หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 476 ไข่ดำลึกลับ
หลังจากล่องเรือมาหลายวัน อากาศดี คลื่นลมสงบ
พวกเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นอยู่บนเรือขนาดใหญ่ถึงสามสี่เท่าของเรือสำเภาเรือน เรือมีระดับน้ำสูง แล่นไปได้อย่างมั่นคง นี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับอวี๋หวั่นที่กำลังตั้งครรภ์อย่างไม่ต้องสงสัย
หากเรือแล่นเร็วหรือโคลงเคลงเกินไป เธอก็จะเมาเรือ
อากาศร้อนขึ้นเล็กน้อย ทว่าลมทะเลกลับพัดพาให้รู้สึกสบายอย่างยิ่ง
อวี๋หวั่นยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือพิงราวกั้น ทอดสายตามองออกไปยังผืนน้ำที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา
“ฮูหยิน ตรงนี้แดดแรงยิ่งนัก” สาวใช้เดินมาพร้อมกับร่มกระดาษ และนำมากางให้อวี๋หวั่น
สาวใช้ผู้นี้ชื่อผิงเอ๋อร์ ถูกพาขึ้นเรือมาโดยเจ้าของเรือทั้งสามคน บอกว่าร่างกายเธอทำสิ่งใดไม่ค่อยสะดวก จะเป็นการดีหากมีสาวใช้หลายคนคอยปรนนิบัติดูแล
ผิงเอ๋อร์ตัวเล็ก หน้าตาไม่นับว่าสะสวย ไม่เป็นที่สะดุดตาในหมู่ผู้คน แต่นางกลับทำสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากฝูหลิงและจื่อซูแล้ว สาวใช้ที่ได้เรื่องที่สุดที่เคยใช้มาก็คือนาง
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าใด?” อวี๋หวั่นถาม
“สิบเจ็ดเจ้าค่ะ” ผิงเอ๋อร์ตอบ
อวี๋หวั่นบ่น “สิบเจ็ด ได้เวลาออกเรือนแล้ว”
ฝูหลิงและจื่อซูก็อายุสิบเจ็ดแล้วเช่นกัน รอพวกเขากลับไปถึงจวนเห้อเหลียนที่หนานจ้าว ก็จะเตรียมการแต่งงานให้กับพวกนางทั้งสอง
“บ่าวไม่แต่งงานเจ้าค่ะ” ผิงเอ๋อร์กล่าว
“หือ?” อวี๋หวั่นมองนางอย่างไม่เข้าใจ
ผิงเอ๋อร์กระซิบ “บ่าวอยากรับใช้ฮูหยินไปตลอดชีวิตเจ้าค่ะ”
อวี๋หวั่นหัวเราะคิกๆ
ผิงเอ๋อร์มองอย่างตกตะลึงเล็กน้อย สตรีอวบอ้วนที่งดงามได้เช่นนี้ นานทีจะเจอสักครา ทว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นของนางมาจากใจจริง ครอบครัวนางยากจน นางถูกขายให้ทำงานที่ท่าเรือตั้งแต่เด็ก ไม่ว่างานสกปรกหรือยากลำบากใดนางล้วนเคยทำ เจ้านายนางก็เคยปรนนิบัติรับใช้มาหลายคน แต่ไม่มีเจ้านายคนใดมีนิสัยและอารมณ์ดีเช่นฮูหยินผู้นี้
ฮูหยินจิตใจกว้างขวาง เสื้อผ้าที่ตบรางวัลให้นางก็เป็นเสื้อผ้าใหม่ บางครั้งนางทำผิด ฮูหยินก็ไม่ตบตีดุด่านาง เจ้านายเช่นนี้ หากได้รับใช้ไปตลอดชีวิต ก็ไม่มีสิ่งใดดีกว่านี้อีกแล้ว
“เจ้าเนี่ย…” อวี๋หวั่นยิ้มมองทะเลกว้างไร้ที่สิ้นสุด “ข้ามาจากแดนไกล หากเจ้ามากับข้า เจ้าจะกลับบ้านไม่ได้อีกแล้ว”
ประเทศมรกต หากไม่ใช่มาเพื่อตามหาราชาพ่อมด เธอคงไม่มีวันผ่านมาที่นี่
“อา…” ผิงเอ๋อร์ตื่นตกใจ
อวี๋หวั่นยิ้ม ยกมือถอดเสื้อคลุมออก “แดดร้อนแล้ว กลับห้องกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ ฮูหยิน!” ผิงเอ๋อร์เปลี่ยนไปถือร่มมือขวา และพยุงอวี๋หวั่นเดินไปที่ห้อง
เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว อวี๋หวั่นก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นเคย ราวกับมีคนเท้าเอวหัวเราะเสียงหมูออกมา
เท้าเธอหยุดชะงัก
เสียงหัวเราะนั้นหายไปแล้ว
“ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรหรือ?” ผิงเอ๋อร์สังเกตเห็นความผิดปกติ และถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่สบายตรงใด? ต้องการให้บ่าวไปตามหมอชุยหรือไม่?”
“ไม่ต้องหรอก” อวี๋หวั่นกล่าว เธอหาได้ไม่สบายแต่อย่างใด และถึงแม้ไม่สบายใจ แต่เธอเองก็เป็นหมอ ไม่สบายเพียงเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องใช้หมอเทวดาชุย
อวี๋หวั่นมองไปตามทิศทางของเสียง ซึ่งดูเหมือนจะดังมาจากห้องท้ายเรือ
“ผู้ใดพักอยู่ทางนั้น” เธอถามพร้อมชี้ไปที่ห้อง
“ฮูหยินถามถึงห้องใดเจ้าคะ?” ผิงเอ๋อร์กล่าวพลางมองไปตามทิศที่เธอชี้
“ก็…ห้องแถวนั้นละ” เธอไม่แน่ใจว่าเสียงหัวเราะมาจากห้องใดกันแน่
ผิงเอ๋อร์ยืนเขย่งเท้ามองไปรอบๆ แล้วกล่าวว่า “บางห้องเป็นห้องพักของแขก ห้องละแวกนั้นที่ฮูหยินกล่าวถึงน่าจะเป็นของนายเรือใหญ่ นายเรือรองและนายเรือสามเจ้าค่ะ”
“ข้าคงคิดมากไปเอง” อวี๋หวั่นทอดถอนใจ และกล่าวในใจว่า ตนคงถูกลมทะเลพัดนานเกินไปจนได้ยินเสียงหลอน มารดาและบุตรทั้งสามของเธอจะตามมาที่ทะเลได้อย่างไร? พวกเขาไปหนานจ้าวกับตาทวด ยามนี้ เกรงว่าคงอาศัยอยู่ที่จวนเห้อเหลียนอย่างสุขสันต์เริงร่ากับฮูหยินผู้เฒ่า ท่านลุง ท่านป้าสะใภ้และพี่เซิงแล้ว
“ข้าคงคิดถึงพวกเขามากเกินไป” อวี๋หวั่นกล่าว
ผิงเอ๋อร์กะพริบตาอย่างงุนงง ฮูหยินกำลังพูดอะไร? นางคิดถึงใคร?
อวี๋หวั่นไม่ได้กล่าวนอกจากนั้นมากมาย เธอเดินไปที่ห้องของตนกับเยี่ยนจิ่วเฉา แต่เดินไปได้สองสามก้าวก็ได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง บัดนี้อวี๋หวั่นทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอหันตัวกลับมาด้วยอย่างเร็ว ผิงเอ๋อร์ตกใจจนเหงื่อแตกแทนเธอ!
ฮูหยิน! ท่านกำลังตั้งครรภ์อยู่! อย่ารีบร้อนเช่นนั้นได้ไหมเจ้าคะ!
เมื่ออวี๋หวั่นมาถึงหน้าห้อง เสียงนั้นก็หายไปแล้ว
เธอผลักประตูห้องแรก นายเรือสามมองเธออย่างตกตะลึง
เธอผลักประตูห้องที่สอง นายเรือรองมองเธออย่างตกตะลึง
เหลือเพียงห้องสุดท้าย
อวี๋หวั่นสูดหายใจ ยื่นมือออกไป ผลักประตู——
เห็นนายเรือใหญ่นั่งถือขาไก่ที่กินไปครึ่งหนึ่งอยู่บนม้านั่ง เบื้องหน้าเขาเป็นโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยอาหารอันโอชะที่ชวนให้คนน้ำลายไหล เช่นหมูตุ๋น ขาหมูหมัก เป็ดพริกเกลือ ไก่ทอดกรอบและปูนึ่ง…มีทุกอย่างที่ต้องการ
นายเรือใหญ่กลืนกิน หยิบขาไก่ที่ยังไม่ได้แตะต้องยื่นให้อวี๋หวั่น “อยาก อยากกินสักหน่อยหรือไม่?”
“รบกวนแล้ว” อวี๋หวั่นค้อมตัวเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินจากไป
ทันทีที่เธอจากไป มืออ้วนเล็กสามมือก็ยื่นออกมาจากใต้โต๊ะ และคว้าขาไก่ทั้งสามไป!
ปัง!
ประตูเปิดออกอีกครั้ง!
นายเรือใหญ่ยังคงถือน่องไก่ที่กินไปครึ่งหนึ่ง ทว่าน่องไก่อีกสามชิ้นหายไปจากจาน
สายตาประหลาดใจของอวี๋หวั่นตกกระทบจานที่ว่างเปล่าในเสี้ยววินาที ดูเหมือนสังเกตเห็นความสงสัยของอวี๋หวั่น นายเรือใหญ่จึงรีบคว้าตีนไก่ที่ตุ๋นจนเปื่อยขึ้นมา แสดงให้อวี๋หวั่นเห็นว่าเขากินโดยไม่คายกระดูก!
อวี๋หวั่นกระแอมในลำคอ “รบกวนแล้ว”
“ฮูหยิน”
เมื่อเห็นอวี๋หวั่นออกจากห้องนายเรือใหญ่ถึงสองครั้ง ผิงเอ๋อร์ก็มีสีหน้าที่แปลกใจยิ่งกว่าเธอ ท่าทางจู่โจมอย่างฉับพลันขณะที่อีกฝ่ายเผลอของฮูหยินเมื่อครู่ หากไม่รู้ คงคิดว่าฮูหยินต้องการจับนายเรือใหญ่ทำอะไรๆ แล้ว
“ไปกันเถอะ” ครั้งนี้ อวี๋หวั่นยอมแพ้อย่างสมบูรณ์
คงเป็นเพราะเธอคิดถึงท่านแม่กับเด็กๆ มากจนทำให้ได้ยินเสียงหลอน เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตามมาที่นี่ ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้นายเรือสองสามคนบังหน้าให้พวกเขา
แม้คราวนี้ อวี๋หวั่นจะตัดใจกลับห้องของตน แต่ในที่สุดเธอก็กลับไปไม่ได้ ขณะที่เธอเดินออกจากทางเดิน จู่ๆ ร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาหาเธอจากด้านหน้า ขณะที่เกือบจะชนเธอกับผิงเอ๋อร์ เธอผลักผิงเอ๋อร์ออกไปด้านข้าง และยืมแรงดันตัวเองพิงกับกำแพงอีกฝั่ง
ร่างนั้นวิ่งผ่านพวกนางไป
“ฮูหยิน ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่!” ผิงเอ๋อร์ที่หลบพ้น ยื่นมือไปพยุงอวี๋หวั่น กลับนึกไม่ถึงว่าจะมีเงาคนสองสามคนวิ่งกลับมาอีกครั้ง
“อ๊า—” ผิงเอ๋อร์กรีดร้อง ปล่อยมือจากอวี๋หวั่น ถอยหลังไปหลายก้าว
เมื่อคนกลุ่มนั้นผ่านไป ผิงเอ๋อร์ก็กระทืบเท้าอย่างโกรธเคือง “ทำอะไรเนี่ย? วิ่งพุ่งไปมาบนเรือเช่นนี้ ไม่กลัวชนคนเลยหรือไร? ฮูหยิน ท่านเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?”
นางจับแขนของอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นส่ายหัว “ข้าไม่เป็นไร แต่—”
ขณะกล่าว เธอมองตามคนพวกนั้นที่วิ่งไปดาดฟ้า “ดูเหมือนเจ้าหนูนั้นจะมีเรื่อง”
“เจ้าหนูคนใดเจ้าคะ?” ผิงเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย
ทันทีที่สิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงน้ำกระจายดังสนั่น ตามด้วยเสียงคนตะโกนดังมาติดๆ “ตกน้ำแล้ว! รีบหยุดเรือ! มีคนตกน้ำ!”
อิ่งสือซันและอิ่งลิ่วตัวยืดตรงขึ้นฉับพลัน และกระโดดลงไปในน้ำ
ทั้งสองคว้าแขนคู่หนึ่งดึงขึ้นจากน้ำ!
เมื่อวางคนลงถึงพบว่าไม่ใช่อวี๋หวั่น แต่เป็นเด็กหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง
“อา…” อิ่งลิ่วตกตะลึง
ที่ที่เด็กหนุ่มตกลงไป เป็นที่ที่อวี๋หวั่นมักจะไปอาบแดด เมื่อทั้งสองได้ยินเสียงน้ำ แล้วมองไม่เห็นอวี๋หวั่น จึงคิดว่าเป็นอวี๋หวั่นที่ตกลงไปในน้ำ
“ชิ” อิ่งลิ่วปล่อยแขนของเด็กหนุ่มด้วยความรังเกียจ
อิ่งสือซันยืนขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เหตุการณ์นี้ ดึงดูดผู้โดยสารบนเรือให้มามุงดูพวกเขาทั้งสามคนด้วยความสงสัย
“ฮูหยิน อิ่งสือซันกับอิ่งลิ่ว” ผิงเอ๋อร์ชี้ไปที่ชายรูปงามสองคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
“ไป เข้าไปดูกันเถอะ” อวี๋หวั่นค่อยๆ เดินเข้าไป
เธอได้รับการดูแลจากนายเรือหลายคน ผู้โดยสารบนเรือจึงรู้ดีว่าเธอไม่ธรรมดา ทันทีที่เธอปรากฏตัว ฝูงชนก็หลีกทางให้เธอโดยอัตโนมัติ
เมื่ออิ่งสือซันและอิ่งลิ่วเห็นเธอก็ยกมือคำนับ “ฮูหยิน”
“อื้ม” อวี๋หวั่นพยักหน้ามองไปยังเด็กหนุ่มที่หมดสติ
อิ่งลิ่วพึมพำ “พวกเราตกใจแทบตาย คิดว่าเป็นฮูหยินที่ตกลงไปในน้ำ…เจ้าเด็กที่ใดนั่น เหตุใดถึงตกลงไปในน้ำได้?”
ผิงเอ๋อร์หวนนึกครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “เมื่อครู่เหมือนมีคนไล่ตามเขา เขาอาจถูกทำให้หวาดกลัวจนตกลงไปในน้ำหรือไม่?”
ชายสองสามคนด้านหลังกลุ่มฝูงชนมองหน้ากัน อดทนข่มความต้องการฆ่าที่กระเหี้ยนกระหือรือ หันหลังกลับไปที่ห้อง
อวี๋หวั่นดึงความสนใจกลับมาจากคนสองสามคนอย่างแนบเนียน เธอเอื้อมมือไปฉีกเสื้อผ้าของเด็กหนุ่ม ใช้สองมือกดหน้าอกเขาให้ของเหลวในช่องอกไหลออกมา
เด็กหนุ่มสำลักน้ำออกมาสองสามครั้ง ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างแผ่วเบา
เขาผิวพรรณบอบบางเนียนนุ่ม ใบหน้าสลักเสลา เป็นเด็กหนุ่มรูปงาม แต่เมื่อมองเห็นดวงตาของเขาชัดเจน ผู้โดยสารที่รายล้อมต่างก็อ้าปากค้าง!
………………………