หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 444 ความจริงของหลัวช่าโลหิต
ในห้องหนังสือ นอกจากอิ่งลิ่วและอิ่งสือซัน ทุกคนที่เห็นภาพวาดล้วนแต่มีสีหน้าเหลือเชื่อ
ชิงเหยียนอ้าปากพะงาบ คล้ายกับมีเรื่องจะพูด สุดท้ายแล้วเขาก็พูดออกมาว่า “นั่นอะไรน่ะ…อิ่งลิ่วเจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ได้วาดผิด?”
อิ่งลิ่ววางพู่กันลง ถลึงตาใส่ “จะวาดผิดได้อย่างไรเล่า? ข้าวาดรูปเก่งออกเสียขนาดนี้!”
นี่คือเรื่องจริงๆ เพื่อที่จะทำหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนมที่สมบูรณ์แบบ เขาจำต้องร่ำเรียนวิชาเขียนพู่กันและวาดภาพจากปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงในเมืองเยี่ยน ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากปรมาจารย์มาเช่นนี้ อย่างน้อยฝีมือการวาดภาพเหมือนย่อมไม่เป็นสองรองใคร
ชิงเหยียนครุ่นคิด “เช่นนั้น…เจ้าก็จำผิด?”
ชิงเหยียนยังคงไม่อยากเชื่อว่าหลัวช่าโลหิตในเขตหวงห้ามสกุลซางจะมีหน้าตาเช่นนี้
ที่จริงแล้วอิ่งสือซันก็ตกใจเช่นกัน แต่ว่าเขาอยู่กับอิ่งลิ่วมาหลายปี กระจ่างในความสามารถของอิ่งลิ่ว คนทั่วไปเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาคนแปลกหน้าคนหนึ่ง หลังจากหลับตาลงย่อมยากที่จะระลึกถึงสิ่งที่ตนเองเห็นได้อย่างชัดเจน อิ่งลิ่วกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาผ่านการฝึกพิเศษ จึงสามารถจดจำรายละเอียดของใบหน้าได้อย่างแม่นยำ
เยว่โกวเกาศีรษะ “ทำไมข้ารู้สึกคุ้นตาเหลือเกิน”
ชิงเหยียนบอกว่า “เหลวไหล! ต้องคุ้นตาอยู่แล้ว! ที่พวกเราเห็นก็ไม่ต่างกับเขาเท่าไร เจ้าลืมแล้วหรือ?”
“โอ้” เยว่โกวยังคงนึกไม่ออก
ประมุขซือคงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็เอ่ยขึ้นว่า “ทำไมถึงเป็นเขา”
อิ่งลิ่วได้ยินดังนั้น จึงหันไปมองเยี่ยนจิ่วเฉา แล้วหันมองเขาก่อนถามว่า “ประมุขซือคง ท่านรู้จักคนผู้นี้หรือ?”
ประมุขซือคงมิได้รีบร้อนตอบคำถามของอิ่งลิ่ว แต่กลับมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา “จิ่วเฉา เจ้ารู้สึกคุ้นตาหรือไม่?”
“คุ้นตาอยู่บ้าง” เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ
อาม่าก็รู็สึกคุ้นตาเช่นกัน แต่เขาไม่เหมือนกับคนอื่นในที่นั้น เขาไม่ได้คุ้นหน้าผู้ที่หน้าคล้ายกับหลัวช่าโลหิต แต่เขาเคยเห็นภาพเหมือนของคนผู้นี้ในหอตำราสกุลซือคง
ประมุขซือคงจ้องมองภาพวาดนี้อยู่นาน แล้วกล่าวพลางทอดถอนใจว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนผู้นี้ก็คือประมุขสกุลซางสองรุ่นก่อน และเป็นปรมาจารย์ของสกุลซาง นามว่าซางชิวหาน”
ในตอนที่ชิงเหยียนและเยว่โกวเข้าไปในเขตหวงห้ามของสกุลซางครั้งแรก พวกเขาเห็นประมุขซางและสตรีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งปลอมตัวเป็นอวี๋หวั่น ที่เยว่โกวและชิงเหยียนรู้สึกว่าหลัวช่าโลหิตนั้นคุ้นตา ไม่ใช่เพียงเพราะมันอายุมาก หากแต่เพราะมันหน้าเหมือนกับประมุขซางที่พวกเขาเห็นเมื่อคืนก่อนไม่มีผิด
หลังจากที่อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันย้อนกลับไปยังเขตหวงห้ามในครั้งนี้ อิ่งสือซันเห็นหน้าของประมุขซาง เพียงแต่อิ่งลิ่วซึ่งถูกอิ่งสือซันยืนขวางหน้าไว้กลับไม่รู้ว่าภาพวาดของตนบังเอิญไปเหมือนกับประมุขซางไม่มีผิด
ส่วนเยี่ยนจิ่วเฉานั้น เขาเดินทางไปยังสกุลซางอย่างเปิดเผย และได้ทักทายกับประมุขซาง
สายตาของเยี่ยนจิ่วเฉายังคงจับจ้องอยู่ที่ภาพวาด คล้ายกับกำลังใช้ความคิด
อิ่งลิ่วถามด้วยความแปลกใจว่า “เป็นไปได้อย่างไรกัน? สกุลซางเปลี่ยนปรมาจารย์ของสกุลตนเองให้เป็นหลัวช่ารึ? ไม่สิ จากที่ฟังประมุขซางพูด ดูเหมือนว่าเขาจะเต็มใจทำเช่นนั้นเอง ปรมาจารย์คนนี้บ้าไปแล้วหรือ? เหตุใดต้องเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นคนก็ไม่ใช่ ผีก็ไม่เชิงเช่นนี้ด้วย เป็นคนปกติไม่ชอบหรืออย่างไร ต้องไปเป็นหลัวช่าโลหิต?”
เห็นทีคงมีเพียงประมุขซือคงที่สามารถคลายความสงสัยนี้ได้ ทุกคนต่างหันไปมองประมุขซือคงเป็นตาเดียว พวกเขาคาดหวังว่าประมุขซือคงจะตอบคำถามของพวกเขา ส่วนประมุขซือคงเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
ความลับที่พวกเขาเลี้ยงราชาซิวหลัวระดับสูงไว้ก็หนักหนาพอที่จะทำให้ผู้คนตะลึงพรึงเพริด จากนั้นก็เลี้ยงหนอนพิษพลังหยินและหลัวช่าโลหิตไว้อีก ประมุขซือคงรู้สึกว่าประสบการณ์และสิ่งที่เขาร่ำเรียนมาล้วนแต่ถูกสกุลซางหักล้างไปแล้วสิ้น ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะมีความจริงถูกเปิดเผยเพิ่มขึ้นอีก นั่นก็คือปรมาจารย์สกุลซางกลายเป็นหลัวช่าโลหิต!
แต่หากจะบอกว่าเหนือความคาดหมายก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก
ประมุขซือคงนึกถึงครั้นตนเองยังเป็นหนุ่ม เขาได้ฟังเรื่องหนึ่งจากบิดาและเหล่าปรมาจารย์ในสกุล “นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่ท่านปรมาจารย์ยังเยาว์วัย ท่านปรมาจารย์ชื่นชอบวรยุทธ์เป็นชีวิตจิตใจ ซางชิวหานก็เช่นกัน ทั้งสองเป็นบุตรที่สกุลล้วนภาคภูมิใจ แต่ว่าสกุลซางในตอนนั้นมิได้ยิ่งใหญ่เท่าสกุลซางในตอนนี้ ซางชิวหานทำได้เพียงเป็นสหายร่วมเรียนกับท่านปรมาจารย์ ท่านปรมาจารย์เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งวัยเยาว์ บางครั้งก็ไม่เชื่อฟังอาจารย์ แต่ทุกครั้งที่เขาทำผิด ซางชิวหานกลับเป็นคนรับโทษแทน”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สายตาของประมุขซือคงก็ไปหยุดที่เยี่ยนจิ่วเฉา “ข้าได้ยินว่าเชื้อพระวงศ์ในจงหยวนก็เป็นเช่นนี้”
เยี่ยนจิ่วเฉาตอบ ‘อื้ม’ ครั้งหนึ่ง
ลูกหลานของราชวงศ์ล้วนแต่สูงศักดิ์ ไหนเลยจะมาถูกโบยถูกเฆี่ยนได้? แต่จะไม่ลงโทษก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงมีสหายร่วมเรียนใช้สำหรับรับโทษแทน
ประมุขซือคงจึงบอกว่า “สหายร่วมเรียนของท่านปรมาจารย์ไม่ได้มีซางชิวหานเพียงคนเดียว แต่เขาเป็นคนที่รับโทษแทนมากที่สุด มิใช่เพราะเหตุผลอื่นใดนอกจากว่าเขานั้นมีชาติกำเนิดต่ำที่สุด ข้าคิดว่านี่คือจุุดเริ่มต้นของความแค้น”
อิ่งลิ่วร้อง ‘อา’ ออกมา แล้วบอกว่า “เพราะเหตุผลนี้ เขาจึงฝึกจนตนเองกลายเป็นหลัวช่าโลหิตหรือ?”
ประมุขซือคงส่ายหน้า “เรื่องนี้ยังเล็กน้อย ซางชิวหานมีพื้นฐานดี เมื่อเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน นอกจากปรมาจารย์แล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ คนอื่นๆ ล้วนแต่มีตระกูลหนุนหลัง แอบเชิญอาจารย์มาสอนบุตรหลาน ซางชิวหานเป็นคนเดียวที่พึ่งพาความสามารถของตนเอง เขาพยายามเรื่อยมาจนเหล่าอาจารย์เห็นความสำคัญของเขา วรยุทธ์ที่อาจารย์สั่งสอนเขาเพิ่มพูนขึ้น คนอื่นๆ นับวันยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา เว้นแต่เพียงคนเดียว ที่ไม่ว่าอย่างไรก็สู้เขาไม่ได้”
“ปรมาจารย์ซือคงหรือ?” อิ่งลิ่วถาม
ประมุขซือคงพยักหน้า “มิผิด ก่อนหน้านี้ข้าบอกไปแล้ว ท่านปรมาจารย์ชื่นชอบวรยุทธ์เป็นชีวิตจิตใจ ซางชิวหานก็เช่นกัน ถ้าหากเทียบกันเรื่องความพากเพียร แต่บางครั้งพรสวรรค์ก็ไม่อาจชดเชยได้ด้วยความพยายาม ซางชิวหานไม่เคยยอมรับว่าตนเองด้อยว่า เขาคิดว่าตนเองพ่ายแพ้เพียงเพราะพื้นฐานความรู้ เขาไม่ใช่ลูกจากภรรยาเอกของสกุลซาง เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงมิได้ถ่ายทอดความรู้ให้เขาทั้งหมด”
“แต่…ที่จริงแล้วอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดให้เขา?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมด” ประมุขซือคงกล่าว
ทุกคนมุมปากกระตุก ยังจะบอกอีกว่าไม่ใช่เพราะพื้นฐานความรู้
ประมุขซือคงกล่าวว่า “อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่คนสกุลซือคง เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจแพร่งพรายให้คนนอกรู้ กระนั้นท่านปรมาจารย์ก็ใจกว้าง เมื่อซางชิวหานบอกว่าตนไม่มีวิชา ท่านปรมาจารย์จึงถ่ายทอดวิชาอายุวัฒนะให้เขา”
ทุกคนมุมปากกระตุกอีกครั้ง ท่านปรมาจารย์นี่ช่าง…ไม่รู้จะสรรหาคำใดมาบรรยาย
ประมุขซือคงพูดต่อว่า “สิ่งที่ควรเอ่ยถึงก็คือ ในตอนนั้นท่านปรมาจารย์ยังเยาว์วัยนัก วิชาอายุวัฒนะของเขายังไม่แก่กล้า เขาบรรลุเพียงระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นที่ซางชิวหานพ่ายแพ้แก่เขา ย่อมไม่ใช่เพราะวิชา ซางชิวหานกลับไปฝึกฝนวิชาอายุวัฒนะ แต่กลับพบว่าตนเองทำไม่ได้ เขาจึงคิดว่าวิชาที่ท่านปรมาจารย์ถ่ายทอดให้เขานั้นเป็นของปลอม ประเด็นก็คือวิชาอายุวัฒนะนี้ แม้แต่ลูกหลานสกุลซือคง ก็ยังมีเพียงไม่กี่คนที่ฝึกสำเร็จ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนนอก ความปรารถนาดีของท่านปรมาจารย์กลับถูกคิดว่าเป็นการประสงค์ร้าย หลังจากนั้นซางชิวหานก็บาดเจ็บภายใน ทำให้เขายิ่งสงสัยว่าวิชาที่ท่านปรมาจารย์ถ่ายทอดให้เขานั้นเป็นของปลอม ตั้งแต่นั้นมา ซางชิวหานก็ยิ่งเกลียดท่านปรมาจารย์เข้ากระดูกดำ
ซางชิวหานฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหนัก ท่านปรมาจารย์ฝึกหนึ่งชั่วยาม เขาฝึกสองสามชั่วยาม หลายปีผ่านไป วรยุทธ์ของซางชิวหานก็รุดหน้าไปอย่างมาก แต่เขาก็ยังไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับท่านปรมาจารย์ ซางชิวหานรู้สึกริษยาจนแอบลอบเข้าไปยังหอตำราของสกุลซือคง และขโมยตำราวิชาลับของสกุลซือคงไป
อันที่จริง ข้าเองก็ไม่เคยเห็นตำราฉบับนั้น สกุลซือคงมีวิชาดั้งเดิมของบรรพบุรุษ ลูกศิษย์สกุลซือคงไม่สามารถฝึกได้ ก่อนหน้านี้ข้าก็สงสัยว่าคืออะไร แต่ตอนนี้ข้าเริ่มจะเข้าใจแล้ว ตำราฉบับนั้น ทำให้ซางชิวหานกลายเป็นหลัวช่าโลหิต!”
“สกุลซือคงก็นับว่ามีความผิด…” ชิงเหยียนเลิกคิ้ว
ประมุขซือคงหัวเราะอย่างขมขื่น “สกุลซือคงของพวกเราเก็บรักษามันมานานหลายปี ให้ความเคารพตำราบรรพบุรุษ ไม่มีใครนำออกมาฝึก ซางชิวหานมีใจมุ่งร้าย นั่นหมายความว่าสกุลซือคงของข้าก็มีส่วนผิดรึ?”
ชิงเหยียนพึมพำ “แต่สกุลซือคงของพวกท่านเอาแต่จะบังคับให้สตรีศักดิ์สิทธิ์แต่งงาน ก็ไม่ใช่ดีเด่ตรงไหน!”
ประมุขซือคงแทบกระอักเลือด
กล่าวตามตรง สกุลซือคงแต่งงานกับสตรีศักดิ์สิทธิ์จำนวนไม่น้อย แต่ที่เป็นการบังคับแต่งงาน…มีเพียงท่านปู่ของเขาเท่านั้นที่หน้ามืดตามัว ท่านปู่ทำความผิดที่ไม่น่าให้อภัย ก่อนตายเขาก็ยังคงรู้สึกเสียใจ รู้สึกผิดต่อสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอี แต่จะมีประโยชน์อันใด คนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นคืนชีพ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่อาจย้อนคืน
“เรื่องในอดีตเอาไว้ตกลงกันภายหลัง” เยี่ยนจิ่วเฉาเอ่ยปาก “หลัวช่าโลหิตฝึกวิชาของสกุลซือคง เช่นนั้นสกุลซือ
คงก็คงมีวิชาที่ใช้ต่อกรกับเขา?”
“ไม่มี” ประมุขซือคงส่ายหน้าด้วยความเศร้าใจ หรืออาจเป็นเพราะหลัวช่าโลหิตนั้นแข็งแกร่งเกินไป ทั้งยังไม่มีทางควบคุม บรรพบุรุษจึงไม่อนุญาตให้ฝึกวิชานี้ “วิชาอายุวัฒนะสามารถใช้ควบคุมมันได้ แต่ว่า…เมื่อใดที่ปรมาจารย์สกุลซางกลายเป็นราชาหลัวช่า เมื่อนั้นเกรงว่าแม้แต่วิชาอายุวัฒนะก็คงทำอะไรไม่ได้”
ปลายนิ้วเรียวของเยี่ยนจิ่วเฉาเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ “ทุกสิ่งในใต้หล้ามีสมดุลซึ่งกันและกัน หลัวช่าโลหิตย่อมต้องมีจุดอ่อน”
ความคิดปรากฏขึ้นในสมองของชิงเหยียน “พวกเรามีหลัวช่าน้อยไม่ใช่หรือ? จับมันมาทดลอง ก็อาจหาจุดอ่อนของหลัวช่าน้อยพบก็เป็นได้”
อิ่งลิ่วถามว่า “ทดลองอย่างไร?”
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ ชิงเหยียนก็ยกเครื่องทรมานแหลมและเย็นเยียบเข้ามา บนเครื่องทรมานมียาพิษขวดใหญ่วางอยู่
อิ่งลิ่วหยิบตะขอเหล็กและมีดสั้นปลายแหลมขึ้น แล้วพูดขึ้นอย่างหมดความอดทนว่า “เอาของพรรค์นี้มาทรมานเด็ก จะไม่มากเกินไปหรือ?”
ชิงเหยียนไม่ตอบ เขามองไปยังอิ่งสือซัน อิ่งสือซันพูดด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าวว่า “มันไม่ใช่เด็ก มันคือปีศาจ ปีศาจไม่ใช่มนุษย์”
หลัวช่าน้อยนั่งอยู่บนชิงช้าอย่างโดดเดี่ยวเพียงครู่หนึ่ง มันไม่กล้ารอให้เยี่ยนจิ่วเฉาพบตัว ก่อนที่เยี่ยนจิ่วเฉาจะกลับไปถึงห้อง มันจึงรีบกลับไปก่อน และใช้โซ่เหล็กนิลล่ามตนเองไว้
ราชาซิวหลัวสองคนฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือมองไปยังหลัวช่าน้อย เมื่อเห็นว่ามันยังอยู่ จึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าฟ้ามืด ใกล้ถึงเวลาอาหารของมันแล้ว พวกเขาหยิบขวดใบหนึ่งออกมา เทยาโลหิตลงบนพื้น จากนั้นก็เดินอาดออกไป
พวกเขาต้องไปกินข้าว
หลัวช่าน้อยปลดโซ่เหล็กนิลแล้วกระโดดลงจากเก้าอี้ มันอ้าปากกินยาโลหิต ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาดังมาจากด้านข้าง หลัวช่าน้อยชะงักไป มันรีบร้อนกลับขึ้นไปบนเก้าอี้ทันใด
เด็กๆ วิ่งเล่นกันตลอดช่วงบ่าย ตอนนี้ท้องจึงร้องโครกครากแล้ว
อาหารที่อวี๋หวั่นให้ห้องครัวเตรียมนั้นคือบัวลอยที่เด็กๆ ชื่นชอบเป็นที่สุด แม้ว่ารสชาติจะไม่เหมือนกับที่หนานจ้าว แต่ก็แลดูประณีตน่ากินเหลือเกิน เด็กๆ ตื่นเต้นกันยกใหญ่
“ข้าขอสองชาม!” เสี่ยวเป่าพูด
“ข้าขอสามชาม!” เอ้อร์เป่าพูด
ข้าขอสี่ชาม! ต้าเป่าพูดในใจ
“สองชามก็พอ” อวี๋หวั่นบอกพวกเขา พลางเหลือบมองเด็กๆ “อีกประเดี๋ยวจะกินข้าวแล้ว อย่ากินเยอะ”
พูดจบ เธอก็ตักบัวลอยให้เด็กๆ คนละชาม พร้อมกับหยิบช้อนไม้ใส่ แล้วพูดเสียงค่อยว่า “เพิ่งขึ้นจากเตา ระวังร้อน”
เก้าอี้ค่อนข้างสูง เด็กทั้งสามปีนขึ้นไปอย่างเงอะๆ งะๆ จากนั้นเมื่อทั้งสามนั่งเรียงกันแล้ว ก็หยิบช้อนไม้ขึ้นมา คนไปเป่าไป
หลัวช่าน้อยเกาะอยู่นอกประตู มันยื่นศีรษะน้อยๆ ออกไป ดวงตาสีแดงก่ำเบิกกว้าง จับจ้องไปยัง…ชามในมือของเด็กทั้งสาม
เสี่ยวเป่าทนไม่ไหว ตักบัวลอยขึ้นมาคำใหญ่มาจ่อที่ปาก เป่าฟู่ๆ สองสามครั้ง จากนั้นก็งับเข้าปากทันที
ร้อนจริงๆ!
ฟู่ๆ~
หลัวช่าน้อยอ้าปาก
เอ้อร์เป่าก็ตักขึ้นมาช้อนหนึ่ง “ท่านแม่ เป่า”
อวี๋หวั่นเป่าให้ แล้วลูบศีรษะของเขาด้วยความเอ็นดู “เอาละ ไม่ร้อนแล้ว”
“อื้ม!” เอ้อร์เป่าพยักหน้า งับบัวลอยในช้อนเข้าปาก หลับตาพริ้มด้วยความอร่อย
สำหรับเด็กทั้งสามแล้ว บัวลอยนี้ก็เป็นเพียงอาหารเรียกน้ำย่อย เมื่อทั้งสามกินบัวลอยหมด อวี๋หวั่นก็กำลังเก็บสมุนไพรที่ตากไว้ในเรือนด้านหลัง ทั้งสามกระโดดลงจากเก้าอี้ วิ่งเตาะแตะไปหาท่านแม่
ในห้องไม่มีคนแล้ว หลัวช่าน้อยรีบปราดเข้าไปนั่งบนเก้าอี้
มันชะงักไป ไม่รู้ว่านึกถึงอะไร จากนั้นก็กระโดดลงจากเก้าอี้ แล้วเลียนท่าทางเงอะงะของเด็กทั้งสาม
เขานั่งลง หยิบช้อนของเด็กๆ ขึ้นมาคันหนึ่ง ตักลงไปในชามว่างเปล่า แล้วจ่อไปที่ปาก ฟู่ๆ~
จากนั้นก็ตักลงไปอีก ยื่นไปด้านข้าง รออยู่ครู่หนึ่ง ราวกับกำลังให้คนอื่นเป่าให้ เขาพยักหน้า แล้วจึงงับช้อนว่างเปล่าเข้าปาก มันเอียงคอ แล้วเลียนท่าทางการกินของเด็กทั้งสาม
……………..