หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 489 รักแรกแย้มของอิ่งลิ่ว
อวี๋หวั่นพูดจบก็ปล่อยให้อิ่งลิ่วและอิ่งสือซันจัดการ ส่วนตนก็เดินขึ้นชั้นบนไป
เธอไม่ได้กลับไปที่ห้องของตน แต่เดินไปยังห้องของเยี่ยนจิ่วเฉาก่อน โจวจิ่นยังคงอยู่ในลานด้านหลัง ส่วนท่านพ่อไม่รู้ว่าไปไหนเสียแล้ว เตียงกว้างมีเพียงเยี่ยนจิ่วเฉานอนอยู่คนเดียว
เยี่ยนจิ่วเฉาหลับไปทั้งที่ยังใส่ชุดเดิม เขานอนอยู่บนเตียง ร่างสูงของเขาแลดูน่าหลงใหลแม้ในความมืด ลมหายใจของเขาราบเรียบและสม่ำเสมอ น่าจะกำลังอยู่ในห้วงนิทรา มือเรียวสวยทั้งสองข้างพาดอยู่บนลำตัว แขนเสื้อเผยอออกเล็กน้อย เผยให้เห็นข้อกระดูกและผิวเนียนของเขา
เขาเป็นผู้ชายที่แม้แต่ในยามนอนก็ยังคงน่าเกรงขาม ทำให้ผู้คนไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะปรารถนาได้เข้าใกล้ เขาเปรียบประหนึ่งดอกอิงซู่ รู้ทั้งรู้ว่ามีพิษ แต่ก็ยังดันทุรังจะปลูก
อวี๋หวั่นยื่นมือออกมา ลูบไล้ไปตามคิ้วโก่งของเขา
บุรุษรูปงามคนนี้คือสามีของเธอ กระถางต้นไม้ใบนั้นตกลงมาได้แม่นยำเสียจริง ถ้าเธอไม่มาที่นี่ ก็คงไม่ได้พบกับผู้ชายอย่างเยี่ยนจิ่วเฉา…
จะปล่อยไปไม่ได้…
อวี๋หวั่นหลงมัวเมากับความงามเหนือปุถุชนของสามีได้เพียงครู่เดียว ก็พลันนึกถึงโจวจิ่นกับท่านพ่อขึ้นมา ตนเองมานั่งเคลิบเคลิ้มอย่างนี้ อาจถูกพวกเขาเห็นเข้า อวี๋หวั่นรีบดึงมือกลับมา แต่ยังไม่ทันได้ขยับ ก็ถูกมือข้างหนึ่งคว้าเอาไว้
“ท่าน…ยังไม่นอนหรือ?” อวี๋หวั่นตกใจ เมื่อนึกได้ว่าเมื่อครู่ตนเองทำอะไรลงไป เธอก็อดหน้าแดงด้วยความเขินอายไม่ได้
“หลับไปแล้ว แต่เจ้าทำให้ข้าตื่น” เยี่ยนจิ่วเฉาโอบคนในอ้อมกอด หลับตาลงพลางเอ่ยขึ้นเบาๆ
เขาเพิ่งตื่นจริงๆ ฟังจากเสียงแหบพร่าระคนความเฉื่อยชาของเขา แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งน่าฟังเสียจนอวี๋หวั่นรู้สึกว่าใบหูของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเสียแล้ว
แม้ว่าเยี่ยนจิ่วเฉาจะกอดเธอเอาไว้ แต่ก็มิได้กระทบกระเทือนต่อท้องของเธอ มือข้างหนึ่งของเขาโอบไหล่ของเธอไว้ มืออีกข้างหนึ่งกำบังหน้าท้องของเธอ ปากของเขาไม่เคยพูดคำหวานออกมา แต่ความอ่อนโยนของเขานั้นเห็นได้จากความเอาใจใส่ที่เขามีต่อเธอ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตั้งท้องแล้วอารมณ์อ่อนไหวขึ้นมาหรือเปล่า อวี๋หวั่นรู้สึกว่าไม่มีผู้ชายคนไหนดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
พูดแล้วก็รู้สึกเศร้าขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เยี่ยนจิ่วเฉาถามว่า “ทำไมเจ้ายังไม่นอนอีก”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ อวี๋หวั่นก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นทันใด ความปวดร้าวและขมขื่นในใจของเธอก็มลายหายไป แล้วเริ่มเล่าเรื่องที่ตนเอง ‘จัดการ’ พ่อมดใหญ่ให้เยี่ยนจิ่วเฉาฟัง “…ที่แท้ข้าก็เก่งขนาดนี้!”
เยี่ยนจิ่วเฉาไม่อยากขัดใจเธอ จึงตอบ ‘อืม’ และพูดว่า “เก่งมาก”
“ใช่ไหมเล่า?” อวี๋หวั่นยิ้มอย่างพึงพอใจ “ข้าก็คิดว่าข้าเก่ง!”
……
ฟ้ายังไม่สว่าง พวกเขาก็ออกเดินทาง พ่อมดเหลียงถูกมัดไพล่หลังจนแน่น และถูกทิ้งไว้ในลานด้านหลังโรงเตี๊ยม
อวี๋หวั่นเหลือบมองเขา เธอรู้สึกพึงพอใจ จึงหันหลังเดินออกไป
พ่อมดเหลียงจึงร้องเรียก “จอมยุทธ์หญิง พาข้าไปด้วยเถิด!”
อวี๋หวั่นหันหลังกลับมา “พาเจ้าไปด้วย? ในฐานะอะไร”
“ก็…” พ่อมดเหลียงชะงักไป แล้วกล่าวว่า “เจ้าไม่ได้พาเขาไปด้วยหรอกหรือ? เขาเป็นหัวหน้า ข้าฟังคำสั่งเขา เจ้าพาเขาไปได้โดยไม่สนเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้ แล้วเหตุใดต้องทิ้งให้ข้าลำบากอยู่ที่นี่ด้วยเล่า”
เขาชี้ไปยังบุรุษสวมผ้าคลุมของตำหนักทมิฬ
อวี๋หวั่นยิ้ม แล้วตอบว่า “เขาเป็นนกต่อ ยังนับว่ามีประโยชน์ แล้วเจ้าละ?”
พ่อมดเหลียงอึ้งไป
พ่อมดคนหนึ่งถูกทิ้งไว้ให้หัวเดียวกระเทียมลีบ ชะตาต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรย่อมคาดเดาได้ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่อวี๋หวั่นต้องมานั่งขบคิด อย่างไรเสียเขาก็ไม่ควรค่าแก่การได้รับความเห็นใจตั้งแต่ที่ลงมือทำร้ายโจวจิ่นและโจวอวี่เยี่ยนแล้ว
ทางไปตลาดมืดนั้นไม่ไกลนัก ขี่อูฐไปสองวันก็ถึงแล้ว
ระหว่างทางไปตลาดมืด อวี๋หวั่นได้รู้ว่าบุรุษสวมผ้าคลุมมีชื่อว่าต๋าหว่า เขาเป็นผู้พิทักษ์ที่สำคัญคนหนึ่งในตำหนักทมิฬ เขาฝึกเวทมนตร์ตั้งแต่เด็ก ตอนนี้เป็นพ่อมดระดับเทียนขั้นแรกเริ่ม เขาแลดูมีอายุ ทว่าแท้จริงแล้วอายุเพียงยี่สิบห้ายี่สิบหกเท่านั้น พ่อมดใหญ่ที่อายุน้อยเช่นนี้ นอกเผ่าพ่อมดพบเห็นได้ยากนัก
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะเป็นพ่อมด แต่เขาก็ไม่ใช่คนเผ่าพ่อมด
“เวทมนตร์ของเผ่าพ่อมดถูกถ่ายทอดออกสู่ภายนอก ไม่ว่าผู้ใดก็สามารถฝึกฝนได้ เพียงแต่ว่ากว่าจะเชี่ยวชาญนั้นไม่ง่าย” ในคำพูดของเขานั้น แฝงไปด้วยความภาคภูมิใจในระดับพลังของตน
อวี๋หวั่นมองไปยังโจวจิ่นซึ่งอายุเพียงเก้าขวบ “อืม ไม่ง่ายจริงๆ ด้วย”
อายุยี่สิบกว่าแล้ว เพิ่งจะอยู่เพียงระดับเทียนขั้นแรกเริ่ม แต่เด็กคนนี้อายุเก้าขวบ มีพลังถึงระดับเทียนขั้นสูงสุด ต๋าหว่ามองตามสายตาของอวี๋หวั่นไปยังโจวจิ่น ทันใดนั้นก็รู้สึกดีใจไม่ออกเสียแล้ว
อวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาขี่อูฐตัวเดียวกัน ส่วนมากอวี๋หวั่นจะเป็นคนถามคำถาม เยี่ยนจิ่วเฉาซึ่งอยู่ด้านหลังนั่งฟังเงียบๆ และนั่นควรจะทำให้คนอื่นๆ ไม่ทันสังเกตเห็นเขา ทว่าแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เขาคือบุรุษที่เปล่งประกายได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยใบหน้าอันงดงามดุจเทพเซียน บุคลิกและท่วงท่าสง่างามดุจชนชั้นสูง ทำให้ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมคนนี่แลดูน่าเกรงขามและน่าค้นหาเหลือเกิน
สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น
เพียงแต่ว่า ด้านหน้าของเขามีดรุณีน้อยคนหนึ่งที่อวบอ้วนไม่เผื่อแผ่ใครนั่งอยู่ด้วย
ต๋าหว่าไม่กล้าปล่อยให้สายตาตนเองจับจ้องอยู่ที่เยี่ยนจิ่วเฉานานนัก เพราะในใจของเขาก็รู้สึกหวาดกลัวเยี่ยนจิ่วเฉาอยู่บ้าง
“ใช่สิ เจ้ายังไม่ได้บอกเลยว่าคนผู้นั้นมาที่ตำหนักทมิฬได้อย่างไร” อวี๋หวั่นมองไปยังต๋าหว่า
ต๋าหว่าตอบว่า “พวกเขาไม่ได้มาที่ตำหนักทมิฬเพียงที่เดียว”
ภารกิจนี้ถูกป่าวประกาศออกไปทั่วทั้งตลาดมืด คนในตลาดมืดต่างก็สามารถรับภารกิจนี้ได้ ส่วนเนื้อชิ้นใหญ่จะหล่นไปอยู่ในมือของผู้ใดนั้นล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถ
ไม่มีทั้งภาพวาด ไม่มีทั้งชื่อ มีเพียงคุณสมบัติสามประการ ได้แก่ เป็นเด็กผู้ชาย อายุประมาณแปดเก้าขวบ เป็นพ่อมดที่มีพลังระดับเทียนเป็นอย่างน้อย
เด็กอายุแปดขวบมีนับไม่ถ้วน พ่อมดนั้นมีน้อย แต่ก็มิใช่ว่าไม่มี ทว่าระดับเทียน…หากกล่าวตามจริง ถ้าหากเงินรางวัลนั้นไม่มากถึงขนาดที่ซื้อเมืองได้ทั้งเมือง เกรงว่าคงจะไม่มีผู้ใดกล้ารับภารกิจที่แทบไม่มีโอกาสทำสำเร็จเช่นนี้
ต๋าหว่าได้พบกับพ่อมดเหลียงโดยบังเอิญ และได้รู้เรื่องของโจวจิ่นจากปากของเขา แม้ว่าโจวจิ่นจะเป็นพ่อมดระดับตี้ แต่พ่อมดเหลียงรู้ว่าโจวจิ่นถูกผนึกพลังเวทไว้ หรือเรียกได้ว่าพลังของเขานั้นห่างไกลจากที่เห็นมาก และนั่นก็สอดคล้องกับคุณสมบัติของเด็กที่กำลังตามหา
ต๋าหว่าตกลงกับพ่อมดเหลียง ขอเพียงพ่อมดเหลียงช่วยเขาตามหาเด็กคนนั้นได้ ตนก็จะพาเขาเข้าไปในเผ่าพ่อมด พวกเขาไม่คาดคิดว่า ยังไม่ทันได้ไปประเทศมรกต ก็พบตัวเด็กคนนี้แล้ว
แน่นอนว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่าก็คือ พวกเขาจับเด็กไม่ได้ และเด็กคนนี้ก็ถูกคนอื่นจับตัวไปแล้ว
หลังจากนั้นสองวัน พวกเขาก็เดินทางข้ามทะเลทราย มาถึงตลาดมืด
ตลาดมืดแห่งนี้ใหญ่และคึกคักกว่าที่คิดไว้ เพียงแต่ว่าสิ่งก่อสร้างและรถม้านั้นแลดูโบราณกว่าที่ต้าโจว หนานจ้าว และหมิงตูอยู่บ้าง
แม้ว่าการตรวจตราของตลาดมืดจะไม่เข้มงวด แต่ก็มิใช่ว่าใครจะเข้าไปก็ได้ ต๋าหว่าเจรจากับทหารยามหน้าทางเข้าอยู่ครู่หนึ่ง ทหารยามหันมามองเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่นด้วยความสงสัย สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร และปล่อยพวกเขาไป
“หึ เป็นเพราะพวกเจ้าเจอกับต๋าหว่า ถ้าหากเป็นคนอื่น คงพาคนอื่นเข้าไปด้วยไม่ได้” ต๋าหว่าเชิดหน้า
แต่ก็…ไม่มีใครสนใจเขา
หว่าต๋ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจริงๆ “…”
หลังจากที่ทุกคนเดินทางเข้าไปในตลาดมืด ก็เปลี่ยนจากอูฐเป็นรถม้า
ต๋าหว่าปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ ไม่อยากพบหน้าคนในตำหนักทมิฬ จึงพาพวกอวี๋หวั่นไปพักในเรือนของตนก่อน
ขณะที่พวกเขาเดินทางผ่านถนนสายหนึ่งซึ่งมีผู้คนพลุกพล่าน อวี๋หวั่นก็สังเกตเห็นขอทานจำนวนมาก แต่หน้าตาและท่าทางของคนเหล่านั้นดูไม่เหมือนกับขอทานทั่วไป
“คนพวกนั้นเป็นใครหรือ?” อวี๋หวั่นถาม
ต๋าหว่าขี่ม้าอยู่ข้างรถม้าของอวี๋หวั่น จึงมองตามสายตาของอวี๋หวั่นไป “พวกเขาคือพ่อมดที่ถูกแย่งชิงพลังเวทไป”
อวี๋หวั่นเลิกคิ้ว “พลังเวทถูกแย่งชิงไปได้ด้วยหรือ?”
ต๋าหว่าตอบว่า “แน่นอน ตลาดมืดไม่ใช่สถานที่สงบสุขกระไรถึงเพียงนั้น ทางที่ดีพวกเจ้าเองก็อย่าออกไปเพ่นพ่าน มิฉะนั้นหากถูกพวกเขาขโมยพลังเวทไป ก็จะกลายเป็นเหมือนพวกเขา”
อวี๋หวั่นกำลังจะถามว่าคนคนนั้นเป็นอะไร ก็เห็นขอทานวัยเยาว์คนหนึ่งเดินถือไม้เท้าเข้ามา ใบหน้าของเขาขาวซีด ดวงตาสีหม่น เห็นได้ชัดว่า…ตาบอด!
เยี่ยนจิ่วเฉาคล้ายกับจะมองออกว่าอวี๋หวั่นสงสัยเรื่องใด จึงเอ่ยขึ้นว่า “พลังเวทอยู่ที่ดวงตาของพ่อมด หากไม่มีพลังเวท พ่อมดก็จะกลายเป็นคนตาบอด”
อวี๋หวั่นพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ท่านพูดเช่นนี้…ข้าพอจะเข้าใจแล้ว”
สตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นถ่ายทอดผ่านสายเลือด เพราะฉะนั้นเลือดของสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นจึงล้ำค่ามาก แต่พลังเวทของพ่อมดนั้นอยู่ในดวงตาทั้งสองข้าง น้ำตาของราชาพ่อมดจึงนับว่าเป็นสิ่งล้ำค่า
ตำหนักทมิฬเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในตลาดมืด โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องพ่อมดของตำหนักทมิฬ แต่ก็มิวายมีคนใจกล้าบ้าบิ่น เพราะฉะนั้นนอกจากพ่อมดแล้ว ตำหนักทมิฬยังจ้างยอดฝีมืออีกไม่น้อย
ถึงเรือนแล้ว
บ่าวในเรือนออกมาต้อนรับ
ต๋าหว่าพูดคุยกับเขาสองสามประโยค เขาตกปากรับคำ แล้วรีบไปเก็บห้องให้เยี่ยนจิ่วเฉากับคนอื่นๆ
ต๋าหว่าหันหลังมาบอกกับอวี๋หวั่นและเยี่ยนจิ่วเฉาว่า “พวกเจ้าอยู่ที่นี่ก่อน พรุ่งนี้คนนั้นก็เดินทางมาแล้ว ข้าจะให้เขาพบกับพวกเจ้า”
“เข้าใจแล้ว” อวี๋หวั่นพยักหน้า
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ข้าจะนำของไปวางก่อน” ผิงเอ๋อร์เอ่ยขึ้นพลางยกสัมภาระ
อวี๋หวั่นตอบว่า “อื้ม ไปเถอะ”
ผิงเอ๋อร์หันหลังออกไป
โจวอวี่เยี่ยนก็เริ่มยกของของตนเองและศิษย์น้องเล็ก ของเหล่านี้ซื้อมาระหว่างทาง จะบอกว่ามากมายก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่น้อย
อิ่งลิ่วเห็นว่านางยกไม่ขึ้น จึงเข้าไปช่วยนางยกห่อที่หนักที่สุด
ทว่าตอนที่ยกขึ้นมานั้นเอง ก็ไปแตะโดนมือของนางเข้าโดยมิได้ตั้งใจ อิ่งลิ่วยกห่อเล็กห่อน้อยขึ้นมาแล้วเดินไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้ระแคะระคายว่าตนเองแตะโดนมือของสตรีเข้า โจวอวี่เยี่ยนกลับกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
……………………………..