หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 367 อาโต้วผู้โหดเหี้ยม
อวี๋หวั่นไม่ชอบมีลับลมคมใน เมื่อมีความสงสัยอยู่ในใจ ย่อมต้องถามออกมา “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านยายเป็นคนที่ไหน?”
สตรีผู้นี้ไม่ได้ถามอวี๋หวั่นว่า ‘ทำไมเจ้าถึงอยากรู้เรื่องนี้’ เพียงแต่ส่ายหน้า แล้วตอบว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข้าเป็นใคร ข้าติดตามอาจารย์อยู่ในยุทธภพตั้งแต่ยังจำความได้ ภายหลังอาจารย์ล่วงลับ ข้าจึงมาที่นี่ ข้าคิดว่าทัศนียภาพงดงาม จึงปักหลักที่นี่”
อวี๋หวั่นพยักหน้าด้วยความเข้าอกเข้าใจ “ฟังจากที่ท่านยายกล่าว คล้ายกับว่าท่านยายไม่ใช่คนแรกที่มาอยู่ที่นี่”
มือเรียวซึ่งกำลังรินน้ำชาหยุดชะงักไป “ใช่ มีคนอยู่ที่นี่ก่อนหน้าข้า แต่ภายหลังพวกเขาก็จากไป เหลือข้าเพียงคนเดียว และข้าก็เก็บเด็กๆ เหล่านี้มาเลี้ยง”
“กล่าวอย่างไม่ปิดบัง ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งเคยพบกับหมอเทวดาที่นี่” อันที่จริงเขาเป็นเพื่อนกับเจ้าสำนักจี้ แต่ที่อวี๋หวั่นพูดเช่นนี้ก็เพื่อที่จะเข้าประเด็นหลักได้เร็วขึ้น “เขาถูกงูพิษกัด สิ้นใจไปแล้ว เป็นหมอเทวดาท่านนี้ที่ช่วยเขาไว้ ไม่รู้ว่า…เป็นท่านยายหรือเปล่า”
นางส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นข้าใช่หรือไม่ หลายปีมานี้ข้าเข้าป่าไปเก็บตัวยาสมุนไพร ได้พบกับคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์อย่างที่เจ้าว่าเป็นครั้งคราว คนที่ข้าช่วยได้ข้าก็ช่วย”
ช่างเป็นคนที่มีจิตใจอันประเสริฐ แม้แต่บุญคุณก็ไม่ได้จำใส่ใจ อวี๋หวั่นมองออกว่านางไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องในอดีต จึงไม่ถามซักไซ้อีก แต่พูดไปตามตรงว่า “ยาวิเศษของท่านยายใช้ได้ผลกับใครก็ได้หรือ?”
“ไม่ใช่ ใช้ได้ผลกับคนที่ตายปลอมเท่านั้น” นางตอบ
“ตายปลอม?” อวี๋หวั่นมีสีหน้าฉงนใจ
นางตอบว่า “อืม ไม่มีชีพจร แต่วิญญาณยังไม่แหลกสลาย”
อวี๋หวั่นลูบคาง ในวิชาแพทย์เรียกว่าหัวใจหยุดเต้น?
นางมองไปยังอวี๋หวั่น “เจ้าสนใจเรื่องนี้ เป็นเพราะเจ้าต้องการรักษาใครหรือ?”
อวี๋หวั่นไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ “กล่าวอย่างไม่ปิดบังท่านยาย สามีของข้าถูกยาพิษ ต้องการตัวยาหายากมาถอนพิษ ตอนนี้ข้าหาพบแล้วสองชนิด ตอนนี้เหลือเพียงเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์กับน้ำตาพ่อมดที่ยังหาไม่พบ”
“เลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์?” นัยน์ตาของนางสั่นไหวไปชั่วขณะ นางมองไปยังอวี๋หวั่นด้วยสายตาประหลาด “เจ้ากำลังตามหาเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์?”
นัยน์ตาของนางไม่อาจเก็บซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้ สตรีศักดิ์สิทธิ์หายตัวไปนานแล้ว ทุกคนที่รู้ว่าอวี๋หวั่นกำลังตามหาเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์ล้วนแต่เผยสีหน้าแบบเดียวกัน อวี๋หวั่นไม่ได้คิดมาก เธอพยักหน้าแล้วบอกว่า “ใช่ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินเรื่องของหมอเทวดาในแดนปีศาจ จึงสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจจะเป็นทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์”
สตรีผู้นี้พึมพำว่า “เลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์…ไฉนข้าจึงนึกไม่ถึง?”
“ท่านยายนึกไม่ถึงเรื่องอะไรหรือ” อวี๋หวั่นถามด้วยความสงสัย
นางส่ายหน้า “มิน่าเล่าเจ้าถึงถามที่มาที่ไปของเข้า แท้จริงแล้วก็คิดว่าข้าเป็นทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์”
“ท่านยายเป็นทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?” อวี๋หวั่นถาม
นางยังคงนิ่งเงียบ
อวี๋หวั่นคิดว่านางจะตอบว่าไม่รู้ดังที่ผ่านมา แต่นางเอ่ยปากตอบว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไร?”
ครานี้เป็นอวี๋หวั่นที่ไม่รู้ “ก่อนหน้านี้ข้าพบบันทึกของสตรีศักดิ์สิทธิ์และพ่อมด น่าเสียดายที่ข้ายังไม่ได้อ่าน ท่านยายรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”
สัญชาตญาณบอกอวี๋หวั่นว่าผู้หญิงคนนี้เคยได้ยินเรื่องของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ไม่เช่นนั้นคงไม่ถามคำถามนี้กับเธอ
ขณะที่อวี๋หวั่นคิดว่านางกำลังจะเอ่ยปากกล่าวอะไรสักอย่าง เด็กอายุเก้าขวบก็วิ่งเข้ามาในห้องพร้อมกับผลไม้กอบใหญ่ในอ้อมแขน “ท่านยาย! ท่านยาย! กินผลไม้เถิด! พวกข้าเพิ่งไปเก็บมา!”
นางพยักหน้า “ไปเก็บผลไม้อีกแล้วหรือ? ข้าไม่ได้บอกพวกเจ้าแล้วหรือว่าอย่าไปที่ไกลๆ?”
เด็กคนนั้นตอบว่า “ท่านยายวางใจเถิด ข้าไม่ได้ข้ามแม่น้ำไป! ไม่ตกน้ำง่ายๆ!”
เด็กคนนั้นยังพูดคุยกับนางอีกหลายเรื่อง จนอวี๋หวั่นเริ่มรู้สึกง่วง เธออดหาวออกมาไม่ได้ ตั้งแต่ที่ตั้งครรภ์ กลางคืนนอนนานกว่าปกติ กลางวันยังต้องเพิ่มอีกหนึ่งถึงสองชั่วยาม
“ท่านยายดูสิ นางหลับไปแล้ว!” เด็กคนนั้นชี้ไปยังอวี๋หวั่นซึ่งฟุบลงกับโต๊ะ
นางมิได้มีสีหน้าตกใจแต่อย่างใด แล้วพยักหน้ากับเด็กๆ “เก็บห้องให้เรียบร้อย”
“ทราบ!” เด็กเก้าขวบเดินออกไป
นางพาอวี๋หวั่นเข้าไปพักผ่อนในห้อง
อวี๋หวั่นนอนอยู่บนเตียงนุ่ม
ตั้งท้องจะง่วงนอนง่าย เรื่องนี้เธอรู้ดี เพียงแต่ครั้งนี้เธอหลับลึกกว่าปกติ กว่าเธอจะตื่นนอนก็ย่างเข้าช่วงบ่าย อากาศร้อนอบอ้าว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลนี้หรือไม่ เธอรู้สึกมึนหัวเหลือเกิน
อวี๋หวั่นพยายามยกมือขึ้นมา แต่กลับพบว่าแขนของตนไร้เรี่ยวแรง
เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความมึนงง เงาอันพร่ามัวปรากฏต่อหน้าเธอ
เป็นท่ายยายที่มีวิชาแพทย์สูงส่งผู้นี้
นางกำลังจะทำอะไร
อวี๋หวั่นพยายามเพ่งให้ชัด แต่ทำอย่างไรก็ไม่อาจลืมตาได้อย่างเต็มที่
นางยืนอยู่ข้างโต๊ะ กำลังจัดเรียงขวดและโหลจำนวนมาก เด็กๆ ที่นางรับมาเลี้ยงยืนอยู่ด้านข้างด้วยความสงสัย ที่กล่าวว่าพวกเขายืนดูอยู่ด้วยความสงสัยนั้น อวี๋หวั่นเป็นคนคิดเอง สีหน้าของพวกเขาเป็นอย่างไรนั้น ลำพังสายตาอันพร่าเลือนของอวี๋หวั่นในตอนนี้ ย่อมไม่อาจรู้ได้
แต่คำพูดต่อมาก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าการคาดเดาของอวี๋หวั่นนั้นมิได้คลาดเคลื่อน
“ท่านยาย ท่านต้องการหญ้ากระตุ้นโลหิตมากเช่นนี้ไปทำอะไรหรือ?”
ผู้ที่ถามคือเด็กอายุเก้าขวบคนนั้น เขาฉลาดหลักแหลม รู้ความมากที่สุด
นางตอบว่า “เพราะจะใช้ใส่เลือดปริมาณมาก ห้ามปล่อยให้เลือดหยุด”
“เลือดของนางหรือ? ทำไมหรือ?” เด็กเก้าขวบถามด้วยความงุนงง
อวี๋หวั่นรู้สึกสับสนไปชั่วขณะ ‘นาง’ ที่เด็กคนนั้นพูดถึงก็คือเธอ? นางเป็นโรคร้ายอะไร ถึงต้องใช้วิธีโหดเหี้ยมขนาดนี้?
ความคิดแรกของอวี๋หวั่นคือแม่นางคนนี้ต้องการทำร้ายเธอ จนนางเดินถือขวดหยกเข้ามาพลางตอบคำถามของเด็กเก้าขวบว่า “นางมีเลือดพลังหยินบริสุทธิ์ หากใช้เลือดของนางทำยา จะทำให้สรรพคุณของยาดีขึ้น พวกเจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น วรยุทธ์ก็จะแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน”
ทันทีที่นางพูดจบ อวี๋หวั่นก็รู้สึกคล้ายกับมองเห็นแสงแห่งความหิวกระหายปรากฏขึ้นในดวงตาของเด็กๆ ที่ไร้เดียงสาเหล่านี้
ความหนาวเหน็บถาโถมขึ้นในใจของอวี๋หวั่น
เลือดพลังหยินบริสุทธิ์ เช่นนั้นก็หมายความว่าเธอหนีไปไหนไม่ได้แล้ว
รู้หน้าไม่รู้ใจจริงๆ ผู้หญิงคนนี้แลดูจิตใจดีราวกับพระโพธิสัตว์ ที่แท้ก็มีแผนร้ายอยู่ในใจ!
ที่นางพาอวี๋หวั่นและ ‘เบาะรองนั่งเนื้อมนุษย์’ กลับมายังเรือน เห็นทีจะไม่ได้เพราะคิดจะช่วยชีวิต ฟังจากน้ำเสียงของนางแล้ว ไม่ยักเหมือนกับคนที่เพิ่งนำเลือดคนเป็นๆ มาทำยา ที่จับพวกเขามาอย่างนี้ ก็เพื่อนำมาทดลองยาสินะ?
สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนคนนั้นของเจ้าสำนักจี้ นางใจดีปล่อยเขาไป หรือว่าสตรีที่เขาพบไม่ใช่นาง?
“พวกเจ้าไปห้องครัว ต้มน้ำในหม้อให้เดือด” นางสั่ง
เด็กๆ เดินออกไปอย่างว่าง่าย
อวี๋หวั่นไม่มีเวลามานั่งคิด เพราะแม่นางคนนี้เดินถือมีดเข้ามาหาเธอแล้ว
ห้องห้องนี้มีเตียงอยู่ด้านหลังประตูพอดี เธออยู่ใกล้กับประตูมากกว่าอยู่ใกล้นาง แต่สิ่งที่แย่ก็คือไม่รู้ว่านางทำอะไรกับเธอ เธอจึงไม่มีแรง คิดจะหนีก็หนีไม่ได้ แม้แต่แขนก็ไม่มีแรงจะยกขึ้น
เธอเป็นเหมือนปลาเค็มที่นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น
อวี๋หวั่นลูบท้อง
เธอยังไม่อยากตาย
แต่ว่าตอนนี้ยังมีทางรอดอยู่อีกหรือ?
สตรีผู้นี้รู้แล้วว่าอวี๋หวั่นตื่นแล้ว แต่นางมิได้ยี่หระ นางวางยาอวี๋หวั่นแล้ว ย่อมต้องรีดเลือดอวี๋หวั่นจนหมดตัว ไม่ให้มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย
นางดึงมีดออกมาจากฝัก ความเย็นเยียบพาดผ่านดวงตาของนาง นางเดินเข้าไปโดยปราศจากความลังเล ราวกับนี่ไม่ใช่การกรีดเลือดคน แต่เป็นการกรีดเลือดสัตว์เล็กตัวหนึ่ง
อวี๋หวั่นหลับตาลง
จบกัน เธอต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่จริงๆ สินะ
นางเงื้อมีดขึ้นมา
ทันใดนั้นเอง เงาสูงใหญ่สายหนึ่งก็ผลักประตู และปราดเข้ามาอย่างรวดเร็ว!
สตรีผู้นี้ยืนอยู่ด้านหลังประตู นางไม่คาดคิดว่าจะมีผู้ใดบุกเข้ามาอย่างอุกอาจเช่นนี้ จึงถูกประตูเหวี่ยงฟาดจนติดกำแพง!
ผู้ที่มาถึงไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นยอดฝีมือที่กลายเป็นเบาะรองนั่งหนังมนุษย์ให้อวี๋หวั่นนั่นเอง
เขาก็ถูกวางยาเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่พลังภายในของเขาแข็งแกร่ง ฤทธิ์ของยาจึงสลายไปอย่างรวดเร็ว เขาจึงฟื้นขึ้น เขาไม่ได้ถีบประตู เขาเพียงแต่ผลักเบาๆ ไหนเลยจะรู้ว่าพลังของเขาทำให้ประตูแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
“เมื่อครู่เหมือนกระแทกอะไรสักอย่าง?” อาโต้วเกาศีรษะ ขณะที่กำลังจะเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นด้านหลังประตู สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นอวี๋หวั่นซึ่งนอนอยู่บนเตียง
เขาตื่นตะลึงในทันใด “ฮูหยิน?!”
ตอนที่อาโต้วยังเป็นเด็กหนุ่ม เขาเคยเห็นนางเจียง เขาจำนางเจียงได้ สตรีผู้นี้เหมือนกับฮูหยินในความทรงจำของเขาไม่มีผิดเพี้ยน!
อวี๋หวั่นตื่นตะลึง รู้จักเธอด้วย? เป็นคนรู้จักกัน?
ทูตแห่งความมืด?
หรือทูตแห่งแสงสว่าง?
เธอไม่สนอีกต่อไป อย่างน้อยทูตแห่งความมืดก็ไม่มีทางทำร้ายเธอ แต่ถ้าอยู่ที่นี่ต่อไปคงถูกผู้หญิงคนนั้นเอาชีวิต
ไปอย่างแน่นอน
อวี๋หวั่นพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ใช่ๆๆ …ข้าคือฮูหยินของพวกเจ้า…มาช่วยข้าไปจากที่นี่เร็ว”
“ไอ้หยาาา! ในที่สุดข้าก็ตามหาท่านพบแล้ว! เดินย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกแต่กลับไม่พบ คราวจะพบก็พบอย่างง่ายดาย!” อาโต้วตื่นเต้นจนหยิบยกสำบัดสำนวนที่เรียนมาทั้งชีวิตมาใช้ อย่างไรเสียเขาก็เคยเรียนมา
อาโต้วจะเข้าไปพยุงอวี๋หวั่น
“ข้าไม่มีแรง” อวี๋หวั่นบอก
อาโต้วครุ่นคิด “โอ้ ฮูหยินรอสักครู่!”
เขาพุ่งออกไปอย่างว่องไว
ในตอนนั้นเอง แม่นางซึ่งถูกประตูเหวี่ยงใส่จนติดกำแพงก็ค่อยๆ ฟื้นจากอาการมึนงง นางค่อยๆ ดึงตนเองออกจากกำแพง เงื้อมีดขึ้นมา จับด้ามมีดแน่น และหันปลายมีดไปยังอวี๋หวั่น
“ข้ามาแล้ว!”
ปัง!
ประตูห้องถูกอาโต้วผลักออกอีกครั้ง!
นางถูกประตูกระแทกจนติดกำแพงอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มีดไม่ได้หล่นลงกับพื้น แต่มันปักเข้าที่หน้าอกของนางแทน
นางมองมีดที่ปักหน้าอกอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง “…”
อาโต้วมีสีหน้าแปลกใจ “เอ๋? ข้าเหมือนจะเปิดประตูไปชนเข้ากับอะไรจริงๆ นะ”
เขาวางเก้าอี้ที่สะพายอยู่ด้านหลังลง แล้วดึงประตูออกมา “เฮ้ย!!!”
ด้านหลังประตูมีแม่นางคนหนึ่งรึ?!
อาโต้วรีบดึงนางออกมา และพบว่านางถูกมีดปักกลางหน้าอก เขามั่นใจว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ และฮูหยินผู้อ่อนแอก็ไม่ได้เป็นคนทำเช่นกัน ใครทำเขาไม่รู้ ตอนนี้การช่วยคนสำคัญที่สุด
เขาดึงมีดออกมาจากหน้าอกของนาง
เลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด!
อาโต้วมองไปยังเลือดที่ไหล ‘พลั่กๆๆ’ ออกมา ดวงตาของเขาเบิกโพลง “แย่แล้ว ข้าลืมว่าต้องใช้ยาห้ามเลือด เจ้ารอก่อน”
นางดึงอาโต้วไว้ ร่างของนางสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด “หะ…หาอะไรมา…ห้ามเลือดก่อน…เลือดไหลไม่หยุดข้าจะตาย…”
อาโต้วปักมีดกลับลงที่เดิม
ทีนี้ก็ห้ามเลือดได้แล้วสินะ!
อาโต้วนี่ฉลาดหลักแหลมเสียจริง!!!
สตรีผู้นั้น “…”
นางหมดสติไป!
เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็พบว่าอาโต้วดึงมีดออกมาแล้ว นางยังคงเลือดไหลไม่หยุด
อาโต้วกล่าวว่า “ขออภัย ข้าไม่ได้จะทำให้เจ้าตื่น ว่าแต่ยาห้ามเลือดของเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ?”
นางรวบรวมแรงทั้งหมด ยกมือขึ้นชี้ไปฝั่งตรงข้าม “อยู่…อยู่ในตู้”
“อ้อ” อาโต้วปักมีดกลับลงไป
นาง “…”
ในตอนที่อาโต้วหายาห้ามเลือดได้นั้น นางก็นอนหายใจรวยรินเสียแล้ว
เขาถูกชะตาชีวิตบีบบังคับให้เป็นโจรลักม้า ไม่มีผู้ใดรู้ว่าแท้จริงแล้วอาโต้วมีหัวใจอันแสนบริสุทธิ์ เขาอยากเป็นคนดี แต่เพราะเหตุใดเขาจึงไม่มีโอกาสได้เป็นคนดีเลยสักครั้ง?
อวี๋หวั่นปิดตา ไม่กล้าดูต่อ
อาโต้วหาเชือกมามัดด้านหลังเก้าอี้ ให้อวี๋หวั่นนั่งลงบนเก้าอี้ และแบกอวี๋หวั่นออกมานอกเรือน
เมื่อเหล่าเด็กที่ถูกสตรีผู้นั้นเก็บมาเลี้ยงพบว่าเกิดเรื่องขึ้นกับนาง พวกเขาก็มีท่าทางดุดันในทันใด
อวี๋หวั่นไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงหรือเห็นใจเด็กเหล่านี้แม้แต่น้อย เธอยังไม่ลืมเรื่องที่แม่นางคนนั้นบอกว่าเลือดของเธอสามารถทำให้พวกเขามีอายุยืนยาวและเสริมวรยุทธ์ และพวกเขาก็เผยสีหน้าหิวกระหายขึ้นมา
อวี๋หวั่นไม่คิดสังหารพวกเขา แต่ก็ไม่คิดจะพาพวกเขาไปด้วยเช่นกัน
พวกเขาหยิบศรธนูออกมาจุ่มลงไปในยาพิษ จากนั้นก็เล็งมาทางอวี๋หวั่นและอาโต้ว
อาโต้วขยับหลบเพียงเล็กน้อย ภายในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว เข้าก็อันตรธานหายไปพร้อมกับอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นจำสิ่งที่เด็กพวกนั้นพูดได้ แถวนี้มีแม่น้ำสายหนึ่ง สามารถข้ามไปได้
ไม่แน่ว่าที่นั่นอาจเป็นทางเข้าเผ่าปีศาจ
“เจ้าชื่ออะไร?”
“อาโต้ว!” อาโต้วตอบ
อวี๋หวั่นถามว่า “ใกล้ๆ นี้มีแม่น้ำสายหนึ่ง เจ้าได้ยินเสียงน้ำหรือเปล่า?”
อาโต้วใช้สมาธิฟังเสียง จากนั้นก็พยักหน้า “ได้ยิน”
อวี๋หวั่นจึงบอกว่า “ไปริมแม่น้ำ”
อาโต้วตามเสียงน้ำไหลไปเรื่อยๆ ไม่นานก็เดินทางมาถึงริมแม่น้ำ อย่างที่เด็กพวกนั้นพูด แม่น้ำสายนี้ไม่นับว่ากว้าง แต่คนปกติก็ข้ามไปไม่ได้ ทว่าอาโต้วเป็นยอดฝีมือ คิดดูแล้วไม่น่ามีปัญหา
สิ่งที่เลวร้ายก็คือ ขณะที่อาโต้วใช้วิชาตัวเบาข้ามแม่น้ำ และเหยียบลงบนก้อนหินริมฝั่ง อยู่ๆ ยอดเขาก็ถล่มลงมา สายน้ำกระจายขึ้นสูงและรุนแรงราวกับน้ำตก พุ่งเข้าใส่พวกเขาทั้งสอง!
ในช่วงเวลาชั่วพริบตาเดียว เงาสายหนึ่งก็พุ่งเข้ามาคว้าเอวของอวี๋หวั่นและอาโต้วไว้ แล้วดึงพวกเขาออกมา
เก้าอี้ของอวี๋หวั่นแตกกระจายกลางอากาศ อวี๋หวั่นรู้สึกราวกับกำลังลอยเคว้งคว้าง
อวี๋หวั่นหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ เธอจับหน้าท้องเอาไว้ แล้วหล่นลงในอ้อมแขนอุ่น
………………………