หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 390 ราชันหมื่นสัตว์พิษ
เดิมทีคิดจะซื้อแค่ตัวเดียว แต่ในเมื่อเป็นของสตรีศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นก็จะซื้อมาให้หมด
“นี่ๆๆ…” คนขายตะลึงตาค้าง “นี่ต้องใช้ทองเยอะมากเลยนะ…”
อวี๋หวั่นเชิดคาง หยิบถุงเงินโยนให้คนขาย
เมื่อคนขายเปิดดูก็สูดหายใจเฮือก
อวี๋หวั่นกล่าวเฉยเมย “นี่ พอจะซื้อได้หรือไม่?”
“พอน่ะพอ แต่ว่า…” คนขายมองทูตศักดิ์สิทธิ์ด้วยความลำบากใจ ตกลงฮูหยินท่านนี้ได้ยินที่เขาพูดชัดเจนหรือไม่? อีกฝ่ายเป็นคนของสกุลหลาน นางกล้าแย่งของจากคนสกุลหลานได้อย่างไร? ถึงนางจะกล้า แต่เขาไม่ได้กล้าเช่นนั้น
คนขายไม่ได้ต้องการช่วยอวี๋หวั่น เพียงแต่ไม่ต้องการให้อวี๋หวั่นลากตนลงไปติดหล่ม เขากระซิบอีกครั้ง “ราชันสัตว์พิษเหล่านี้ขายให้สตรีศักดิ์สิทธิ์”
“อะไรนะ? เงินไม่พอ?” อวี๋หวั่นทำทีราวกับได้ยินเรื่องตลก โยนถุงเงินให้เขาอีกใบ
ยามนี้คนขายแน่ใจแล้วว่าอีกฝ่ายจงใจทำให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ต้องอับอาย ทุกวันนี้ยังมีคนที่ไม่เห็นสกุลหลานอยู่ในสายตาอีกหรือ? คงไม่ได้บ้าไปแล้วกระมัง?
คนขายไม่กล้ายอมรับ หมายจะหยิบถุงเงินใส่กลับไปในมือของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นเหลือบมองเขาแล้วพูดว่า “ยังต้องการร้านนี้อยู่หรือไม่? กล้าคืนมาก็ลองดู”
คนขาย “…”
คนขายคืนก็ไม่ได้ ไม่คืนก็ไม่ได้
เดิมทีทูตศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นสตรีชาวบ้านไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งอยู่ในสายตา แต่ในเมื่อทราบถึงตัวตนนางแล้ว ยังบังอาจแย่งของกับนาง ทำให้ทูตศักดิ์สิทธิ์ต้องเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากนั้น ดวงตาของทูตศักดิ์สิทธิ์ก็ฉายแววประหลาดใจ
ในเมืองหมิงตู สตรีที่งดงามที่สุด แน่นอนว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ นางรูปลักษณ์ดั่งชาวสวรรค์ คล้ายกับเทพธิดาผู้ไม่ข้องเกี่ยวทางโลก แต่สตรีตรงหน้า แม้จะอวบเล็กน้อย ทว่าหน้าตาและบุคลิกท่าทางไม่ด้อยไปกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์เลย
และ…ไม่รู้เหตุใดทูตศักดิ์สิทธิ์ถึงรู้สึกคล้ายกับเคยพบนางที่ใดสักแห่ง
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของทูตศักดิ์สิทธิ์ อวี๋หวั่นจึงหันมองนางพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ “การทำธุรกิจคนมาก่อนควรได้ก่อน อย่างที่ข้าพูดไว้ก่อนหน้านี้ ข้าต้องการราชันพันสัตว์พิษทั้งหมดในร้านนี้ ทูตศักดิ์สิทธิ์คงไม่กดขี่ชาวบ้านเมืองหมิงตูกระมัง?”
ทูตศักดิ์สิทธิ์กล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นคนหมิงตูหรือ? ป้ายห้อยเอวอยู่ที่ใด?”
“ป้ายห้อยเอว?” อวี๋หวั่นผงะ ดวงตาเกิดประกายวาบผ่าน เธอคลี่พัดและพูดว่า “ข้าลืมนำมาออกมาด้วย”
“เช่นนั้นรึ?” ทูตจ้องมองอวี๋หวั่นอยู่นาน
อวี๋หวั่นยกพัดปิดหน้ากระแอม “ถึงอย่างไร…ข้าก็เห็นเป็นคนแรก! เขาสัญญาแล้วว่าจะขายทั้งหมดให้ข้า ก็ต้องไม่ผิดสัญญากับข้า! เอามาให้ข้า!”
อวี๋หวั่นเอื้อมคว้าหนอนกู่ที่สัตว์พิษตัวน้อยอยากได้น้ำลายหก แต่ขณะที่เธอกำลังจะจับมัน กลับถูกพลังภายในอันทรงพลังโจมตีกลับมา
อวี๋หวั่นไม่ใช่ผู้รู้วรยุทธ์ หากพลังภายในนี้กระทบถูกตัวเธอ ก็คงฆ่าเธอตายไปพร้อมกับเด็กในท้อง สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าคนสนิทของสตรีศักดิ์สิทธิ์โหดเหี้ยมอำมหิตเพียงใด
ดังคำกล่าวที่ว่าคานบนไม่ตรง คานล่างย่อมบิดเบี้ยว คิดดูแล้วสตรีศักดิ์สิทธิ์ท่านนั้นก็คงไม่ได้สูงส่งสักเท่าไร
อวี๋หวั่นเบี่ยงตัวหลบ แต่ทูตศักดิ์สิทธิ์กลับใช้กำลังภายในอีกครั้ง กดร่างอวี๋หวั่นลงกับพื้นอย่างแน่นหนา
เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะถูกพลังภายในนั้นทำร้าย เงาร่างหนึ่งก็แวบเข้ามาขวางอวี๋หวั่น และใช้ฝ่ามือตบทูตกระเด็นใส่กำแพง!
กำแพงเกิดรูขนาดใหญ่ ทูตจมอยู่ในกองเศษหิน
อวี๋หวั่นโผล่หัวเล็กออกจากด้านหลังซิวหลัว มองไปยังซากปรักหักพัง
ฝ่ามือของซิวหลัวนี้รุนแรงไม่เบา ทูตได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังคลานออกจากซากปรักหักพังก็กระอักเลือดออกมาหลายครั้งติดต่อกัน
“อะไรกัน? ยังไม่ตายอีกหรือ?” พลังของซิวหลัวในยามนี้แข็งแกร่งกว่ายามอยู่ที่หนานจ้าวถึงสิบเท่า ทูตศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่หลังจากถูกการโจมตีของเขา
เสื้อผ้าของทูตศักดิ์สิทธิ์ขาดวิ่นเผยให้เห็นชุดเกราะสีเงินอ่อน
“นั่นอะไรน่ะ?” อวี๋หวั่นพึมพำ
คนขายกระซิบ “นี่เจ้าก็ไม่รู้? นั่นคือเกราะอ่อนไหมน้ำแข็งที่สกุลซือคงมอบแก่สตรีศักดิ์สิทธิ์ มีเพียงสตรีศักดิ์สิทธิ์และคนสกุลหลานเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะสวมใส่มันได้ เกราะอ่อนนี้ฟันแทงไม่เข้า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ สามารถต้านทานท่าไม้ตายของซิวหลัวได้…ว่าไปแล้ว คนผู้นี้เป็นใครกัน? เหตุใดแม้แต่ทูตศักดิ์สิทธิ์ก็ยัง…”
ไม่ทันจะกล่าวจบ เสียงตะโกนรุนแรงของสตรีผู้หนึ่งก็ดังมาจากนอกประตู “ผู้ใดช่างบังอาจ?”
แววตาของทูตศักดิ์สิทธิ์กลับมุ่งมั่นอีกครั้ง เขาตะโกนเรียกไปทางประตูใหญ่ “ท่านผู้นำตระกูล!”
ผู้นำตระกูล?
บุตรอนุสกุลหลานที่ยั่วยวนพี่เขยท่านยายรอง?
ท่านยายรองบอกว่านางชื่ออะไรนะ?
อวี๋หวั่นพึมพำอย่างครุ่นคิด “หลาน…หลานเจียว?”
“ชื่อของผู้นำตระกูลก็เป็นสิ่งที่เจ้าเรียกได้หรือ?” เสียงแหลมของสตรีผู้นั้นดังขึ้นอีกครั้ง และตามด้วยเสียงตบหน้าดังสนั่น
ทว่าการตบนี้ไม่ถูกใบหน้าของอวี๋หวั่น ซิวหลัวหยุดไว้ได้ทันเวลา
แต่ในไม่ช้า อวี๋หวั่นก็พบว่ามีกลุ่มควันดำอยู่กลางฝ่ามือของซิวหลัว
“นี่มัน…” อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว ปล่อยสัตว์พิษตัวน้อยดูดควันดำที่ฝ่ามือของซิวหลัวออกมา
ควันดำนี้มีพิษ!
ตระกูลมีชื่อเสียงโด่งดังบ้าบออะไรนี่ ที่แท้ก็ใช้วิธีการสกปรกเช่นนี้ แม้แต่ยอดฝีมืออย่างซิวหลัวยังโดนพิษ หากเป็นคนอื่นเกรงว่าชั่วพริบตา คงถูกควันพิษพุ่งทำลายหัวใจจนตายไปแล้ว
สตรีศักดิ์สิทธิ์ก้าวเท้ายาวเดินเข้ามา
อวี๋หวั่นเก็บสัตว์พิษตัวน้อยกลับมาได้ทันเวลา และหันมองผู้นำตระกูลที่ทูตศักดิ์สิทธิ์กล่าวถึง
ผู้อาวุโสในครอบครัวของหลานเจียวคือหลานอีกับน้องสาวลูกพี่ลูกน้องของนางหลาน นางน่าจะอายุไล่เลี่ยกับนางเจียง ดูแล้วนางยังอ่อนเยาว์นัก ทั้งยังมีรูปโฉมงดงามเป็นอย่างยิ่ง แต่แน่นอนว่าในใจของอวี๋หวั่น ไม่มีผู้ใดที่งดงามไปกว่ามารดาของเธออีกแล้ว
ขนาดนางยังเยาว์วัยเช่นนี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นก็คงมีอายุไม่มากนัก น่าจะพอๆ กับเธอ
อวี๋หวั่นกวาดตามองหลานเจียวขึ้นลง อย่างไรเสียคนที่เป็นผู้นำตระกูล บุคลิกท่าทางย่อมไม่ธรรมดา แต่น่าเสียดาย ดวงตาของนางไปงอกอยู่บนหัว มองไม่เห็นผู้คนอยู่ในสายตา
แต่คิดแล้วก็ไม่แปลก บุตรสาวเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ ส่วนตนเองก็บีบพี่สาวผู้เป็นบุตรภรรยาเอกออกไป และขึ้นเป็นผู้นำตระกูล ทั่วทั้งหมิงตูนอกจากนางซือคงแล้ว ตำแหน่งของนางก็เป็นใจที่สุด
“เฮ้อ~” อวี๋หวั่นกลอกตา โบกพัดในมือ ที่เรียกว่าแพ้แล้วไม่ยอมรับเป็นอย่างไร ก็เป็นเช่นนี้แหละ อีกฝ่ายไม่มองเธอตรงๆ เธอก็จะไม่ใช้ใบหน้าอุ่นๆ ไปแนบตูดเย็นๆ ของอีกฝ่ายเช่นกัน
หลานเจียวเปิดตัวอย่างเอิกเกริกยิ่ง ข้างกายนางเต็มไปด้วยองครักษ์นับร้อยนาย นางชี้ให้องครักษ์สองนายไปช่วยพยุงทูต หลังจากนั้นนางก็ได้ยินเสียงอุทานที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวนั้น พลันหรี่ตามองสตรีที่กล้าแสดงออกเช่นนี้ต่อหน้าคนสกุลหลาน
อวี๋หวั่นใช้พัดปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง
หลานเจียวกล่าวถามอย่างเย่อหยิ่ง “เจ้าเป็นใคร?”
อวี๋หวั่นทำเสียงฮึดฮัดเย็นชา “เจ้าถามข้าก็ต้องตอบหรือ?”
ทูตศักดิ์สิทธิ์กัดฟันฟ้อง “ท่านผู้นำตระกูล! พวกเขาแย่งของของสตรีศักดิ์สิทธิ์ และยังทำให้ข้าบาดเจ็บ!”
หลานเจียวจ้องมองอวี๋หวั่นครู่ใหญ่ “เจ้าช่างกล้านัก!”
อวี๋หวั่นคลี่ยิ้ม “เมื่อเทียบความกล้า ข้าไม่อาจสู้ผู้นำตระกูลหลาน ข้าเพียงแค่แย่งหนอนกู่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ไหนเลยจะเหมือนท่าน ยังแย่งสามีของคนอื่นได้”
เรื่องระหว่างหลานเจียวกับพี่เขยเป็นเรื่องใหญ่โตจนรู้กันทั่วหมิงตู สิ่งที่สกุลหลานให้ความสำคัญมากที่สุดคือมีคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ แต่พวกปากพล่อยถูกนางจับตัวมาลงโทษอย่างรุนแรงแล้ว เด็กสาวผู้นี้ช่างไม่รู้ดีชั่ว กล้าเสียดสีเหน็บแนมนางต่อหน้า!
ดวงตาของหลานเจียวเต็มไปด้วยร่องรอยจิตสังหารรุนแรง นางยกมือขึ้น บุรุษชุดดำคนหนึ่งซึ่งอวี๋หวั่นไม่ทันสังเกตเห็นปรากฏกายออกมา และเหวี่ยงหมัดใส่อวี๋หวั่น
ซิวหลัวกุมกำปั้นของอีกฝ่ายตรง แต่เกือบในวินาทีเดียวกัน อีกฝ่ายก็พุ่งมืออีกข้างออกไป ฝ่ามือเปล่งแสงสีเงิน
“ระวัง!” อวี๋หวั่นตะโกน
ซิวหลัวหลบเข็มเงินได้ ไอพลังของเขาเปิดทั้งหมด แต่ไม่นาน เขาก็ถูกพลังภายในของบุรุษชุดดำกดกลับมา
สีหน้าของอวี๋หวั่นค่อยๆ แปรเปลี่ยน “ราชา…ซิวหลัว?”
หลานเจียวหัวเราะเยาะ “ไม่ผิด นี่ก็คือราชาซิวหลัว ราชาซิวหลัวข้างกายเจ้าคงเพิ่งผ่านขั้นมาไม่นานกระมัง พลังยังไม่เสถียรก็กล้าออกมาอวดดีเสียแล้ว พวกเจ้าเห็นหมิงตูเป็นที่ใดกัน? คู่ควรที่หัวขโมยอย่างพวกเจ้ากระทำการบุ่มบ่ามหรือ?”
ระดับของบุรุษชุดคลุมสีดำอยู่เหนือกว่าซิวหลัว
ซิวหลัวถูกกดควบคุมจนกระอักเลือด
ทว่าหลานเจียวประหลาดใจเสียยิ่งกว่าอวี๋หวั่น เดิมทีหลานเจียวตั้งใจจะสั่งสอนอวี๋หวั่นสักหน่อย แม้ซิวหลัวตนนี้จะมีระดับไม่สู้คนของนาง แต่กลับรับการโจมตีทั้งหมดของเขาได้ แม้แต่คนของนางก็ไม่อาจทำอะไรเด็กสาวคนผู้นั้นได้
โชคดีที่นางไม่ได้นำลูกน้องมาคนเดียว
หลานเจียวคลี่ยิ้มและกล่าวว่า “สาวน้อย หากเจ้าคุกเข่าก้มหัวยอมรับผิดต่อข้า ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ฝันไปเถอะ!”
หลานเจียวหัวเราะเยาะ “ให้จิ้งจิ่วไม่ดื่ม กลับดื่มฝาจิ่ว เอาเถอะ หากเป็นความปรารถนาของเจ้า ข้าก็จะให้เจ้าได้รู้ว่าล่วงเกินสกุลหลานแล้วจะเป็นอย่างไร พวกเจ้า ไปจับนางมาให้ข้า”
“ขอรับ!” องครักษ์สองสามคนล้อมเข้ามา
แสงสีขาวสว่างวาบออกจากร่างของอวี๋หวั่น ผ่านเข้าทรวงอกขององครักษ์ ไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ล้มลงกับพื้นไปทีละคน
สีหน้าของทูตศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไป “ท่านผู้นำตระกูล นี่คือ…”
ดวงตาหงส์ของหลานเจียวหรี่ลงเล็กน้อย “ราชันหมื่นสัตว์พิษ”
หากเป็นราชันสัตว์พิษโตเต็มวัย หลานเจียวคงไม่กล้าขยับตัวไปไหน แต่นี่ยังเป็นเพียงทารกสัตว์พิษตัวหนึ่งเท่านั้น
หลานเจียวยื่นมือออกมา มีถุงมือไหมสีเงินคู่หนึ่งสวมอยู่ นางยกมุมปาก คว้าสัตว์พิษตัวน้อยมาอยู่ในฝ่ามือ
……………………………