หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 386.2 (2) เลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์
นี่เป็นเพียงของมีค่าชิ้นสุดท้ายของนางหลาน แต่นางให้พวกเขาด้วยความเอ็นดู กระนั้นเด็กทั้งสามก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง โยนกำไลทิ้งไป และหยิบเชือกสีแดงไปเล่นแทน
นางหลานตกใจกับเหตุการณ์นี้จนพูดไม่ออก
นางเดาออกว่าอวี๋หวั่นออกเรือนและมีลูกแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่จะมีลูกถึงสามคน เรื่องนี้ออกจะเหนือความคาดหมายของนางไปสักหน่อย
เมื่อก่อนนางและพี่สาวแทบไม่รอดชีวิต ไม่รู้จริงๆ ว่าอาหวั่นเลี้ยงแฝดสามให้อ้วนจ้ำม่ำเช่นนี้ได้อย่างไร แถมยังน่ารักน่าเอ็นดู
สาวใช้เข้ามารายงานว่านางทำความสะอาดห้องคลอดเสร็จเรียบร้อย และจัดแจงให้จื่อเยียนพักผ่อนแล้ว
นางหลานจึงให้นางอุ้มทารกน้อยไปวางไว้ข้างกายจื่อเยียน รอจนจื่อเยียนมีน้ำนม ค่อยให้นางป้อนนมเขา
ช่วงเวลาอันคับขันที่สุดได้ผ่านพ้นไป นางหลานจูงมืออวี๋หวั่นเข้าไปนั่ง แล้วถามอวี๋หวั่นว่ามาหมิงตูด้วยเหตุใด และมากับใคร “…ตอนนั้นท่านพี่ทิ้งของไว้ด้านล่างหน้าผา เพราะคิดว่าโชคอาจเข้าข้างนางบ้าง แต่หลายปีผ่านไปก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวของท่านแม่ จนข้าเองก็ยอมแพ้ไปแล้ว”
อวี๋หวั่นบอกว่า “ที่พวกข้าพบเบาะแสก็เป็นเพราะความบังเอิญ กล่าวอย่างไม่ปิดบังท่านยายรอง นอกจากพวกข้าจะมาตามหาญาติสกุลหลานแล้ว ยังมีจุดประสงค์อื่นอีก”
“โอ้? มีเรื่องอะไรหรือ?” นางหลานถาม
อวี๋หวั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจบอกความจริงกับนางหลาน “สามีของข้า…ถูกยาพิษไป๋หลี่เซียงเจ้าค่ะ ข้าต้องการตัวยาทั้งหมดสี่ชนิด หนึ่งในนั้นก็คือเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์ พวกข้าพบบันทึกที่เกี่ยวกับทายาทของสตรีศักดิ์สิทธิ์และพ่อมด จึงรู้ว่าเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ในเผ่าปีศาจ ดังนั้นจึงเดินทางมายังเผ่าปีศาจ ภายหลังบังเอิญตกลงไปด้านล่างของหน้าผา และขุดพบสิ่งของเหล่านี้ของท่านยาย”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง เห็นทีท่านพี่ทำถูกแล้วที่ทิ้งของเหล่านั้นไว้ น่าเสียดายที่นางไม่ทันอยู่รอพวกเจ้ากลับมา” นางหลานตัดพ้อที่ท่านพี่ด่วนจากไปเสียก่อน ด้วยวิชาของท่านพี่แล้ว ถ้าหากไม่ต้องตรอมใจเพราะคนโฉดชั่วสองคนนั้น มีหรือจะอยู่ไม่ถึงทุกวันนี้?
“ว่าแต่หลานเขยไปถูกพิษไป๋หลี่เซียงได้อย่างไรกัน” นางหลานเคยได้ยินเกี่ยวกับพิษชนิดนี้มาบ้าง ฤทธิ์แรงแต่ก็ไม่ถึงกับทำให้ตาย กระนั้นกลับปราศจากวิธีถอนพิษ เพราะตัวยาทั้งสี่ชนิดนั้นล้วนเป็นของที่หาได้ยากเหลือเกินในใต้หล้า
ในเมื่อเป็นคนในครอบครัว อวี๋หวั่นก็ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง จึงเปิดเผยตัวตนของตนและเยี่ยนจิ่วเฉาให้นางฟัง
ในตอนนั้นนางหลานจึงรู้ว่าหลังจากที่มารดาของตนออกจากหมิงตู ก็เดินทางไปยังหนานจ้าว
ท่านแม่จากไปเร็ว ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากอาการบาดเจ็บ คนแซ่เสิ่นนั่นช่วยท่านแม่ของนางไว้ ท่านแม่ไร้ที่พึ่งพา จึงตกลงที่จะเป็นอนุภรรยาของเขา
แต่นางหลานรู้สึกว่าจากนิสัยของท่านแม่แล้ว นางไม่มีทางยินยอมเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นได้ง่ายๆ ทั้งยังให้กำเนิดลูกมาเร็วเช่นนี้อีก? ลูกของนางเป็นคนสกุลเสิ่นจริงหรือ? คงไม่ใช่…
ไม่ เป็นไปไม่ได้
นางหลานส่ายหน้า และเพิกเฉยต่อการคาดเดาเรื่อยเปื่อยของตนเอง
นางหลานใช้เวลาครู่หนึ่งในการประมวลข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉา เป็นเพราะเวลามีจำกัด อวี๋หวั่นจึงไม่ได้เล่ามากมาย ประเด็นสำคัญมีเพียงเยี่ยนจิ่วเฉาถูกยาพิษตั้งแต่เด็ก ทว่าพิษทั้งสองชนิดกดกันไว้ จึงมิได้แสดงอาการ หลังจากที่ถอนพิษไปแล้ว พิษของไป๋หลี่เซียงก็ออกฤทธิ์ขึ้นมา
นางหลานมองไปยังราตรีอันเวิ้งว้าง แล้วถอนหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง “หากท่านแม่ยังอยู่ เจ้าอยากได้เลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์สักเท่าใดคงไม่ใช่ปัญหา แต่นางไม่อยู่แล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้…”
นางไม่ได้พูดประโยคต่อมา
แต่อวี๋หวั่นก็กระจ่างดี
เดิมทีคิดว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้นมาในสกุลหลาน ตนเองเป็นคนสกุลหลาน ก็ควรจะได้เลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์มาอย่างง่ายดาย ทว่าบัดนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์และสกุลหลานบ้านนี้ไม่ลงรอยกัน เรื่องนี้จึงไม่อาจจัดการได้ง่ายอย่างที่คิด
ไม่ว่าอย่างไร อวี๋หวั่นก็ยังคงมีความหวังในการตามหาเลือดสตรีศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่านางจะยินดีหรือไม่ก็ตาม ต่อให้ต้องไปขโมยมา เธอก็จะหาตัวยามาให้เยี่ยนจิ่วเฉาให้ได้
“ข้าจะพบสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไรหรือเจ้าคะ?” อวี๋หวั่นถาม
นางหลานเงียบไป แล้วกล่าวว่า “สถานะของสตรีศักดิ์สิทธิ์ในหมิงตูนั้นสูงส่งนัก แม้แต่สกุลหลานในหมิงตูก็ใช่ว่าจะได้พบนางง่ายๆ นอกจากนั้นรอบกายของนางยังเต็มไปด้วยยอดฝีมือ ตัวนางเองก็มีพลังภายในแก่กล้า ถ้าหากคิดจะใช้กำลังแย่งมา เกรงว่าคงจะทำไม่ได้”
“เช่นนั้นก็ใช้ปัญญาแย่งมา” อวี๋หวั่นบอก “ข้าเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ไม่มีทางกลับไปมือเปล่า”
“ยายจะช่วยคิดหาวิธี” เมื่อนางหลานนึกบางอย่างออก ก็เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าพาลูกๆ ออกมาโดยลำพังหรือ? สองคนที่อยู่ข้างนอกเป็นองครักษ์ของเจ้าใช่ไหม? ตามความเห็นข้า วรยุทธ์ของพวกเขาแข็งแกร่ง แต่หากจะให้ต่อกรกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ ข้าคิดว่ายังไม่เพียงพอ”
อวี๋หวั่นยิ้ม พร้อมกับตอบว่า “ข้าไม่ได้มาคนเดียวเจ้าค่ะ สามีของข้าก็มาด้วย”
นางหลานชะงักไป “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้เล่า?”
นางปล่อยให้หลานเขยรออยู่ด้านนอกทั้งวัน!
นางหลานรีบให้อวี๋หวั่นเรียกเยี่ยนจิ่วเฉาและคนอื่นๆ เข้ามา ในกลุ่มคนเหล่านี้ เยี่ยนจิ่วเฉานั้นดูโดดเด่นที่สุด นางหลานสังเกตเห็นเขาได้ทันที ทั้งรูปร่างสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลา องคาพยพบนใบหน้าได้รูป ท่าทางห้าวหาญและสูงศักดิ์ดังเชื้อพระวงศ์
“นี่คือท่านยายรอง” อวี๋หวั่นบอกกับเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉายังคงมีสีหน้าเย็นชา แต่กลับเอ่ยปากเรียกท่านยายรอง จากนั้นก็แนะนำตัวกับนางหลานว่า “ข้าคือซือคงอี้”
นางหลานหันไปมองอวี๋หวั่นด้วยความตกตะลึง เขาไม่ใช่เยี่ยนจิ่วเฉาหรอกหรือ? อยู่ๆ กลายเป็นซือคงอี้ไปได้อย่างไร?
ซือคงเป็นสกุลของราชวงศ์แห่งหมิงตู คนผู้นี้มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์หรือ?
อวี๋หวั่นกระแอม พลางยกมือขึ้นมาป้องปาก จากนั้นก็กระซิบบอกนางหลานว่า “เขาดูดซับพลังของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจไป ตอนนี้จึงคิดว่าตนเองเป็นอ๋องแห่งเผ่าปีศาจซือคงอี้เจ้าค่ะ”
“อา…” สกุลซือคงจากเผ่าปีศาจเดิมนั่นเอง ในฐานะที่เป็นประมุขแห่งสกุลหลาน มีหรือจะไม่รู้เรื่องความแค้นแต่เก่าก่อนของเผ่าปีศาจเดิมและเผ่าปีศาจใหม่ ในตอนนั้นฮูหยินซือคงให้กำเนิดบุตรชายสองคน บุตรชายคนเล็กพ่ายแพ้ จึงถูกขังไว้ในวังหลวง บุตรชายคนโตพาคนทั้งเผ่าย้ายเมืองหลวงมา ทิ้งคนสกุลฉิวไว้เฝ้าลูกหลานของบุตรชายคนเล็ก แรกเริ่มเดิมที เหล่านักโทษล้วนถูกทิ้งเอาไว้ในเผ่าปีศาจเดิม และไม่รู้ว่าเมืองหลวงใหม่ตัดขาดการติดต่อกับเผ่าเดิมไปตั้งแต่เมื่อใด พวกเขาไม่ส่งนักโทษไปอีก แต่ตัดสินด้วยตนเอง นานวันเข้า ผู้คนในเมืองหลวงใหม่ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าห่างออกไปอีกนับพันหลี่มีเผ่าดั้งเดิมของพวกตนอยู่
นางหลานรีบตั้งสติ แล้วมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา “อาอี้ อาอี้ เข้าไปนั่งในเรือนก่อนเถิด”
เยี่ยนจิ่วเฉามิได้รังเกียจชื่อเรียกใหม่ของตน เขาจูงมือภรรยาเดินเข้าไปด้านใน
จากนั้นนางหลานก็เห็นอาม่าและคนอื่นๆ จึงเชิญให้พวกเขาไปพักผ่อนที่ห้องในลานหลังบ้าน
อวี๋หวั่นเล่าเรื่องความแค้นของสกุลหลานให้อาม่า อิ่งสือซัน และคนอื่นๆ ฟัง “…จากความสัมพันธ์ของสกุลหลานทั้งสองสายเลือด สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางส่งมอบตัวยาให้พวกเราง่ายๆ พวกเราจึงต้องคิดหาวิธีชิงมันมา”
อิ่งลิ่วครุ่นคิด “ตอนนี้แม้แต่หมิงตูยังเข้าไปไม่ได้ จะชิงตัวยามาได้อย่างไร? อย่างน้อยพวกเราต้องพบสตรีศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ก่อน”
อวี๋หวั่นก็คิดเช่นนั้น “ข้ารู้มาจากท่านยายว่ารอบกายของสตรีศักดิ์สิทธิ์มียอดฝีมือแปดคนคอยอารักขา ทุกคนล้วนแต่เป็นซิวหลัว”
ทุกคนหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ชิงเหยียนซึ่งเดิมทีวางแผนไว้ว่าจะให้ซิวหลัวเข้าไปลักพาตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์ออกมานั้นถึงกับนิ่งเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ต่อให้ทุกวันนี้ซิวหลัวมีพลังเหนือซิวหลัวคนอื่นๆ แต่หากต้องรับมือกับซิวหลัวถึงแปดคน พวกเขาก็ไม่อาจมองเห็นหนทางชนะได้เลย
ชิงเหยียนตบหน้าอกซึ่งตอนนี้เปี่ยมไปด้วยความตกใจ “ซิวหลัวหาง่ายเหมือนกะหล่ำปลีตามท้องตลาดอย่างนั้นหรือ? ไฉนจึงมีตั้งแปดคน…นี่ก็หมายความว่าแม้แต่ลอบเข้าไปยังทำไม่ได้เลย?”
อวี๋หวั่นมีสายตาแข็งกร้าว “นี่เป็นเพียงจำนวนที่เห็น แต่เบื้องหลังยังมียอดฝีมือที่เก่งกาจกว่านี้อีกไหม ไม่มีใครรู้ได้ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องระวังเป็นอย่างมาก ไม่อาจเปิดเผยร่องรอย และไม่อาจเปิดเผยจุดประสงค์ของการกระทำในครั้งนี้”
ถ้าหากสตรีศักดิ์สิทธิ์รู้ว่าคนสกุลหลานอีกสายหนึ่งต้องการเลือดของนาง เกรงว่านางคนจะหาวิธีฆ่าล้างบางพวกเขาอย่างแน่นอน
อิ่งลิ่วกล่าวว่า “เอาอย่างนี้ไหม พรุ่งนี้ข้าจะลอบเข้าไปสืบหาเบาะแสของสตรีศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นค่อยหาวิธีให้นางอยู่เพียงลำพัง”
“ไม่ต้องยุ่งยากถึงเพียงนั้น ข้ามีวิธีเรียกคนสกุลหลานออกมา”
เสียงของนางหลานดังขึ้นจากหน้าประตู
อิ่งลิ่วอยู่ใกล้กับประตูมากที่สุด จึงรุดเข้าไปพยุงนาง
“ท่านยายรอง” อวี๋หวั่นหลีกทางให้นาง
นางหลานนั่งลง นัยน์ตาของนางแน่วแน่ “ในตอนที่ท่านพี่ออกจากหมิงตู ข้าจึงรับตำแหน่งประมุขของสกุลชั่วคราว ก่อนจากไปท่านพี่ได้มอบป้ายหยกของตระกูลให้แก่ข้า หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาไม่ลงมือสังหารข้า ก็เพราะพวกเขายังไม่ได้ครอบครองป้ายหยกของสกุลหลาน มีเพียงข้าเท่านั้นที่รู้ว่าป้ายหยกอยู่ที่ไหน หากข้าตาย พวกเขาก็ไม่มีทางได้ป้ายหยกไปครอบครอง”
อิ่งลิ่วเกาศีรษะ แล้วถามว่า “ท่านยายรอง ป้ายหยก…สำคัญมากหรือขอรับ?”
นางหลานยิ้มน้อยๆ “ป้ายหยกเป็นของประมุขสกุลหลาน ก็เหมือนกับตราแผ่นดินที่เป็นของฮ่องเต้ เจ้าคิดว่าสำคัญหรือไม่เล่า? ที่พวกเขาเหิมเกริมได้อย่างทุกวันนี้ก็เพราะมีสตรีศักดิ์สิทธิ์ วันใดนางไม่อยู่แล้ว สกุลหลานคนอื่นๆ ย่อมไม่มีทางเชื่อฟังพวกเขา วันพรุ่งนี้หลังจากที่ประตูเมืองเปิด พวกเจ้าไปหาทหารยามเฝ้าประตูเมือง บอกพวกเขาว่าหลานชิ่นต้องการส่งมอบป้ายหยกสกุลหลาน ให้สตรีศักดิ์สิทธิ์มาพบข้าด้วยตนเอง! ในตอนนั้น ข้าจะใช้ป้ายหยกนี้มาเจรจากับนาง ให้นางส่งเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์มาเอง!”
…………………..