หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 481.1 พี่จิ่วออกโรง (1)
ด้านหนึ่ง โจวอวี่เยี่ยนพบกับอวี๋หวั่น ส่วนอีกด้านหนึ่ง มู่ถิงซึ่งพลัดหลงกับอวี๋หวั่นก็พบกับอิ่งสือซัน
บนหลังของอิ่งสือซันมีร่างของโจวจิ่นที่ไม่ได้สตินอนอยู่
วินาทีที่เห็นโจวจิ่น สีหน้าของมู่ถิงก็ผ่อนคลายขึ้นมาก
กระนั้นเขาก็ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปหาพวกเขา แต่กลับมองด้วยความเคลือบแคลงใจ “หยุดอยู่ตรงนั้น”
“ทำไม” อิ่งสือซันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
มู่ถิงยื่นมือออกมา “ส่งมือมา”
อิ่งสือซันมองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ แต่ก็ยื่นมือออกไป
มู่ถิ่งแตะปลายนิ้วลงบนข้อมือของอิ่งสือซัน
“เจ้าจับชีพจรได้ด้วยหรือ? แต่ข้าไม่ได้ป่วย” อิ่งสือซันดึงมือกลับมา
“ข้าเพียงแต่อยากให้มั่นใจว่าเป็นอิ่งสือซันตัวจริง หรือว่าเป็นอาคมจากควันพรางตา” มู่ถิงพูดจบ ก็พบว่าอิ่งสือซันแลดูไม่ได้ตกใจเท่าไรนัก เขาหัวเราะ “ดูแล้ว เจ้าก็คงจะรู้สึกถึงความผิดปกติเหมือนกัน”
อิ่งสือซันตอบว่า “ทำไม มีเพียงพ่อมดอย่างพวกเจ้าหรือที่มองออกว่านี่คืออาคม หน่วยกล้าตายอย่างพวกข้ามองไม่ออก?”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” แม้มู่ถิงจะปฏิเสธ ทว่าในใจกลับอดรู้สึกทึ่งในตัวอิ่งสือซันไม่ได้ หน่วยกล้าตายอยู่ในยุทธภพได้เพราะวรยุทธ์ กระนั้นวรยุทธ์ของพวกเขา เมื่อต้องเผชิญกับอาคมที่แข็งแกร่งเช่นนี้กลับเทียบกันไม่ติด เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่คาดคิดว่าอิ่งสือซันจะมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
และนั่นก็ทำให้มู่ถิงมั่นใจว่าคนกลุ่มนี้ไม่ธรรมดา
อิ่งสือซันไม่ได้มีเวลาเหลือล้นจะมาเสวนากับมู่ถิง เขาพิจารณาพื้นที่โดยรอบ ต่อให้ควันพรางตาหนาเพียงใด แต่ขอเพียงเดินไปตามทาง สุดท้ายแล้วย่อมต้องมีจุดสิ้นสุด
มู่ถิงตามอิ่งสือซันไป สายตาของเขาจับจ้องไปยังศิษย์น้องเล็กซึ่งอยู่บนหลังของอิ่งสือซัน แล้วกล่าวว่า “ส่งศิษย์น้องมาให้ข้าดีกว่า เจ้าจะได้ตั้งใจสำรวจเส้นทาง”
“ไม่ต้อง เจ้าดูแลตัวเองให้ดีก่อน” อิ่งสือซันพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
มู่ถิงถูกพูดแทงใจดำ สีหน้าก็ดูย่ำแย่ขึ้นมา
ในตอนนั้นเอง ควันก็ค่อยๆ กระจายตัวไป ตรงหน้าของพวกเขามีป่าไผ่แห่งหนึ่ง สัตว์ประหลาดท่าทางดุร้ายก็พุ่งเข้าใส่พวกเขา
มู่ถิงขมวดคิ้วแน่น แล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว มันเป็นอาคม”
อิ่งสือซันชักกระบี่ออกมา ฟันไปยังงูพิษดัง ‘ฉับ’ เลือดสดสาดลงบนใบหน้าของมู่ถิง
มู่ถิงตะลึงงัน
อิ่งซือซันพูดแดกดันว่า “นี่ก็เป็นอาคมเหมือนกันหรือ?”
มู่ถิงปาดเลือดงูบนใบหน้า ทำตาโตอย่างเหลือเชื่อ อาคมของที่นี่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือ? เขาเป็นถึงพ่อมดระดับเสวียน สายตายังไม่เฉียบขาดเท่าหน่วยกล้าตาย…
อิ่งสือซันเป็นหน่วยกล้าตายที่ปีนขึ้นมาจากกองซากศพ แม้ว่าเขาจะไม่รู้วิชาอาคม แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าสิ่งนั้นอันตราย ยามที่สัตว์ร้ายฝูงนั้นพุ่งตรงมาหาพวกเขา เขาหลับตาลง โดยรอบเงียบสงัดลงทันใด มีเพียงเสียงของสิ่งที่คืบคลานเข้ามา ทำให้เขาขนลุกซู่
อิ่งสือซันเก็บกระบี่
มู่ถิงกำหมัดแน่น แล้วเดินตามไปด้วยสีหน้าซับซ้อน
หลังจากที่อวี๋หวั่นและโจวอวี่เยี่ยนออกจาก ‘ร้านน้ำชา’ ได้ไม่นาน ก็เดินเข้าไปในป่าแห่งหนึ่ง
โจวอวี่เยี่ยนมองไปยังหมู่ไม้สูงระฟ้าเหนือศีรษะ พร้อมกับดึงแขนเสื้อของอวี๋หวั่น “เจ้าว่า…นี่ก็เป็นอาคมเหมือนกันไหม?”
“เจ้าดูไม่ออกหรือ?” อวี๋หวั่นเด็ดดอกไม้ตรงหน้า
โจวอวี่เยี่ยนเร่งฝีเท้าตามไป มือข้างหนึ่งดึงแขนเสื้อของอวี๋หวั่น “ข้าไม่ได้เป็นแม่มดสักหน่อย จะไปมองออกได้อย่างไร?”
อวี๋หวั่นหัวเราะ “ท่านพ่อของเจ้าสอนลูกศิษย์ที่เก่งกาจเช่นนี้ เจ้าเป็นถึงคุณหนูของสำนัก แต่กลับไม่ได้รับการสืบทอดจากเขามาแม้แต่น้อย น่าเศร้าเสียจริง”
“ข้าไม่ได้อยากเป็นแม่มดสักหน่อย!” โจวอวี่เยี่ยนแค่นเสียงขึ้นจมูก
“โอ้?” อวี๋หวั่นตอบอย่างไม่ใส่ใจ
โจวอวี่เยี่ยนถอนหายใจ “ข้าได้ยินท่านพ่อข้าบอกว่าพ่อมดที่เก่งกาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงกฎธรรมชาติได้ แต่คนพวกนั้นมักจะมีจุดจบไม่ดี เจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องโทษทั้งห้าและความขาดแคลนทั้งสามหรือ?”
อวี๋หวั่นยังคงก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป มิได้สนใจนาง เมื่อโจวอวี่เยี่ยนเห็นว่าอวี๋หวั่นไม่ตอบ จึงทึกทักว่าเธอได้ยินแล้ว และยกมือไม้ขึ้นมาประกอบการอธิบาย “‘พ่อหม้าย แม่หม้าย กำพร้า ไร้บุตร และความพิการ’ ห้าสิ่งนี้คือโทษทั้งห้า ส่วนความขาดแคลนทั้งสามได้แก่ ‘เงินทอง ชีวิต และสิทธิ’ กฎแห่งธรรมชาติล้วนมีหลักของมันเอง ผู้ที่ฝ่าฝืนหรือขัดต่อกฎธรรมชาติย่อมถูกสวรรค์ลงโทษ!”
อวี๋หวั่นร้อง ‘อ้อ’ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นสำนักของพวกเจ้าก็เคยถูกสวรรค์ลงโทษมาก่อนหรือ?”
“เป็นพ่อมดทั่วไปไหนเลยจะทำเช่นนั้นได้?” โจวอวี่เยี่ยนเบ้ปาก พลางมองไปในป่า พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอาจคิดว่าอาคมเมื่อครู่แข็งแกร่ง แต่นั่นไม่ใช่วิชาไสยเวทที่นำพาโทษแห่งสวรรค์มาได้ แน่นอนว่าถ้าหากพวกเราถูกฆ่าตาย นั่นจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“เป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างไร?” อวี๋หวั่นถาม
โจวอวี่เยี่ยนตอบว่า “หากใช้ไสยเวททำร้ายคน อาจส่งผลย้อนกลับหาตัว เจ้ารู้จักพ่อมดขาวกับพ่อมดดำกระมัง? อย่างท่านพ่อข้า เรียกว่าพ่อมดขาว ปกติแล้วจะช่วยปัดเป่าเรื่องร้าย นำพาเรื่องดี ช่วยรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรทำนองนั้น ส่วนพ่อมดดำกลับรับเงินคนอื่น ไปทำลายสิ่งที่ไม่ควรทำลาย พ่อมดดำมักจะอายุสั้นด้วย!”
“อย่างนั้นหรือ?” อวี๋หวั่นพึมพำ
โจวอวี่เยี่ยนยกมือขึ้นเท้าเอว “เพราะฉะนั้นน่ะนะ จึงมีเรื่องเล่าว่าพ่อมดดำจำนวนไม่น้อยจะจับคนหนุ่มสาวไปดูดพลังหยาง เพื่อให้ตนเองมีอายุยืนยาวขึ้น!”
“ทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ?” อวี๋หวั่นชะงักฝีเท้า หันหลังกลับมามอง
โจวอวี่เยี่ยนยักไหล่ “ทุกคนต่างก็พูดกันอย่างนี้นะ! เอ๊ะ? เจ้าไม่ไปด้านหน้าแล้วหรือ? เจ้าจะไปไหน”
อวี๋หวั่นชักมีดสั้นออกมา
โจวอวี่เยี่ยนเห็นดังนั้น จึงรีบปิดปากเงียบ ทุกย่างก้าวที่เดินตามอวี๋หวั่นไปนั้นทั้งเงียบเชียบและระแวดระวัง
จะว่าไปก็น่าหัวร่อ นางเป็นถึงยอดฝีมือแห่งประเทศมรกต เมื่อถึงยามคับขันกลับต้องมาหลบด้านหลังสตรีมีครรภ์ที่ไร้วรยุทธ์
โจวอวี่เยี่ยนรู้สึกขายหน้า จึงกัดฟัน ดึงกระบี่ออกมา
ในตอนนั้นเอง อวี๋หวั่นก็ปราดเข้าไปด้านหน้า “ออกมา!”
“ฮูหยินน้อย! ข้าเอง!”
อิ่งสือซันโผล่ออกมาจากด้านหลังพุ่มไม้
“สือซัน?” อวี๋หวั่นรู้สึกโล่งอก อิ่งสือซันก้าวเข้ามา
“นี่! เจ้าระวังนะ อาจเป็นอาคม!” โจวอวี่เยี่ยนดึงอวี๋หวั่นไว้ด้วยความหวังดี
อวี๋หวั่นเขย่าขวดหยกซึ่งบรรจุหนอนพิษไว้ข้างใน “เจ้าวางใจเถอะ เขาเป็นตัวจริง”
โจวอวี่เยี่ยนลดกระบี่ลงอย่างกระอักกระอ่วน “อ้อ เกือบลืมไปว่าเจ้าปล่อยหนอนพิษใส่คนอื่น”
“ฮูหยินน้อย ระวัง!” อิ่งสือซันกระวีกระวาดเข้ามาตรงหน้าอวี๋หวั่น แล้วเข้าไปพยุงเธอซึ่งกำลังจะสะดุดขอนไม้แห้ง
“พวกเจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?” อวี๋หวั่นยิ้ม เมื่อเห็นว่ามู่ถิงเหงื่อโทรมกาย
อิ่งสือซันมองตามสายตาของอวี๋หวั่นไป “เจอกันระหว่างทางน่ะขอรับ จึงมาพร้อมกัน ฮูหยินน้อยมาพร้อมกับคุณชายหรือไม่ขอรับ?”
“เปล่า” อวี๋หวั่นส่ายหน้า
“ศิษย์พี่ใหญ่!” โจวอวี่เยี่ยนมองไปยังมู่ถิงซึ่งวิ่งตาลีตาเหลือกตามมา
มู่ถิงเหนื่อยจนแทบล้มลงคลานกับพื้น ไฉนเจ้าหน่วยกล้าตายคนนี้ถึงว่องไวเหลือเกิน ทั้งที่ยังแบกอีกคนหนึ่งไว้ที่หลัง…
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม?” โจวอวี่เยี่ยนมองเขาด้วยความเป็นห่วง
มู่ถิง มือข้างหนึ่งยันกับต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง มืออีกข้างหนึ่งกดหน้าอกซึ่งรู้สึกคล้ายกับกำลังจะระเบิด เขาพูดตะกุกตะกักเพราะหายใจไม่ทัน “ข้าไม่เป็นไร…จะ…เจ้าละ? เป็นอย่างไรบ้าง เจ้ามาอยู่กับฮูหยินน้อยเยี่ยนได้อย่างไร?”
“ข้าตกอยู่ท่ามกลางอาคม แล้วนางก็มาเจอข้า” แม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่เป็นอวี๋หวั่นที่พบนางเข้าจริงแท้แน่นอน มิเช่นนั้นตอนนี้นางคงถูกเงาผีนั่นหลอกจนเป็นบ้าตายไปแล้ว
“เด็กอยู่กับเจ้าที่นี่ เจ้าได้เจอกับท่านพ่อข้าหรือ?” ถ้าอวี๋หวั่นจำไม่ผิด ก่อนที่อิ่งสือซันจะไปออกไปสืบความ เขาส่งเด็กคนนี้ให้ท่านพ่อของเธอ
อิ่งสือซันส่ายหน้า “เปล่าขอรับ ข้าไม่ได้เจอนายท่าน”
อวี๋หวั่นชี้ไปยังโจวจิ่นบนหลังของเขา “เจ้า…เจ้าพาเด็กไปสำรวจเส้นทางด้วยหรือ?”
“ขอรับ” อิ่งสือซันพยักหน้า
อวี๋หวั่นชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็เข้าใจทุกอย่างในทันที
เธอพูดแดกดันตนเองว่า “มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ข้าพูดอยู่ พอมีควันลอยมาก็ไม่ได้ยินเสียงแล้ว พวกเราถูกอาคมเล่นงานเข้าตั้งแต่ลงจากเรือแล้ว”
อิ่งสือซันแลดูคล้ายกับกำลังใช้ความคิด “ฮูหยินหมายความว่า….”
“หลังจากที่ลงจากเรือ พวกเราถูกอาคมพรางตาไว้ ทำให้เดินกระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง ทั้งยังคิดไปว่าอยู่ด้วยกันตลอด…” อวี๋หวั่นพูดพลางมองไปยังมือของตน “หลังลงจากเรือ เยี่ยนจิ่วเฉาก็จูงมือข้าไว้ตลอด ในตอนนั้นเขาน่าจะยังเป็นตัวจริง เขาหายไปตอนไหนนะ ใช่แล้ว! ตอนที่ไปหาโจวอวี่เยี่ยน เพื่อบอกนางว่าให้ลุกให้ข้านั่ง!”
ในตอนที่เยี่ยนจิ่วเฉาออกไปหาโจวอวี่เยี่ยนนั้น เขาก็หายไปแล้ว ทั้งเยี่ยนจิ่วเฉาและโจวอวี่เยี่ยน รวมไปถึงมู่ถิง โจวจิ่น อิ่งสือซัน และท่านพ่อที่เธอเห็นหลังจากนั้น ล้วนเกิดจากอาคมทั้งสิ้น!
อวี๋หวั่นหัวเราะ ปัดผมหน้าม้าของตน กัดฟันกรอด แล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าข้ารู้ตัวเร็วแล้ว แต่กลับถูกอีกฝ่ายเปิดฉากเล่นงานตั้งแต่แรก เวรเอ๊ย!”
โจวอวี่เยี่ยนกำลังสนทนากับศิษย์พี่ของนาง ทันทีที่ได้ยินอวี๋หวั่นบริภาษ นางก็ขนลุกจนตัวสั่นเทิ้ม ทั้งสองรีบ
มองไปทางอวี๋หวั่น ก็เห็นว่าสตรีที่ไม่ว่าเมื่อใดที่ใดก็มักจะเยือกเย็น บัดนี้กลับเดือดดาล พวกเขาก็พลันรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมา
แววตานั่น แลดูราวกับจะจับพวกเขากินอย่างไรอย่างนั้น!
“นางโมโหเป็นเหมือนกันหรือ…” โจวอวี่เยี่ยนอ้าปากค้าง
“ฮูหยินน้อยขอรับ” อิ่งสือซันเปิดกระเป๋าซึ่งสะพายอยู่ด้านหน้า แล้วหยิบกล่องขนมกล่องหนึ่งออกมาส่งให้อวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นรับกล่องมา แล้วกินเข้าไปเจ็ดแปดชิ้นจนในที่สุดจิตใจก็สงบลง “ตอนนี้ ก็เหลือแค่เยี่ยนจิ่วเฉากับท่านพ่อข้า”
……