หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 450.2 หลัวช่าน้อยไร้เทียมทาน! สยบสกุลซางให้สิ้น! (2)
- Home
- หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2]
- บทที่ 450.2 หลัวช่าน้อยไร้เทียมทาน! สยบสกุลซางให้สิ้น! (2)
ฟากนี้ ขณะที่หลัวช่าน้อยกำลังเล่นสนุกกับไข่ดำทั้งสาม สกุลซางที่อยู่อีกฟากหนึ่งก็พบเบาะแสเกี่ยวกับหลัวช่าน้อย
องครักษ์ในชุดพ่อค้าไปพบกับประมุขซางที่ห้องหนังสือ “ท่านประมุข เราพบเบาะแสของหลัวช่าน้อยแล้ว”
“โอ้? มันอยู่ที่ใดรึ?” ประมุขซางถาม
“สกุลซือคง!” องครักษ์ในชุดพ่อค้ากล่าว
ฝ่ามือใหญ่ของประมุขซางกำแน่น กล่าวด้วยแววตาลึกล้ำ “ไอ้สกุลซือคงสมควรตาย สอดไปเสียทุกเรื่อง! ข้าไม่ได้สั่งให้พวกเจ้าระวังหรือ? เหตุใดสกุลซือคงยังรู้เรื่องการมีอยู่ของมัน?”
องครักษ์ในชุดพ่อค้าก้มหน้ากล่าว “ข้าน้อยก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น ทั้งที่ระมัดระวังเป็นอย่างมากแล้ว ไม่รู้เหตุใดยังถูกสกุลซือคงจับตามอง!”
ประมุขซางกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไอ้กระจอกซือคงพวกนั้น มีหรือจะแย่งคนจากมือพวกเจ้าไม่ได้?”
องครักษ์ในชุดพ่อค้ากล่าวอย่างละอายใจ “ข้าน้อย… ข้าน้อยติดกับล่อเสือออกจากถ้ำ”
“ไร้ประโยชน์!” ประมุขซางตบโต๊ะ!
เขาลืมไปแล้วว่าตนเองก็เคยถูกแผนหลอกล่อของอีกฝ่าย ไร้ประโยชน์จริงๆ คือใครกันแน่?
“ท่านประมุข เราจะทำเช่นไรกันต่อ?” องครักษ์ในชุดพ่อค้าเอ่ยถาม
ประมุขซางเหลือบมองไปยังทิศของเขตต้องห้าม “ราชาหลัวช่าใกล้จะออกมาแล้ว เจ้านั่นเขาทะนุถนอมเลี้ยงดู ทั้งยังซ่อนไม่ให้พวกเรารู้ เห็นได้ว่าเขาสนใจมันมาก หากสกุลซือคงใช้มันข่มขู่เขา สถานการณ์ก็คงไม่เป็นผลดีต่อสกุลซางของเรา”
“เช่นนั้น…” องครักษ์มองประมุขซางอย่างระมัดระวัง
ประมุขซางหรี่ตา “เจ้าไปเตรียมรถ ข้าจะไปหมิงซานด้วยตัวเอง!”
เวลาเที่ยงตรง รถม้าสกุลซางก็มาถึงสกุลซือคง
“ไปรายงานทีว่าข้าต้องการพบประมุขของพวกเจ้า” ประมุขซางยกม่านขึ้น กล่าวกับองครักษ์สกุลซือคงที่กำลังเฝ้ายาม
ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นบิดาของฮูหยินซือคง องครักษ์สกุลซือคงไม่กล้าทำให้เขาลำบากใจ จึงไปส่งเรื่องให้เขา
แม้สกุลซางจะมีความทะเยอทะยาน ทว่าฮูหยินซือคงกลับไร้เดียงสา ประมุขซือคงไม่ได้บอกให้นางรับรู้ถึงความไม่ลงรอยของสองตระกูล และหลีกเลี่ยงให้นางไปพบกับประมุขซางนอกประตูจวนซือคง
ประมุขซางยังคงนั่งอยู่บนรถม้า กล่าวด้วยรอยยิ้มเรียบเฉย “บุตรเขยหมายความเช่นไร? ไม่เชิญกระทั่งข้าซึ่งเป็นพ่อตาเข้าไปนั่งในจวนหรือ?”
ประมุขซือคงกล่าวอย่างไม่ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่ง “แล้วท่านพ่อตาหมายความเช่นไร? พบเจ้าเมืองแห่งหมิงตูแล้ว ก็ยังไม่ลงจากรถม้ามาแสดงความเคารพสักหน่อยหรือ?”
ประมุขซางสำลัก ประกายเยียบเย็นวาบผ่านดวงตา เขาลดม่านลงอย่างแผ่วเบา เดินลงจากรถม้า แต่หาใช่เพื่อทำความเคารพประมุขซือคง กลับเอ่ยอย่างจองหองว่า “กล่าวตามตรง ที่ข้ามาในวันนี้เพื่อบอกพวกเจ้าสกุลซือคงให้คืนของมา”
“โอ้ ของอันใดหรือ?” ประมุขซือคงถามอย่างจงใจ
ประมุขซางหัวเราะเย้ยหยัน “เจ้าไม่ต้องเสแสร้ง หลัวช่าน้อยเรื่องใหญ่เช่นนั้น เจ้าที่เป็นถึงผู้นำตระกูลจะไม่รู้เรื่องเชียวหรือ?”
“เช่นนั้นท่านประมุขซางก็ยอมรับแล้วว่า สกุลซางสร้างปีศาจเองโดยพลการ?” ประมุขซือคงกระทั่งคำเรียกก็เปลี่ยนไป
ประมุขซางกลับไม่สนใจว่าเขาจะเรียกตนว่าพ่อตาหรือไม่ มาถึงจุดนี้แล้ว หากกล่าวว่าทั้งสองตระกูลไม่ได้ผิดใจกันก็คงไม่มีใครเชื่อ เขากล่าวอย่างไม่เกรงกลัว “หมิงตูมีกฎข้อใด ไม่อนุญาตให้ตระกูลขุนนางใหญ่สร้างหลัวช่าโลหิตหรือ?”
นั่นก็…ไม่มีจริงๆ หลัวช่าโลหิตเป็นความลับของสกุลซือคง ไม่มีใครคาดคิดว่าจะตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ดังนั้นสกุลซือคงจึงมีเพียงคำสอนของปรมาจารย์ มิได้ตั้งเป็นกฎของเมือง
“เจ้าขโมยตำราลับของสกุลซือคง เรื่องนี้ต้องถูกลงโทษ!” ประมุขซือคงกล่าวอย่างเย็นชา
ประมุขซางเยาะเย้ย “เจ้ามีหลักฐานใดพิสูจน์ว่าตำราลับนั่นเป็นของสกุลซือคงของพวกเจ้า”
นี่…ก็ไม่มีอีกจริงๆ หรือกระทั่งประโยคนั้น หลัวช่าโลหิตเป็นความลับของสกุลซือคง นอกจากคนสกุลซือคงแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดในหมิงตูที่รู้เรื่องตำราลับนั่น เมื่อต่างฝ่ายต่างยึดถือคำพูดของตน ก็ยากจะบอกว่าใครโกหก
ประมุขซางกล่าวอย่างช้าๆ “เช่นนั้น เจ้าไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าข้าขโมย แล้วข้าก็มิได้ละเมิดกฎเมือง เช่นนั้นเชิญสกุลซือคง ส่งตัวหลัวช่าสกุลซางคืนมาเสีย!”
ประมุขซือคงยังเย้ยหยัน “เจ้ามีหลักฐานใดพิสูจน์ว่าหลัวช่าอยู่ที่สกุลซือคง?”
“เจ้ากล้าให้ข้าค้น?” ประมุขซางกล่าว
“สกุลซือคงเป็นที่ที่เจ้าค้นได้ตามใจรึ?” ประมุขซือคงกล่าว
ประมุขซางยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี เจ้าดื้อดึงไม่ยอมแพ้ ยืนกรานจะครอบครองสิ่งที่เป็นของสกุลซาง สถานะข้าไม่อาจเทียบเจ้า จำต้องฟังเจ้า มิสู้เชิญผู้คนในเมืองหมิงตูมาตัดสิน ดูซิว่าอาศัยเพียงตำแหน่งเจ้าเมืองของเจ้า จะทำให้เจ้าปล้นสิ่งของตระกูลขุนนางใหญ่ตามใจตนได้หรือไม่?”
“เจ้า!” ประมุขซือคงฉุนเฉียว
ประมุขซางข่มขู่ว่า “เรื่องที่ท่านปู่ของเจ้าบังคับครอบครองสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอีในยามนั้น ข้าก็ไม่รังเกียจหากต้องกล่าวความจริงออกไป”
ประมุขซือคงโกรธจนหน้าเขียว มือที่กำแน่นสั่นระริก
ในยามนั้นปู่ของเขาใส่ร้ายสามีของสตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอี ทั้งยังพยายามบังคับให้สตรีศักดิ์สิทธิ์หลานอีแต่งงานด้วย นี่เป็นมลทินที่สกุลซือคงไม่อาจลบล้าง หากเป็นเมื่อก่อน เรื่องฟอนเฟะในตระกูลจะแพร่ก็แพร่ไปแล้ว ทว่าบัดนี้เห็นได้ชัดว่าสกุลซางมุ่งร้าย ต้องการใช้สิ่งนี้โจมตีสกุลซือคง เพื่อบีบให้สกุลซือคงออกไป แล้วขึ้นเป็นเจ้าเมืองคนใหม่แห่งหมิงตู สกุลซางไม่ได้เรื่อง หากเป็นไปตามปรารถนาของเขา ไม่รู้ว่าหมิงตูจะพินาศล่มจมเช่นไร
“ทำไม? เจ้ายังต้องคิดอีกหรือ?” ประมุขซางเผยยิ้มมองประมุขซือคง มีประโยคหนึ่งกล่าวว่า ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด ตนเป็นพ่อตาของเขา แล้วเหตุใดแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเขาจะสยบไม่ได้?
ประมุขซือคงมองเขาด้วยสายตาล้ำลึก “ข้ารับปากว่าเจ้าจะได้พบหลัวช่าน้อย แต่ข้ามีข้อแม้”
“โอ้?” ประมุขซางเลิกคิ้ว
“เจ้าไม่อาจบังคับมัน” ประมุขซือคงกล่าว
ประมุขซางหรี่ตา “หมายความเช่นไร?”
“ความหมายก็คือ หากหลัวช่าน้อยเต็มใจไปกับเจ้า เราจะไม่ห้าม แต่หากมันยืนกรานที่จะอยู่ ท่านก็เอามันไปไม่ได้!” อวี๋หวั่นที่ไม่รู้ว่ามาตั้งแต่เมื่อไร โผล่จากด้านหลังประมุขซือคง เดินไปหาประมุขซางอย่างไม่ทุกข์ร้อน
หน้ากากบนใบหน้าของอวี๋หวั่นหลุดออกแล้ว เผยให้เห็นรูปลักษณ์เดิมของเธอ
นี่คือใบหน้าที่สตรีศักดิ์สิทธิ์สวมในวันนั้นมิใช่หรือ? ประมุขซางเหลือบมองอวี๋หวั่นอย่างครุ่นคิด แม้จะเป็นใบหน้าเดียวกัน แต่เมื่ออยู่บนร่างของสตรีศักดิ์สิทธิ์และอวี๋หวั่นช่างดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ประมุขซางรู้สึกคล้ายกับเคยเห็นใบหน้านี้ที่ใดสักแห่ง “เจ้า…”
“ข้าอันใดกัน? ประมุขซางมาตามหาหลัวช่าน้อยมิใช่หรือ?” อวี๋หวั่นขัดความคิดของเขา “หากตกลง ข้าจะให้หลัวช่าน้อยออกมาหาท่าน แต่หากไม่ตกลง ท่านก็แค่ไปตามชาวบ้านทุกคนในหมิงตู แล้วบอกว่าหลัวช่าเป็นของสกุลท่าน ส่วนข้าก็บอกว่ามันเป็นของสกุลข้า!”
ประมุขซางจู่ๆ ก็นึกออกจึงกล่าวว่า “เจ้าหนู ช่างกล้าหาญยิ่งนัก คนที่ปลอมเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ในวันนั้นก็คือเจ้ากระมัง?”
“ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ต้องการพบหลัวช่าแล้ว เช่นนั้นลาก่อน” อวี๋หวั่นคร้านจะเสวนาเรื่องนี้กับเขา พลันหันหลังเดินจากไป
ประมุขซางรั้งอวี๋หวั่นไว้ “ช้าก่อน ข้าตกลง จะไม่บังคับมันเด็ดขาด”
ล้อเล่นอันใด?
หากพาหลัวช่าออกมา คนพวกนี้หยุดยั้งราชาซิวหลัวระดับสูงของเขาได้หรือ?
อวี๋หวั่นกวักมือไปทางจวนซือคง
เงาร่างผอมบางร่างหนึ่งเดินออกมา
“นี่ก็คือหลัวช่าน้อยเองหรือ?” ประมุขซางพึมพำ เขาเพิ่งเห็นหลัวช่าน้อยเป็นครั้งแรก รู้สึกเพียงว่าอีกฝ่ายธรรมดากว่าที่คิดไว้มาก หากไม่พยายามรับรู้ลมหายใจของมันให้ดี ก็ยากที่จะไม่คิดว่ามันเป็นเพียงเด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่ง
ประมุขซางหยิบยาม็ดโลหิตออกมา นี่ไม่ใช่ยาคุณภาพต่ำอย่างที่พวกอวี๋หวั่นทำจากเลือดสัตว์ มันเป็นยาโลหิตระดับสูง ที่แม้แต่ปรมาจารย์สกุลซางก็ยังยากจะต่อต้าน เจ้าตัวจ้อยนี่ต้องอยากได้น้ำลายหกเป็นแน่
ผลเป็นไปตามที่คาดไว้ ทันทีที่หลัวช่าน้อยได้กลิ่นหอม น้ำลายก็ไหลทะลักออกมา
“ให้” ประมุขซางยื่นยาโลหิตไปด้านหน้า
หลัวช่าน้อยสูดน้ำลาย เดินไปหาประมุขซาง
ประมุขซางเขย่าขวดในมือ เอ่ยเกลี้ยกล่อม “กลับไปกับข้า ขวดนี้ก็จะเป็นของเจ้า”
หลัวช่าน้อยกะพริบตามองประมุขซาง พลางเลียมุมปาก
วินาทีถัดมา มันเขย่งเท้าคว้าขวด แล้วปล่อยหมัดใส่ประมุขซางจนปลิวไป!
………………………