หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 376 นางเจียงพิชิตสวรรค์
เยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มอวี๋หวั่นอย่างเอาแต่ใจ แล้วเดินกลับเข้าไปยังตำหนักโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง
หากก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสในเผ่ายังคงมีความเคลือบแคลงใจอยู่สามส่วน หลังจากที่เห็นท่าทางของเขา เห็นทีคงจะเหลือเพียงส่วนเดียว
“ท่านอ๋อง…” ผู้อาวุโสหลีรวบรวมความกล้าเอ่ยปากเรียกเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉารู้ดีว่าผู้เฒ่าคนนี้จะพูดว่าอย่างไร เขาแค่นเสียงขึ้นจมูก แล้วตวัดสายตาอันคมกริบไป “เมื่อครู่หัวข้ากระแทกกับพื้น บางเรื่องข้าก็จำไม่ได้แล้ว แต่ข้าจำเจ้าได้ ผู้อาวุโสหลี วันที่สี่เดือนสาม เจ้าต้องไปพบเพื่อนเก่ากระมัง”
ผู้อาวุโสหลีคุกเข่าลงทันใด!
เขามีอนุภรรยาอยู่คนหนึ่ง อนุภรรยาให้กำเนิดบุตรชาย วันที่สี่เดือนสามเป็นวันเกิดของบุตรชายคนนี้ ทุกๆ ปี เขาจะหาวิธีจัดการงานทุกอย่าง เพื่อใช้เวลาไปอยู่กับบุตรชาย
เรื่องนี้เขาไม่เคยบอกใคร ทว่าบังเอิญไปพบกับท่านอ๋องครั้งหนึ่ง ท่านอ๋องจึงเป็นเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องนี้
ด้วยนิสัยของท่านอ๋อง ย่อมไม่มานั่งสืบสาวราวเรื่องให้ยุ่งยาก และไม่มีทางนำไปพูดต่อ
ความลับนี้มีเพียงท่านอ๋องที่รู้!
ความเคลือบแคลงใจของผู้อาวุโสหลีอันตรธานไปสิ้น
ผู้อาวุโสยกมือขึ้นคำนับ แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “ส่งเสด็จท่านอ๋อง”
ตราบจนเยี่ยนจิ่วเฉาอุ้มอวี๋หวั่นเดินไปพ้นระยะสายตา ผู้อาวุโสหลีจึงให้คนพยุงขึ้นมา
เสื้อผ้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ในสายตาของคนอื่น พวกเขาคิดว่าผู้อาวุโสตื่นตระหนกกับความน่าเกรงขามของท่านอ๋อง อันที่จริงก็ไม่แปลก อย่างไรเสียท่านอ๋องก็สังหารคนได้โดยไม่ต้องเอ่ยปากสั่งด้วยซ้ำ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าผู้อาวุโสหลีเคยประสบพบกับความน่าสะพรึงกลัวอย่างไรมาบ้าง
“ผู้อาวุโสหลี เขาคือท่านอ๋องจริงหรือ?” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งเอ่ยถาม
ผู้อาวุโสคนอื่นก็ทยอยกันเข้ามา เพื่อฟังคำตอบของผู้อาวุโสหลี
ผู้อาวุโสหลีพยักหน้า “เขาคือท่านอ๋อง ข้ามั่นใจ”
ฉิวอู๋หยาเดือดดาลอีกครั้ง “ผู้อาวุโสหลี เจ้าพวกนั้นติดสินบนท่านหรืออย่างไร? คนผู้นั้นไม่ใช่ท่านอ๋อง เข้าเห็นกับตาว่า…”
“ท่านนักบวช” ผู้อาวุโสหลีเอ่ยขึ้นตัดบท เขากลัวท่านอ๋องก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมก้มหัวให้ผู้ที่พึ่งพาตำรับยาอันโหดเหี้ยมเพื่อก้าวขึ้นมาบนตำแหน่ง “เจ้าพูดเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ข้ารู้ว่าเจ้ามีความแค้นต่อฉิวปิ่ง แต่ข้าใคร่ขอแนะนำเจ้าเรื่องหนึ่ง อย่ากลายเป็นคนโง่เขลา เพียงเพราะความแค้นส่วนตัว”
“ใครกันแน่ที่โง่เขลา!” ฉิวอู๋หยารู้สึกว่าในความโกรธทั้งชีวิตของเขารวมกันยังไม่เท่ากับความโกรธในวันนี้เลย เขาพูดโกหกมาทั้งชีวิต ทว่าวันนี้พูดความจริง แต่กลับไม่มีผู้ใดเชื่อ! แม้เขาจะไม่รู้ว่าบุรุษผู้นั้นฉกชิงวรยุทธ์ของท่านอ๋องไปได้อย่างไร ทั้งยังลอกเลียนนิสัยและกลิ่นอายของท่านอ๋อง ทว่าสายตาของเขาไม่มีทางมองผิดพลาด คนผู้นี้ต้องไม่ได้เป็นพวกเดียวกับท่านอ๋องอย่างแน่นอน!
ท่านอ๋องบีบคอเขาขึ้นมา อีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะตายอยู่แล้วเชียว
ใช่สิ ท่านอ๋องเล่า?
ถ้าหากหาศพของท่านอ๋องพบ ก็จะมีหลักฐานชิ้นสำคัญไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่ว่า เขาคิดได้ มีหรือที่ฉิวปิ่งและอิ่งสือซันจะคิดไม่ได้?
ซิวหลัวได้ย้าย ‘ศพ’ ของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจออกไปอย่างเงียบเชียบ ตั้งแต่ตอนที่ความสนใจของทุกคนอยู่ที่เยี่ยนจิ่วเฉาแล้ว
ฉิวอู๋หยาหมดหนทางโต้กลับ
ถ้าหากท่านอ๋องไม่ได้บอกไว้ว่าจะจัดการกับฉิวปิ่งและอิ่งสือซันอย่างไร พวกเขาก็จะอาสาไปรอรับคำสั่งที่ห้องนอนเอง
ส่วนคำให้การขององครักษ์ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์นั้นไม่อยู่ในความสนใจของพวกเขา ผู้อาวุโสหลีได้ยืนยันตัวตนของท่านอ๋องแล้ว ยังจะมีผู้ใดสงสัยอีกหรือ?
ตอนนั้นเป็นยามราตรี ตอนจากฉิวอู๋หยาแล้ว คนอื่นๆ ล้วนแต่เพียงเห็นพวกเขาต่อสู้กับท่านอ๋องก็เท่านั้น ไม่มีผู้ใดเห็นใบหน้าของเยี่ยนจิ่วเฉา พวกเขาไม่กลัวหรอก!
อีกด้านหนึ่ง เยี่ยนจิ่วเฉาเดินอุ้มอวี๋หวั่นกลับไปยังห้องนอนอย่างสบายอารมณ์ ระหว่างทาง บ่าวจำนวนไม่น้อยคำนับเยี่ยนจิ่วเฉา เยี่ยนจิ่วเฉาเดินไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
อวี๋หวั่นหน้าแดงก่ำอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้
ก่อนหน้านี้หมอนี่เป็นคนเคร่งครัด ไม่ยอมจับมือของเธอแม้แต่ต่อหน้าผู้คน แต่ตอนนี้เขากลับอุ้มเธอต่อหน้าธารกำนัล คนทั้งตำหนักล้วนเห็นหมดแล้ว
อวี๋หวั่นอับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด แต่ในเมื่อทำไม่ได้ เธอจึงจับชายเสื้อของเขาขึ้นมา แล้วซุกใบหน้าเข้ากับอกของเขาแทน
ทว่าการกระทำเช่นนี้ กลับทำให้เยี่ยนจิ่วเฉาตีความหมายต่างออกไป
เยี่ยนจิ่วเฉายิ้มอย่างเย็นชา “ตอนนี้เกิดกลัวขึ้นมาแล้วหรือ? เหอะ สายไปแล้ว!”
อวี๋หวั่นลูบหน้าท้องของตน ใคร่ครวญว่าตนเองควรบอกเขาหรือไม่ว่ากำลังตั้งท้อง เมื่อคิดไปคิดมา เธอจึงตัดสินใจพักเรื่องนี้ไว้ก่อน ไม่รู้ว่าสมองของหมอนี่ถูกกระทบกระเทือนไปมากเท่าไร ยังไม่กระตุ้นโทสะของเขาจะดีกว่า
ณ ทางเข้าตำหนัก นางกำนัลสองคนคุกเข่าอย่างนบนอบ เยี่ยนจิ่วเฉาเดินเข้าไปอย่างผึ่งผาย แม้ว่าจะ ‘เปลี่ยน’ เสื้อผ้าและถอดหน้ากากไปแล้ว แต่ทุกคนก็รู้ว่าเขาคือท่านอ๋อง
นางกำนัลเปิดม่าน พวกนางยังคงคุกเข่าอยู่กับพื้น
เยี่ยนจิ่วเฉาสาวเท้าเข้าไป แล้ว ‘โยน’ อวี๋หวั่นลงกับเตียงอย่างเอาแต่ใจ
“เตียงแข็งเหลือเกิน” อวี๋หวั่นกดลงบนเตียง
“เรียกคนมา!” เยี่ยนจิ่วเฉาเรียกนางกำนัล ให้ปูเตียงให้หนาขึ้น
เตียงนุ่มเสียจนอวี๋หวั่นรู้สึกยวบยาบราวกับนั่งอยู่บนสำลี เธอรู้สึกสบายเสียจนแอบยกยิ้มมุมปาก
เยี่ยนจิ่วเฉาเหลือบมองไปยังอวี๋หวั่น แล้วกล่าวด้วยความเกรี้ยวกราดว่า “แม่นาง ทางที่ดีเจ้าอย่าเล่นแง่ นั่งอยู่ที่นี่ดีๆ อีกประเดี๋ยวเปลี่ยนเป็นสวมชุดแต่งงาน เมื่อเจ้าแต่งงานกับข้าแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าหนีไปเด็ดขาด!”
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ ด้วยความดีใจ ข้าไม่ได้คิดหนีตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
เยี่ยนจิ่วเฉาเบนสายตาออกไป แล้วเรียกนางกำนัลเข้ามาเฝ้า “เตรียมชุดแต่งงาน วันนี้ข้ากับฮูหยินจะกราบไหว้
ฟ้าดินและเข้าหอ!”
นางกำนัลชะงักไป
กราบไหว้ฟ้าดินและเข้าหอ?
แม่นางผู้นี้ทรยศท่านนะ ท่านบอกว่าจะจัดการนางไม่ใช่หรือ? ไฉนจึงให้อภัยนางเสียแล้วเล่า? มิหนำซ้ำยังจะ
แต่งงานกับนางอีกครั้งหนึ่งด้วย
ความสงสัยของเหล่านางกำนัลก็เป็นเพียงความสงสัยที่เก็บไว้ในใจ พวกนางไม่กล้าขัดคำสั่งท่านอ๋อง จำต้องทำตามด้วยความหวาดกลัว
วังหลวงของเผ่าปีศาจกับวังหลวงของหนานจ้าวนั้นไม่เหมือนกันสักเท่าไร หรืออาจเรียกได้ว่ารสนิยมของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจแตกต่างจากคนทั่วไป ในห้องนี้ไม่ค่อยมีเครื่องเรือนซึ่งทำจากไม้ ทว่าทั้งหมดนั้นทำจากหินอัคนีสีดำสนิท แม้แต่เตียงขนาดยักษ์ใหญ่นี้ก็ทำจากหินอัคนีสีดำขลับเช่นกัน
เดิมทีหินอัคนีเช่นนี้ในจงหยวนนับว่ามีราคาสูง ภายภาคหน้าถ้าตกยากขึ้นมาเมื่อไร แค่หยิบหินสักก้อนไปขายก็มีกินมีใช้ไปชั่วชีวิต
อวี๋หวั่นลูบเสาเตียง นัยน์ตาของเธอเป็นประกายวาววับ “เยี่ยนจิ่วเฉา…”
ยังไม่ทันพูดจบ แต่กลับถูกเยี่ยนจิ่วเฉากล่าวตัดบทด้วยความรังเกียจ “นั่นชื่อชายชู้หรือ?”
อวี๋หวั่น “…”
ถ้าข้าบอกว่าไม่ใช่ละ?
เยี่ยนจิ่วเฉายื่นปลายนิ้วเย็นเฉียบออกมาจับคางของอวี๋หวั่น “เขามีอะไรดี? ถึงกับทำให้เจ้าต้องทรยศข้า?”
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าจะตอบว่าอย่างไรดี
ในตอนนั้นเอง ประตูก็เปิดออก เด็กน้อยทั้งสามเดินเตาะแตะเข้ามา
หลังจากการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย อวี๋หวั่นได้พบกับต้าเป่าและเอ้อร์เป่าแล้ว หลังจากที่พาพวกเขาไปซ่อน จึงไปตามหาเสี่ยวเป่าและเยี่ยนจิ่วเฉา ตอนนี้เรื่องจบแล้ว ซิวหลัวจึงไปอุ้มต้าเป่าและเอ้อร์เป่ามา
เมื่อสามพี่น้องได้พบกัน ก็จูงมือกันออกตามหาท่านพ่อและท่านแม่
อวี๋หวั่นมองไปยังเด็กน้อยทั้งสาม สายตาของเธอเบนกลับมา ขณะที่กำลังจะบอกกับเขาว่า ‘พวกเขาเป็นลูกของข้ากับเยี่ยนจิ่วเฉา’ เธออยากเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของเขา ไหนเลยจะรู้ว่าเขาเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน
เยี่ยนจิ่วเฉาจับเด็กทั้งสามขึ้นมา “ลูกของข้า ต้าเป่า เอ้อร์เป่า เสี่ยวเป่า”
อะไรนะ?
ท่านยังจำได้หรอกรึ?
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “หลังจากงานแต่งงาน พวกเขาก็ยังเป็นลูกของเจ้า เจ้าต้องดูแลเขาให้ดี พวกเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงสามคนของข้า ไม่มีผู้ใดทำร้ายพวกเขาได้ แม้แต่ตัวข้าเอง”
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรพูดว่าอย่างไร จำไม่ได้ว่าตนเองคือเยี่ยนจิ่วเฉา แต่กลับจำได้ว่ามีลูกสามคน ทั้งยังปกป้องพวกเขาเช่นนี้ อาการสมองกระทบกระเทือนเช่นนี้ของเขาออกจะไร้เหตุผลไปสักหน่อย ตามความเห็นของเธอ อาการความจำเสื่อมของเขาคงจะซับซ้อนกว่าที่คิด คล้ายกับว่าความทรงจำของเขากำลังยุ่งเหยิง…
เด็กน้อยทั้งสามมองไปยังท่านพ่อด้วยนัยน์ตาบ้องแบ๊ว จากนั้นก็มองไปยังท่านแม่
อวี๋หวั่นอุ้มเด็กทั้งสามขึ้นมา แล้วก้มลงหอมแก้มพวกเขา
เยี่ยนจิ่วเฉาพูดว่า “หึ นับว่ารู้จักกันแล้ว”
ยังรู้จักทำตัวดีกับลูก!
เด็กน้อยทั้งสามถอดรองเท้า แล้วปีนขึ้นไปตีลังกาบนเตียง!
อวี๋หวั่นหยอกเย้าเขาว่า “เช่นนั้น…ท่านมีลูกกับใครหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉามีสีหน้าจริงจัง “ก็ต้องเป็นสตรีที่ข้ารักน่ะสิ!”
อวี๋หวั่นหน้าแดงก่ำ รอมาสองปีกว่าจะกล้าบอกรัก ต้องความจำเสื่อมก่อนหรือถึงจะพูดออกมาได้
ผู้หญิงที่เขารัก…ที่แท้เขาก็หลงเธอหัวปักหัวปำขนาดนี้เชียวหรือ
อวี๋หวั่นก้มหน้างุดด้วยความเขินอาย จับผมข้างหูขึ้นขึ้นมาเล่น “เช่นนั้น…สตรีที่ท่านรักตอนนี้อยู่ที่ไหนหรือ?”
เยี่ยนจิ่วเฉาแค่นเสียง ‘เหอะ’ แล้วกล่าวว่า “เจียงป้าเทียน เจ้าหึงหวงแล้วใช่ไหมเล่า?”
อวี๋หวั่นสะดุ้งโหยง!
เขาเรียกเธอว่าอะไรนะ?
จะ…เจียงป้าเทียน[1]?
………………………………………..
[1] ป้าเทียน (霸天) หากแปลตามตัวอักษรแล้วจะหมายความว่า ครองสวรรค์ หรือพิชิตสวรรค์