หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 429 เยี่ยนเสี่ยวซื่อมาแล้ว!
อวี๋หวั่นไม่มั่นใจว่าสรุปแล้วราชันสัตว์พิษของสกุลซางอยู่ในเขตหวงห้ามหรือไม่ แต่ในเมื่อใช้ราชาซิวหลัวอารักขาเขตหวงห้าม เมื่อมาคิดดูแล้วคงจะเก็บรักษาความลับสำคัญเอาไว้เป็นแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เจ้าสัตว์พิษตัวน้อยก็ต้องระวังเป็นอย่างมาก
“เจ้าห้ามถูกกินรู้ไหม?”
สัตว์พิษตัวน้อยพยักหน้าหงึก
“ถ้าเจอใครที่สู้ไม่ได้ อย่าเข้าไปหาเรื่องอย่างครั้งก่อนอีก” เมื่อนีกถึงเรื่องครั้งก่อนที่เขาหมิงซาน มันพุ่งเข้าหา
ราชันหมื่นสัตว์พิษอย่างบ้าบิ่น อวี๋หวั่นเป็นห่วงเหลือเกินว่าหากมันต้องเผชิญหน้ากับราชันสัตว์พิษของสกุลซาง มันจะรนหาที่ตายอีก
สัตว์พิษตัวน้อยพยักหน้าหงึกๆ
“ถ้าหาอะไรไม่เจอก็รีบออกมา ห้ามเที่ยวเล่น”
สัตว์พิษตัวน้อยพยักหน้าหงึกๆๆ
เมื่ออวี๋หวั่นคิดว่าตนเองเตือนมันมากพอสมควรแล้ว จึงตัดสินใจส่งมันให้อาเว่ย ให้อาเว่ยพามันไปปล่อยไว้ใกล้กับเขตหวงห้าม
หนอนน้อยกระโดดลงจากตัวของอาเว่ย แรกเริ่มเดิมทีมันก็ระมัดระวัง ถึงกับหาใบไม้มาอำพรางตนเอง แต่ราชาซิวหลัวสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกเขตหวงห้ามนั้นไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย
สัตว์พิษตัวน้อยแค่นเสียง ‘หึ’ โยนใบไม้ทิ้งแล้วเดินเข้าไปด้านในอย่างผึ่งผาย!
อวี๋หวั่นออกมานานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเป็นที่สงสัย เพราะฉะนั้นหลังจากที่อาเว่ยพาสัตว์พิษตัวน้อยไป เธอจึงเดินกลับไปยังเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าซาง
ฮูหยินผู้เฒ่าซางชอบความสงบ เพราะฉะนั้นเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าซางจะมีบ่าวคอยรับใช้ไม่มาก และโชคดีที่เป็นเช่นนั้น เพราะถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น อวี๋หวั่นก็จะไม่มีทางหลบหลีกสายตาผู้คนได้ง่ายดายอย่างนี้
เมื่ออวี๋หวั่นกลับไปยังห้องของฮูหยินผู้เฒ่าซาง กลับพบว่าฮูหยินผู้เฒ่าซางล้มตัวลงนอนลงบนเก้าอี้ยาวไปแล้ว เยี่ยนจิ่วเฉานั่งอยู่ข้างนางด้วยสีหน้าราบเรียบ ดูแล้ว นางน่าจะถูกเยี่ยนจิ่วเฉากล่อมจนหลับไป
อวี๋หวั่นกะพริบตาปริบๆ ด้วยความประหลาดใจ “ท่าน…ทำได้อย่างไรเนี่ย?”
“ข้าไม่รู้” เยี่ยนจิ่วเฉามองท้องฟ้าคล้ายกับกำลังใช้ความคิด คล้ายกับว่าเขาทำอย่างนี้มานับครั้งไม่ถ้วนจนเคยชินแล้ว
อวี๋หวั่นพึมพำกับตนเอง หรือเป็นเพราะครั้นอยู่ในจวนเห้อเหลียน เขากล่อมฮูหยินผู้เฒ่าหลับมาหลายต่อหลายครั้งจนชำนาญ? ต่อให้สูญเสียความทรงจำไป แต่เขาก็ยังเป็นเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้เหม่อนานเท่าไรนัก เขาแบมือออก แล้วส่งกล่องใบเล็กให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นเปิดกล่องนั้นออก ก็พบว่าด้านในเป็นแผนที่ของสกุลซาง
“ฮูหยินผู้เฒ่าให้ท่านหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
“อืม” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ “ข้าบอกว่าข้าอยากได้”
อวี๋หวั่นจึงถามว่า “นางไม่ได้ถามหรือว่าท่านอยากได้ไปทำอะไร?”
“เปล่า” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ “ข้าอยากได้ นางก็ให้ข้า”
อวี๋หวั่น “…”
แบบนี้ก็ได้หรือ?
เค้นสมองคิดหาวิธีแทบแย่ แต่ก็หาไม่เจอ กลับเป็นหมอนี่ที่หามาได้อย่างกับปอกกล้วยเข้าปาก…
อวี๋หวั่นไม่รู้ว่าควรพูดว่าอย่างไร
เมื่อมีแผนที่ พวกเขาย่อมเข้าใจการอารักขาในสกุลซางมากยิ่งขึ้น
ขณะที่อวี๋หวั่นกำลังวิเคราะห์แผนที่อยู่นั้น อยู่ๆ เยี่ยนจิ่วเฉาก็ค้นพบบางอย่าง เขายื่นนิ้วเรียวงามออกมา แล้วจิ้มลงไปบนหัวไหล่ของเธอเบาๆ “ตามข้ามา”
“อ้อ” อวี๋หวั่นถือแผนที่ แล้วจูงมือเยี่ยนจิ่วเฉา เดินออกจากห้องของฮูหยินผู้เฒ่าซาง
ทั้งสองเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมา จนมาถึงด้านหน้าประตูบานเล็กบานหนึ่ง พวกเขาจึงเดินเข้าไป และพบกับเรือนหลังหนึ่ง ทว่าเรือนหลังนั้นอยู่ลึกเหลือเกิน และมีระเบียงทางเดินแลดูแปลกตาด้วย
“ที่นี่คือที่ไหนกัน” อวี๋หวั่นเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ พลางมองไปยังระเบียงทางเดินที่มืดสลัว ต่อให้เดินมาที่นี่ตอนกลางวันแสกๆ ก็ยังรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง
เยี่ยนจิ่วเฉาจูงมือเธอเดินไปตามระเบียงทางเดิน ทั้งสองเดินมาถึงป่าไผ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง มีเสียงของคนสนทนากันดังมาจากในนั้น ทั้งสองคนชะงักฝีเท้า รอจนเสียงนั้นห่างออกไปและหายไป พวกเขาจึงเดินเข้าไปด้านใน
อวี๋หวั่นมองไปยังใบไม้ที่ปราศจากร่องรอยการถูกทำลาย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยว่า “น่าแปลก เมื่อครู่ยังได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่เลย แต่ทำไมที่นี่ถึงดูเหมือนไม่มีคนผ่านไปผ่านมา”
เยี่ยนจิ่วเฉามองไปรอบๆ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สายตาไปหยุดอยู่ที่ลำไผ่หนาต้นหนึ่ง เขาเดินไปแตะที่ไผ่ลำนั้น มีเสียงดัง ‘กริ้ก’ พื้นดินเบื้องล่างแยกออก เผยให้เห็นทางเข้าเล็ก ขนาดประมาณฝาปิดบ่อน้ำขนาดใหญ่
“นี่คือ…” อวี๋หวั่นเดินไป แต่กลับถูกเยี่ยนจิ่วเฉาหยุดเอาไว้
เยี่ยนจิ่วเฉาก้าวเท้าเข้าไปด้านในก่อน อีกครู่หนึ่งจึงเดินขึ้นมารับอวี๋หวั่นลงไปด้วย
ทั้งสองเดินลงไปตามทางเดิน พื้นดินเคลื่อนมาปิดสนิทโดยอัตโนมัติ
ทางเดินนี้มืดสนิท ยื่นมือออกไปก็มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า อวี๋หวั่นเปิดกระเป๋าเงิน แล้วหยิบไข่มุกราตรีขนาดเท่าไข่นกพิราบออกมา
อวี๋หวั่นดูแผนที่จากแสงของไข่มุก “ที่คือสถานที่ใดในสกุลซาง ไม่เห็นเขียนไว้ในแผนที่เลย”
เยี่ยนจิ่วเฉาเคาะผนังหิน จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้น ประตูหินบานหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากผนังซึ่งเดิมทีปิดสนิทไม่มีแม้แต่ลมพัดผ่าน หลังจากที่ประตูเปิดออก ทั้งสองก็เดินเข้าไปด้วยความระมัดระวัง
ที่นี่คือห้องปรุงยา ขวดและโหลยาบำรุงวางเรียงรายอยู่บนชั้น อวี๋หวั่นสุ่มหยิบมาขวดหนึ่ง เปิดออกแล้วลองดม “อะไรเนี่ย กลิ่นเหม็นเหลือเกิน”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบว่า “เป็นยาที่ใช้เพิ่มพลังของซิวหลัว เม็ดหนึ่งราคาแพงมาก”
อวี๋หวั่นอยากถามว่าท่านรู้ได้อย่างไร แต่ยังไม่ทันได้ถามออกมา ก็นึกได้ว่าเขามีความทรงจำของอ๋องแห่งเผ่าปีศาจ เผ่าปีศาจก็มีซิวหลัวของตนเองเช่นกัน แน่นอนว่าย่อมต้องจดจำยาชนิดนี้ได้
เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นมา อวี๋หวั่นก็พูดว่า “จะว่าไป ซิวหลัวของเผ่าปีศาจกับซิวหลัวของหมิงตูไม่ค่อยเหมือนกัน”
ไม่ว่าจะเป็นด้านสติปัญญาหรือวรยุทธ์ ซิวหลัวของหมิงตูดูเหมือนจะเหนือกว่าซิวหลัวของเผ่าปีศาจมาก
เยี่ยนจิ่วเฉาบอกว่า “ในตอนที่ย้ายเมือง ตำราการสร้างซิวหลัวถูกสกุลซือคงในหมิงตูขนไปหมด ที่เผ่าเดิมเหลือเพียงฉบับไม่สมบูรณ์”
อวี๋หวั่นพยักหน้า “เป็นอย่างนี้นี่เอง”
น่าสงสารซิวหลัวบ้านตน ถ้าหากอยู่ในหมิงตู จะต้องกลายเป็นซิวหลัวที่ฉลาดหลักแหลมและไร้เทียมทานอย่างแน่นอน!
เยี่ยนจิ่วเฉาหันหน้ามา ก็เห็นว่าอวี๋หวั่นกำลังเทยาลงในกระเป๋า แล้วถามว่า “เจ้าทำอะไร”
“เอากลับไปให้ซิวหลัว!” อวี๋หวั่นเทยาไปนับร้อยเม็ด จนกระเป๋าของเธอใส่ไม่ได้แล้ว จากนั้นจึงออกจากห้องปรุงยาไปพร้อมกับเยี่ยนจิ่วเฉา
ทั้งสองเดินไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าเดินมานานเท่าไร อวี๋หวั่นชะงักฝีเท้าในทันใด
“มีอะไร?” เยี่ยนจิ่วเฉามองเธอ
อวี๋หวั่นขมวดคิ้ว “ท่านได้ยินเสียงอะไรไหม?”
เยี่ยนจิ่วเฉากำลังจะตอบว่าไม่ได้ยิน ใบหูของเขาก็ขยับเล็กน้อย เขาดึงอวี๋หวั่นเข้ามาทันที
ตู้ม!
บนผนังด้านข้างก็ถูกพลังรุนแรงกระแทกจนเป็นโพรงขนาดใหญ่ และเป็นบริเวณที่อวี๋หวั่นยืนอยู่พอดิบพอดี ในตอนนั้นเองทั้งสองจึงพบว่ากำแพงหินนั้นหนาว่าที่คิดไว้มาก และทั้งหมดทำจากหินผานหลง
หินผานหลงหนาถึงเพียงนี้ ต้องใช้พลังมากขนาดไหนถึงจะทำให้หินผานหลงเป็นโพรงสูงกว่าตัวคนอีก?
อวี๋หวั่นยังไม่ทันได้คิดว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ลำแสงสีขาวก็พุ่งเข้ามาหาเธอ ถ้าหากไม่ใช่สัตว์พิษตัวน้อยแล้วจะเป็นใครไปได้?
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “เจ้า…เจ้าไปทำอะไรไว้”
สัตว์พิษตัวน้อยต่อยพื้นอย่างบ้าคลั่ง ข้าไม่ได้ทำอะไร! ข้าแค่ใช้ชีวิตเป็นเหยื่อล่อเจ้าหนอนพิษเฒ่านั่นออกมาต่างหาก!!!
จะให้ข้าเชื่อเจ้าได้รึ?
อวี๋หวั่นกัดฟัน “เจ้าไปกินอะไรที่ไม่ควรกินมาใช่ไหม?”
ข้าเปล่าาาา!
สัตว์พิษตัวน้อยน้ำลายไหล ซู้ด~
ตู้ม!
พลังรุนแรงอีกระลอกหนึ่งพุ่งเข้ามา ทำให้ผนังเป็นโพรงใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
ในครั้งนี้ อวี๋หวั่นมองเห็นอย่างชัดเจน หนอนพิษขนาดใหญ่กว่าราชันหมื่นสัตว์พิษ ร่างสีดำสนิท ดวงตาคู่นั้นแลดูน่าสยดสยอง
“นี่คือ…ราชันสัตว์พิษของสกุลซางหรือ?!” อวี๋หวั่นขนพองสยองเกล้า “เจ้า! แม้แต่ราชันสัตว์พิษของสกุลซางก็ยังกล้ากินหรือ! ข้าบอกแล้วนี่ว่าอย่ากินอะไรส่งเดช!”
สัตว์พิษตัวน้อยค้อมตัว แล้วจิ้มนิ้วเข้าหากันอย่างรู้สึกผิด ก็มันหอมนี่นา ข้าอดใจไม่ไหวหรอก…
อวี๋หวั่นยังคงไม่เชื่อ ห้ามใจตัวเองไม่ได้เลยหรืออย่างไร!!! กล้ากินแม้แต่ราชันสัตว์พิษที่มีพลังระดับนี้น่ะหรือ?!
อันที่จริง พวกเขามาตามหาราชันสัตว์พิษของสกุลซางถึงที่นี่ ตามหลักแล้วควรจะดีใจที่เจอมัน แต่ปัญหาก็คือ…อาเว่ยไม่อยู่ จึงไม่มีใครสามารถควบคุมราชันสัตว์พิษได้!
“ทำไมเจ้าไม่พามันไปหาอาเว่ยละ” อวี๋หวั่นแทบร้องไห้ออกมา
เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขึงขังว่า “กลิ่นอายของราชันสัตว์พิษตัวนี้แข็งแกร่งมาก นับว่าอยู่ในระดับหกขั้นสูงสุดแล้ว และมันถูกควบคุมด้วยวิชามาร ทำให้พลังของมันสูงกว่าราชันสัตว์พิษและยอดฝีมือในระดับเดียวกันถึงสามส่วน”
“ถ้าอย่างนั้น…พวกเราก็คงต้องตายอยู่ที่นี่?” อวี๋หวั่นอยากร้องไห้ยิ่งกว่าเดิม
เสียงหวีดร้องดังขึ้นแหวกอากาศเข้ามา ราวกับพร้อมพรากวิญญาณออกจากร่าง
“อ๊าาาา” อวี๋หวั่นรู้สึกปวดหัวราวกับสมองจะระเบิด
เยี่ยนจิ่วเฉาดึงอวี๋หวั่นเข้ามาในอ้อมอก สองมือของเขายกขึ้นมาปิดหูของอวี๋หวั่น
เสียงนั้นดังขึ้นมาอีก จนหูของเยี่ยนจิ่วเฉามีเลือดไหลออกมา
แผละ!
เลือดไหลหยดลงบนศีรษะของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นหน้าซีดเผือด “เยี่ยนจิ่วเฉา!”
เยี่ยนจิ่วเฉาใช้ร่างของตนปกป้องอวี๋หวั่นไว้ มือของเขาปิดหูอวี๋หวั่นแน่น “อย่าขยับ!”
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปในอากาศ อวี๋หวั่นรู้สึกประหนึ่งตนเองกำลังจมลงไปในบ่อโลหิต จนเธอรู้สึกคลื่นไส้ขึ้น
มาทันใด
ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมประมุขสกุลซือคงจึงคิดกำจัดราชันสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของสกุลซางอย่างไม่เกรงใจ ถ้าหากปล่อยให้สกุลซางมีของที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ในครอบครอง ไม่ยอมจัดการสักที เกรงว่าวันใดวันหนึ่ง มันต้องนำพามาซึ่งหายนะอย่างแน่นอน
เมื่อสัมผัสได้ว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของสกุลซางเข้ามาใกล้แล้ว เยี่ยนจิ่วเฉาก็ดึงมีดสั้นข้างเอวของอวี๋หวั่น แล้วแทงไปยังสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สกุลซาง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง ‘เคร้ง’ มีดถูกปัดออกไป แต่ไม่เพียงเท่านั้น ปลายมีดกลับทู่ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
มีดเล่มนี้เป็นมีดที่ประมุขสกุลซางมอบให้ซือคงอวิ๋น ตัดได้แม้แต่หินผานหลง แต่กลับทำอะไรเกราะนอกของหนอนพิษตัวนี้ไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของสกุลซางแข็งแกร่งเพียงใด
เยี่ยนจิ่วเฉามีสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม และนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกได้ว่า…พวกเขาคงต้องตายอยู่ที่นี่
เสียงกรีดร้องดังมาอีกครั้ง แสงสีดำพุ่งตรงมาหาอวี๋หวั่น!
เธอมีเลือดพลังหยินบริสุทธิ์ สามารถดึงดูดสัตว์พิษทั่วไป ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหนอนพิษพลังหยินที่กินเลือดมนุษย์อย่างราชันสัตว์พิษของสกุลซาง
หนอนพิษพลังหยินอ้าปากกว้างน่าขยะแขยง น้ำลายเหม็นกลิ่นคาวเลือดหยดลงบนพื้น
ขณะที่มันกำลังจะกัดอวี๋หวั่นนั้นเอง ท้องของอวี๋หวั่นก็กระดุกกระดิก…
…………………