หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 436.2 พี่จิ่วพลิกฟ้า (2)
สกุลซือคงไม่ได้ไล่ตามนางไป สตรีศักดิ์สิทธิ์จึงไปถึงสกุลซางอย่างราบรื่น ร่างของนางอาบไปด้วยเลือด ไม่หลงเหลือสภาพเสื้อผ้าที่เคยเรียบร้อย องครักษ์สกุลซางมองนางด้วยความรังเกียจ “ขอทานจากไหนกัน? ไสหัวไปไกลๆ!”
ยาสลายวรยุทธ์หมดฤทธิ์แล้ว วรยุทธ์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์กลับมาแล้ว คนผู้นี้หยาบคายกับนาง นางจำต้องสั่งสอนให้เขาหลาบจำ
นางยกมือขึ้น ต่อยอีกฝ่ายจนกระเด็นไปไกล
องครักษ์คนนั้นลอยไปและกระแทกพื้นอย่างแรง จนกระอักเลือดสดออกมา
องครักษ์อีกคนหนึ่งตะลึงงัน แล้วมองไปยังสตรีตรงหน้าด้วยความเหลือเชื่อ “เจ้า…เจ้าเป็นใคร กล้ามาหาเรื่องถึงสกุลซาง”
สตรีศีกดิ์สิทธิ์ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “ไปบอกประมุขของพวกเจ้า ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มา!”
“เจ้า? คือสตรีศักดิ์สิทธิ์?” เขามองนางด้วยท่าทางรังเกียจ
สตรีศักดิ์สิทธิ์รวบรวมพลังภายใน “เจ้าก็อยากกินหมัดเหมือนกันรึ?”
องครักษ์สัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรง เขาตื่นตะลึง เขาไม่กล้าเพิกเฉยอีกต่อไป วิ่งกระวีกระวาดไปทันที
ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา บุรุษคนหนึ่งท่าทางคล้ายกับพ่อบ้านก็เดินออกมาหน้าประตู และพาสตรีศักดิ์สิทธิ์ข้าไปด้านใน
ประมุขสกุลซางนั่งอยู่ในตำแหน่งเจ้าบ้าน เขามองสตรีศักดิ์สิทธิ์ด้วยท่าทางไม่ยี่หระ “เจ้าบอกว่าเจ้าคือสตรีศักดิ์สิทธิ์? มีหลักฐานอะไร”
สตรีศักดิ์สิทธิ์เดินอ้อมมายังด้านหน้าของฉากกั้น วางมือบนศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ส่องแสงสีเขียวขึ้นมาทันใด
สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ สตรีศักดิ์สิทธิ์สีเขียว…หลานจี
ประมุขซางหรี่ตาน้อยๆ “ถ้าหากเจ้าคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ ไฉนจึงต้องปลอมตัวเป็นคนอื่น?”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” สตรีศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างหมดความอดทน
สายตาของประมุขซางแข็งกร้าวขึ้นทันใด แต่ใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม “ข้าไม่รู้ว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ เสียมารยาทแล้ว”
เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน ยกมือประสานทำท่าคำนับสตรีศักดิ์สิทธิ์ และให้สตรีศักดิ์สิทธิ์นั่งในตำแหน่งของตนเอง “สตรีศักดิ์สิทธิ์เชิญนั่ง”
สตรีศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างเย่อหยิ่งว่า “ข้าไม่นั่งแล้ว หาเรือนให้ข้าหลังหนึ่ง ให้คนเตรียมน้ำ หาเสื้อผ้าสะอาดสามสี่ชุด ข้าจะอาบน้ำ”
ประมุขซางลูบคางพร้อมกับหัวเราะออกมา “ทำเช่นนี้…คงจะไม่เหมาะสมกระมัง…ไม่ใช่ว่าข้าไม่ยินดีที่จะต้อนรับสตรีศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่า…”
สตรีศักดิ์สิทธิ์เชิดหน้าขึ้น แล้วพูดตัดบทว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดคำพูดเสแสร้งเช่นนี้ ข้ารู้ว่าซือคงอวิ๋นอยู่ที่สกุลซาง และรู้ว่าพวกเจ้าแตกหักกับสกุลซือคงแล้ว เรื่องที่เกิดเมื่อคืนคงเป็นฝีมือพวกเจ้ากระมัง ไม่สำเร็จสินะ? พวกเจ้ากำลังสู้กับสกุลซือคง ข้าก็เหมือนกัน พวกเรามีศัตรูร่วมกัน ไม่สู้มาร่วมมือกันดีกว่าหรือ”
ประมุขซางกล่าวอย่างมีเลศนัยว่า “ทุกวันนี้เจ้าเป็นเพียงสุนัขไร้บ้าน จะไปช่วยอะไรข้าได้?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์นัยน์ตาเย็นเยียบ นางพูดด้วยสีหน้าขึงขังว่า “พวกเจ้าอยากขึ้นเป็นราชวงศ์ของหมิงตูแทนสกุลซือคงไม่ใช่หรือ? ถ้าหากไม่ได้รับการยอมรับจากวิหารสตรีศักดิ์สิทธิ์ ก็ย่อมพูดได้ไม่เต็มปากว่าชนะ!”
ประมุขซางหลุบตาลง ใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ “ตกลง ข้าจะร่วมมือกับเจ้า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์หันหลังเดินออกจากโถงบุปผาไป
“เอาไป” ประมุขซางโยนขวดยาใบเล็กให้นาง
“นี่คืออะไร” สตรีศักดิ์สิทธิ์รับขวด พร้อมกับหันหลังมาถาม
ประมุขซางตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ เป็นยาที่ใช้สำหรับเพิ่มพลังในเลือดของเจ้าได้ ข้าไม่อยากร่วมมือกับสตรีศักดิ์สิทธิ์สีเขียวธรรมดา”
ธรรมดา? คนผู้นี้รู้หรือไม่ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์สีเขียวนั้นสูงส่งเพียงใด? สกุลหลานมีสตรีศักดิ์สิทธิ์มากี่รุ่นต่อกี่รุ่น แต่คนที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือนาง!
“อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าสกุลหลานของพวกเจ้ามีราชาศักดิ์สิทธิ์ถือกำเนิดขึ้น” เมื่อคืนเขาอยู่ใกล้กับเขาหมิงซาน ย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของราชาศักดิ์สิทธิ์
สตรีศักดิ์สิทธิ์กำหมัดแน่น พยายามข่มความรู้สึกริษยา “แล้วอย่างไร? เจ้าคิดว่าราชาศักดิ์สิทธิ์จะช่วยเจ้าได้หรือ?”
ประมุขซางแค่นหัวเราะ “เพราะฉะนั้นเจ้าถึงห้ามอ่อนแอกว่า ห้ามแพ้ราชาศักดิ์สิทธิ์”
“หึ!” สตรีศักดิ์สิทธิ์กลอกตาอย่างรำคาญใจ แล้วเดินถือขวดยาจากไป
ยาของสกุลซางนั้นประสิทธิภาพเหลือเชื่อ ตกกลางคืน สตรีศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ว่าพลังปราณของตนเปลี่ยนแปลงไป ศิลาสตรีศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีคราม และเปลี่ยนจากสีครามเป็นสีน้ำเงิน ครั้นถึงยามฟ้าสางมันก็เปล่งแสงสีม่วงออกมา
สตรีศักดิ์สิทธิ์นั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น มองไปยังมือของตนอย่างเหลือเชื่อ “ข้า…ข้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงแล้วหรือ?”
นางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงเลือดบริสุทธิ์ที่สุดแล้ว!
นางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วง!
สตรีศักดิ์สิทธิ์ตื่นเต้นจนไม่ได้สังเกตว่าสาวใช้ซึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตูแอบออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ
สาวใช้เดินมายังห้องของประมุขซาง คำนับครั้งหนึ่งแล้วพูดว่า “ท่านประมุข”
“เป็นอย่างไร” ประมุขซางเอ่ยถาม
“สตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงระดับหนึ่งเจ้าค่ะ” สาวใช้บอก
ประมุขซางยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย “สามารถแตะระดับสีม่วงได้ สมแล้วที่เป็นสายเลือดที่หายากยิ่ง,,,ไปพาตัวนางมา”
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้กลับไปยังเรือนของสตรีศักดิ์สิทธิ์ แล้วรายงานจากด้านนอก “สตรีศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ ท่านประมุขเชิญท่าน”
เส้นเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย ทว่าเมื่อคิดดูแล้ว เรื่องที่ฟังดูเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่านี้ยังเกิดขึ้นมาแล้ว เด็กนั่นตั้งท้องราชาศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นการที่นางกลายเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงก็ย่อมมิใช่เรื่องแปลก
“พลังของราชาศักดิ์สิทธิ์ยังไม่สมบูรณ์ ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ ก็สามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย!” สตรีศักดิ์สิทธิ์กำลังมีความสุข จึงพลอยมีสีหน้ายิ้มแย้มกับประมุขซางซึ่งช่วยนางด้วย เมื่อได้ยินว่าเขาต้องการพบ นางจึงรีบไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ประมุขซาง” นางเอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ประมุขซางพิจารณานางเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความพอใจ “ไม่พบกันเพียงชั่วข้ามคืน วรยุทธ์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์รุดหน้าไปมาก”
สตรีศักดิ์สิทธิ์พยักหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ “พลังปราณของข้าเพิ่มขึ้นมาก วรยุทธ์ย่อมรุดหน้าเป็นธรรมดา”
นางไม่เพียงวรยุทธ์รุดหน้ากว่าเดิม ทว่ากลิ่นอายของนางก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน นางไม่เคยรู้สึกกระปรี้กระเปร่า มีพลังล้นเหลือเช่นนี้มาก่อน
“สตรีศักดิ์สิทธิ์หิวหรือยัง? ต้องการอะไรรองท้องหรือไม่?” ประมุขซางพูดอย่างเอาใจใส่
ดูๆๆๆ พอระดับพลังของนางเพิ่มขึ้น ท่าทีของเจ้าแก่นี่ก็แตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง สตรีศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าไม่หิว ประมุขซางเรียกหาข้า ต้องการปรึกษาเรื่องแผนทำลายล้างเขาหมิงซานและสกุลซือคงอย่างนั้นหรือ?”
ประมุขซางยิ้ม “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน ข้าจะพาสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปที่แห่งหนึ่ง”
“โอ้?” สตรีศักดิ์สิทธิ์ลากเสียงยาว
ประมุขซางมองนางแล้วพูดว่า “เป็นเขตหวงห้ามของสกุลซาง นอกจากข้าและยอดฝีมือในเขตหวงห้ามแล้ว ไม่มีผู้อื่นเข้ามาได้ แม้แต่อวิ๋นเอ๋อร์ยังเข้ามาไม่ได้”
สตรีศักดิ์สิทธิ์เลิกคิ้ว “ประมุขซางกำลังแสดงความจริงใจต่อข้าอย่างนั้นหรือ? ต้องขอบคุณยาของสกุลซาง ในตอนนี้ข้าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงแล้ว ข้าหลานจีมิใช่คนไม่รู้จักทดแทนบุญคุณ ย่อมต้องช่วยประมุขซางอย่างเต็มที่!”
ประมุขซางเหลือบมองนาง สองมือยกขึ้นประสาน “ข้าต้องขอขอบคุณสตรีศักดิ์สิทธิ์ล่วงหน้า”
สตรีศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างทระนงตนว่า “ไม่ได้บอกว่าจะพาข้าไปเขตหวงห้ามหรอกหรือ? ยืนนิ่งอยู่ทำไมเล่า? รีบไปเร็ว ข้าอยากกำจัดราชาศักดิ์สิทธิ์เต็มทนแล้ว!”
ประมุขซางยิ้ม “เชิญ”
สตรีศักดิ์สิทธิ์และประมุขซางเดินเข้าไปยังเขตหวงห้าม
สกุลหลานและสกุลซือคงก็มีเขตหวงห้ามเช่นกัน กระนั้นเขตหวงห้ามของพวกเขาก็ไม่ได้ใหญ่และลึกลับเช่นนี้ ทั้งสองเดินเข้าไปในอุโมงค์ในภูเขา ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไรก็ยิ่งแคบขึ้นเท่านั้น แสงภายในอุโมงค์มืดลงเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าใดกว่าจะไปถึงถ้ำมืดสลัวแห่งหนึ่ง
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งอยู่ในถ้ำ ชวนให้รู้สึกคลื่นเหียน
สตรีศักดิ์สิทธิ์ปิดจมูก “อีกไกลแค่ไหนกัน?”
“ใกล้ถึงแล้ว” ประมุขซางตอบอย่างมิได้อนาทรร้อนใจ
สตรีศักดิ์สิทธิ์กระวนกระวายเหลือเกิน นางรู้สึกประหนึ่งเลือดในร่างกำลังเดือดพล่าน “เหม็นเหลือเกิน เจ้าจะพาข้าไปดูอะไร นำออกมาให้ข้าดูไม่ได้รึ ข้าไม่อยากเข้าไป!”
“เจ้าจะไม่เข้าไปได้อย่างไรกัน?” ประมุขซางหันหลังกลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม
ในมือของเขามีไข่มุกราตรี แสงนวลสลัวจากไข่มุกราตรีส่องไปยังใบหน้าของเขา ท่าทางมีลับลมคมใน แลดูราวกับเป็นปีศาจจากขุมนรกไม่มีผิด
สตรีศักดิ์สิทธิ์เริ่มใจคอไม่ดีแล้ว!
ประมุขซางจับไหล่ของนางไว้ “รู้ไหมว่าข้างล่างนี้คืออะไร?”
สตรีศักดิ์สิทธิ์มองลงไปเบื้องล่าง ถึงได้รู้ว่าตนเองกำลังยืนอยู่บนสะพานไม้แคบๆ ด้านล่างของสะพานไม้เป็นบ่อเลือด มิน่าเล่ากลิ่นคาวเลือดจึงรุนแรงเช่นนี้
ประมุขซางพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “เดิมทีข้าคิดจะใช้ราชาศักดิ์สิทธิ์มาป้อนมัน แต่น่าเสียดายที่จับไม่ได้ คิดๆ ดูแล้วสตรีศักดิ์สิทธิ์สีม่วงก็ไม่เลวเหมือนกัน”
สตรีศักดิ์สิทธิ์หน้าถอดสีทันใด “เจ้า!”
สตรีศักดิ์สิทธิ์เงื้อหมัดออกมา ต่อยเข้าใส่ประมุขซางจนกระเด็นออกไป จากนั้นจึงใช้วิชาตัวเบา เหาะไปยังปากถ้ำ ทว่าขณะที่กำลังจะออกจากปากถ้ำ เลือดสายหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ คว้านางไว้ แล้วลากนางลงไปยังบ่อเลือด…
…………………….