หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 397.1 ออดอ้อนสัตว์พิษตัวน้อย จับมัดห้อยและเฆี่ยนตีอวดอำนาจบารมี (1)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 397.1 ออดอ้อนสัตว์พิษตัวน้อย จับมัดห้อยและเฆี่ยนตีอวดอำนาจบารมี (1)
อวี๋หวั่นชำเลืองมองนาง ก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป
นี่เป็นลานกว้างที่มีทางเข้าสองทาง สตรีศักดิ์สิทธิ์พาอวี๋หวั่นเดินผ่านห้องโถง มาถึงทางเดินที่ปูด้วยพื้นไม้กฤษณา ตั้งแต่ต้นจนจบ อวี๋หวั่นเดินทอดน่องมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นระยะ
สตรีศักดิ์สิทธิ์ได้รับบาดเจ็บ เดิมก็แย่พอแล้ว เห็นอวี๋หวั่นเดินเชื่องช้ากว่าจะตามมา ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมอง “มองไปก็ไม่มีประโยชน์ อย่างไรก็หนีไปไม่ได้”
อวี๋หวั่นสองมือกอดอก “หนีได้หรือไม่ หาได้ขึ้นอยู่กับเจ้า”
เธออยู่กับเยี่ยนจิ่วเฉามานาน ความสามารถในการยั่วยุให้คนโกรธจนบ้าคลั่ง เธอก็นับว่าได้รับมาไม่น้อย
ไม่เกินความคาดหมาย ใบหน้าของสตรีศักดิ์สิทธิ์แปรเปลี่ยนเป็นยากจะทนมอง อวี๋หวั่นจุดไฟติดแล้ว แต่กลับไม่คิดจะโหมไฟให้แผดเผาต่อไป เธอก้าวผ่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ เดินเชิดคางไปข้างหน้า “ห้องข้าอยู่ที่ใด?”
ทำราวกับไม่ใช่เชลย แต่เป็นแขกเสียมากกว่า
สตรีศักดิ์สิทธิ์ลมหายใจจุกอก รู้สึกเพียงบาดแผลเจ็บปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
นางใช้พลังอย่างมากในการกดข่มอารมณ์ มองไปที่แผ่นหลังสง่างามเป็นอิสระของอวี๋หวั่น พลางพึมพำเบาๆ ว่า “ให้เจ้าโอหังไปก่อนสองวัน!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์พาอวี๋หวั่นเข้าไปในห้องและสั่งให้คนเฝ้าเธอไว้ให้ดี
หลังจากปิดประตู อวี๋หวั่นก็ยื่นหัวเล็กๆ ออกมา “ข้าหิว”
สตรีศักดิ์สิทธิ์ “…”
คนเฝ้าเรือน “..”
“เอาอะไรมาให้นางกิน” สตรีศักดิ์สิทธิ์ออกคำสั่งอย่างเย็นชาและจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
คนเฝ้าเรือนของสกุลซือคงล้วนเป็นยอดฝีมือ อวี๋หวั่นล้มเลิกความคิดที่จะหลบหนี รับกล่องอาหารที่องครักษ์ส่งมาให้อย่างเงียบๆ และเข้าไปในห้องอย่างว่าง่าย
ประตูห้องถูกปิดเสียงดังโครมคราม จากนั้นคนเฝ้าเรือนก็ลงกลอนไว้
“ต้องกังวลถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ยังลงกลอนอีก?” อวี๋หวั่นพึมพำพลางวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะ
เมื่อในห้องไม่มีคน อวี๋หวั่นก็หยิบกล่องเหล็กออกจากแขนเสื้อกว้าง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สัตว์พิษตัวน้อยถูกขังในกล่องเหล็ก เมื่อปีที่แล้วหนานกงเยี่ยนก็ขังมันไว้ในลูกกลมเหล็กเล็กๆ เพื่อทำให้มันเชื่อง แต่ในเวลานั้นมันยังไม่เคยชีวิตที่ดีนัก เมื่อไม่มีอะไรให้เปรียบเทียบก็ไม่เจ็บปวด ครั้งนี้สัตว์พิษตัวน้อยเจ็บปวดทรมานยิ่งนัก ถูกขังไม่ต้องพูดถึง ยังโยนเข้าไปในเล้าไก่ให้แบกรับความหวาดกลัว
วินาทีที่เห็นอวี๋หวั่น สัตว์พิษตัวน้อยก็น้อยอกน้อยใจแทบหลั่งน้ำตาไหล
อวี๋หวั่นเห็นว่าสัตว์พิษตัวน้อยมีเล็บหักข้างหนึ่ง หัวใจของเธอก็แตกสลาย
“เจ็บหรือไม่?” อวี๋หวั่นอุ้มสัตว์พิษตัวน้อย ไว้กลางฝ่ามือ
กรงเล็บของสัตว์พิษตัวน้อยกอดนิ้วก้อยของอวี๋หวั่น ถูไปมาด้วยความเจ็บปวดใจ
ในใจอวี๋หวั่นก่นด่าหลานเจียว แย่งสัตว์พิษของเธอไปเห็นเป็นสมบัติ แต่กลับทรมานมันเช่นนี้ ผู้นำตระกูลหลานบ้าบออะไร เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทำได้ทุกวิถีทาง ทำลายชื่อเสียงเกียรติยศสกุลหลานจนป่นปี้!
ไม่รู้ว่ากรงเล็บที่หักไปจะงอกใหม่ได้ดังเดิมหรือไม่ ร่างกายยังชนผนังกล่องไปมา บวมจนดูไม่ได้
อวี๋หวั่นไม่รีบร้อนใส่มันกลับเข้าไปในร่างกายของเธอ แต่หยิบขวดหยกเล็กๆ ออกมาและหยดเลือดของเธอให้ความอบอุ่นหล่อเลี้ยงสัตว์พิษตัวน้อย
กู่ชอบหยก และยังมีเลือดหยินบริสุทธิ์ของอวี๋หวั่น สัตว์พิษตัวน้อยราวกับได้เข้าไปสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันอบอุ่น และไม่รู้สึกทุกข์ทรมานเช่นเดิมอีกแล้ว
ฟังจากหลานเจียวกล่าว นางซื้อหนอนกู่ไปล้วนเพื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็ไม่อาจปล่อยให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ค้นพบลมหายใจของสัตว์พิษตัวน้อย
อวี๋หวั่นปิดขวดหยกและซ่อนสัตว์พิษตัวน้อยไว้ในแขนเสื้อกว้างของเธอ
ยามที่สัตว์พิษตัวน้อยอยู่บนร่างกายของเธอมักจะเผยลมหายใจออกมาอย่างง่ายดาย ขวดหยกนี้อาเว่ยทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสัตว์พิษตัวน้อย สามารถทำให้ร่างกายกู่อบอุ่นและปิดกั้นลมหายใจได้ในระดับที่สูงที่สุด
เมื่อจัดการสิ่งเหล่านี้เรียบร้อย ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าคนดังเข้ามา
อวี๋หวั่นรีบนั่งลงอย่างไม่กระโตกกระตาก เปิดกล่องอาหารและหยิบกับข้าวออกมา
คนที่มากลับไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นสาวใช้จากสกุลซือคง
เมื่อสาวใช้เห็นอวี๋หวั่นกำลังทานอาหารอย่างสบายๆ สีหน้าพลันผ่อนคลายและกล่าวว่า “ข้ามาถามว่าฮูหยินต้องการสิ่งใดหรือไม่? บ่าวมีชื่อว่าฮวาจือ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะมาดูแลความเป็นอยู่ของฮูหยิน”
อวี๋หวั่นเหลือบมองถาดในมือของนาง “นำสิ่งใดมา?”
ฮวาจือกล่าวว่า “เกรงว่าฮูหยินจะไม่ชินกับอาหารในจวน จึงเตรียมชาและของว่างมาให้ฮูหยินเป็นพิเศษ”
“วางลงเถอะ” อวี๋หวั่นกล่าวเบาๆ
“เจ้าค่ะ” ฮวาจือวางชาและขนมในถาดลง จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างๆ รอรับคำสั่งจากอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นกล่าวว่า “ข้าไม่คุ้นเคยกับการมีคนมาอยู่ในห้องของข้า เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน”
“เจ้าค่ะ” ฮวาจือหยิบถาดเดินออกไป
อวี๋หวั่นกล่าวอีกครั้ง “ปิดประตู ข้าหนาว”
ฮวาจือก็ปิดประตู
เพิ่งนำอาหารมาให้ ไม่นานก็ส่งของกินมาให้อีก เธอเป็นตัวประกัน ไม่ใช่แขกจริงๆ สักหน่อย ไม่มีเรื่องใดต้องพยายามทุ่มเท นอกเสียจากมีเจตนาแอบแฝง!
อวี๋หวั่นดมกลิ่นชาและขนม กลิ่นนั้นกลับไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติ เธอถอดปิ่นเงินบนศีรษะมาตรวจน้ำชาและของว่าง ก็ไม่มีวี่แววของยาพิษ
บัดนี้ อวี๋หวั่นรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวในขวดหยก
อวี๋หวั่นหยิบขวดหยกออกมาดึงจุกออก “เป็นอะไรไป?”
สัตว์พิษตัวน้อยโผล่ออกมา กระโดดลงไปในกาน้ำชา ผ่านไปครู่หนึ่งมันก็โยนหนอนกู่ตัวน้อยออกมา!
แม้เล็บหักไปนิ้วหนึ่ง แต่อีกหลายนิ้วยังดีอยู่ พอจะสู้เจ้าไก่อ่อนพวกนี้!
เพียะๆๆ!
เพียะๆๆๆๆ!
สัตว์พิษตัวน้อยถล่มตีหนอนกู่ตัวน้อยตัวนั้นจนบิดามารดากู่ก็จำบุตรมันไม่ได้แล้ว
“เอาละ ไม่ต้องตีแล้ว เจ้าก็ยังบาดเจ็บอยู่ แค่นี้ก็พอแล้ว” อวี๋หวั่นคว้าสัตว์พิษตัวน้อยที่ไม่พอใจขึ้นมา สัตว์พิษตัวน้อยกอดนิ้วก้อยของอวี๋หวั่นอย่างไม่เต็มใจ ไม่นานก็กระโดดลงไปอีกครั้ง เตะหนอนกู่น้อยตัวนั้นอีกครั้งและกลับเข้าไปในขวดหยกอย่างพอใจ
อวี๋หวั่นไม่กล้าปล่อยสัตว์พิษตัวน้อยอยู่ข้างนอกนานเกินไป เกรงว่าลมหายใจของมันจะรั่วไหลออกมา แต่ว่าไปแล้ว ที่แท้สตรีศักดิ์สิทธิ์คิดจะใช้กู่กับนาง ยังนับว่าเปิดหูเปิดตานางยิ่งนัก
สตรีศักดิ์สิทธิ์คงนึกไม่ถึงว่าเธอจะมีราชันสัตว์พิษอยู่บนตัวกระมัง? ก็จริง หลานเจียวกับนางพบหน้ากันเพียงแวบเดียว ยังไม่ทันพูดคุยเรื่องสัตว์พิษตัวน้อยกับนางอย่างละเอียด
เป็นเช่นนี้ก็สะดวกต่อตนแล้ว
อวี๋หวั่นไม่กังวลว่าหลานเจียวจะมาบอกข่าวกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ถึงหน้าประตู จากความเข้าใจที่มีต่อเยี่ยนจิ่วเฉา แปดส่วนคงจับตัวหลานเจียวไว้แล้ว ไม่ให้มารดาและบุตรสาวคู่นี้แอบติดต่อกัน
อวี๋หวั่นโยนหนอนกู่ที่เหลือชีวิตเพียงครึ่งหนึ่งลงในกาน้ำชา และนอนมุ่ยปากลงกับเตียง
“นี่คืออะไร?”
“ยารักษาแผลของสตรีศักดิ์สิทธิ์”
“นำเข้าไปเถอะ”
ด้านนอกห้องมีเสียงของฮวาจือที่กำลังพูดคุยกับสาวใช้อีกคน ตามมาด้วยเสียงเอี๊ยดอ๊าดของประตูห้องข้างๆ ดวงตาของอวี๋หวั่นกลิ้งกลอก สตรีศักดิ์สิทธิ์อยู่ห้องข้างเธออย่างนั้นหรือ?
อวี๋หวั่นลงจากเตียง เดินไปที่กำแพง แนบหูกับผนัง พยายามฟังว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์กำลังทำสิ่งใดอยู่ในห้อง
ตั้งแต่มีสัตว์พิษตัวน้อย พลังหูของเธอก็ไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือสักเท่าไร แม้จะคั่นด้วยสามห้อง เธอก็ยังสามารถได้ยินอย่างเลือนราง แต่…กำแพงที่นี่ก็หนาใช่ย่อยกระมัง? กันเสียงได้ดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
อวี๋หวั่นยกขาข้างหนึ่ง ทั้งร่างนอนพิงกำแพง
ข้าจะฟัง ข้าจะฟัง ข้าจะฟังงงงง!
ในห้องถัดไป ซือคงอวิ๋นในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มใช้พลังภายในรักษาอาการบาดเจ็บของสตรีศักดิ์สิทธิ์
“ไยเจ้าบาดเจ็บเช่นนี้? ไม่ได้สวมเกราะอ่อนไหมน้ำแข็งหรือ? ผู้ใดทำ?” ซือคงอวิ๋นดูดคืนพลังภายใน และผุดคำถามมากมายด้วยสีหน้าประหลาดใจ
สตรีศักดิ์สิทธิ์กุมอกที่เจ็บปวดและกล่าวว่า “หากไม่มีเกราะอ่อนไหมน้ำแข็ง ข้าคงตายไปแล้ว”
คนผู้นั้นไร้ความปรานียิ่งนัก กั้นด้วยม่านหมอกพิษหนา ไม่ว่าสิ่งใดเขาก็เห็นไม่ชัดเจน ไม่กลัวว่าฝ่ามือจะฟาดถูกสตรีผู้นั้นเลยหรือ?
เจ้าบ้า!
“แค่คนบ้าคนหนึ่ง” สตรีศักดิ์สิทธิ์กัดฟันพูด
“คนบ้าอะไรจะทำร้ายเจ้าได้ถึงเพียงนี้?” ซือคงอวิ๋นถาม
นางเองก็อยากรู้ มีชีวิตอยู่มาสิบกว่าปี ไม่เคยเห็นบุรุษที่ไม่สนกฎเกณฑ์เช่นนี้ เขากระทำอย่างเด็ดขาดเกินไป แม้แต่ตัวเขาเอง สตรีนั่น หรือสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ละเว้น
นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้ หากเป็นคนอื่น สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางถูกอีกฝ่ายคุกคาม แต่บุรุษผู้นั้น…
สตรีศักดิ์สิทธิ์หลับตา “…เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ข้าไม่รู้จักเขา…อีกอย่าง ข้าถูกคุกคาม”
“หือ?” ซือคงอวิ๋นขมวดคิ้ว
สตรีศักดิ์สิทธิ์กำหมัดแน่น “ใช่ ข้าจับสตรีของเขาได้ แต่ข้าถูกเขาคุกคามกลับ”
ซือคงอวิ๋นยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม
………………