัตว์ แต่ไม่กี่ปีมานี้ ก็ล่าสัตว์ไม่ได้มากนัก”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เป็นเช่นนี้นี่เอง ใช่สิ เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกเขาเรียกแม่นางว่าท่านยาย แต่ข้าว่าแม่นางอายุประมาณยี่สิบต้นๆ ก็เท่านั้น”
นางตอบว่า “ข้ามาที่นี่เมื่อสามสิบปีที่แล้ว ตอนมาที่นี่ข้าอายุประมาณเจ้า”
พูดอย่างนี้ก็หมายความว่านางอายุใกล้เคียงกับนางถาน? เช่นนั้นนางก็มีวิชาคงกระพันความอ่อนเยาว์หรือ?
นางมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดว่า “เด็กๆ เหล่านั้นเป็นเด็กกำพร้าที่ข้าเก็บมาเลี้ยง พวกเขาใช่ชีวิตเรียบง่ายอยู่ในหุบเขากับข้า หากเจ้าไม่รังเกียจ จะเรียกข้าว่าท่านยายเหมือนกับพวกเขาก็ได้”
อวี๋หวั่นรีบเปลี่ยนคำพูดอย่างรู้มารยาท “ท่านยายใจกว้างดั่งพระโพธิสัตว์”
นางมิได้ตอบอะไร เมื่อเห็นว่าถ้วยชาของอวี๋หวั่นว่างเปล่า จึงยกชาขึ้นมารินให้
เมื่อนึกเรื่องหนึ่งได้ อวี๋หวั่นก็ถามว่า “ท่านยาย จอมยุทธ์คนเมื่อครู่เขาตายไปแล้วหรือ? ท่านให้เขากินยาอะไร เหตุใดเขาจึงฟื้นขึ้นมาได้?”
สตรีผู้นี้ตอบว่า “ตายไปแล้ว แต่ข้าช่วยเขา ยานั้นเป็นเพียงยาบำรุงธรรมดาก็เท่านั้น หากเจ้าต้องการ ข้าจะนำมาให้เจ้ากิน”
ยาที่ทำให้ฟื้นคืนชีพ ทำไมพูดเหมือนเป็นผักกาดขาวที่หาได้ตามท้องตลาด?
ทันใดนั้นอวี๋หวั่นก็นึกเรื่องหนึ่งออก
เพื่อนของเจ้าสำนักจี้ท่องยุทธภพมาหลายปี เขาเข้ามาในเผ่าปีศาจโดยไม่ได้ตั้งใจ เข้าไปในป่าไข้จับสั่น และถูกงูพิษกัดโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาหมดลมไปแล้ว แต่กลับถูกสตรีคนหนึ่งช่วยเอาไว้
ที่นี่คือเผ่าปีศาจ และสถานที่เกิดเหตุเมื่อครู่ก็คือป่าไข้จับสั่น หรือว่า…ท่านยายตรงหน้าเธอคนนี้ ก็คือหมอเทวดาแห่งแดนปีศาจที่ช่วยชีวิตเพื่อนของเจ้าสำนักจี้เอาไว้?
หรือว่านางคือทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์
………………..