หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 506 ข่มขู่
“ซ…ซ่อนไว้ในเรือนของเจ้า…เรื่องนั้น…ข้า…ข้า…”
ต๋าหว่าพูดตะกุกตะกัก เขารู้สึกว่าอยู่ๆ ตนเองพูดไม่ออก
เมื่อครู่เกือบถูกจับได้เสียแล้ว ฮูหยินรองช่วยออกหน้าแทนเขา เขายังไม่ทันได้ถามว่าทำไมนางถึงช่วยเขา และยังไม่ได้ขอบคุณนาง นางก็ยื่นข้อเสนอนี้ให้เขาแล้ว
…ไม่ ไม่ใช่ข้อเสนอ นางกำลังพยายามช่วยเขาต่างหาก
ต๋าหว่างงไปหมดแล้ว
ฮูหยินรองเม้มปาก แล้วบอกว่า “นายท่านรองไม่ได้ซ่อนคนไว้หรอกหรือ?”
“อา…” ต๋าหว่าไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ยอมรับ
ต๋าหว่าไม่ใช่คนโง่ เขารู้อยู่เต็มอกว่าโรงละครไม่ปลอดภัยอีกต่อไป แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดและราชินีแม่มดยังไม่สงสัยเรื่องที่เป็นเวินซวี่ตัวปลอม พวกเขาคงคิดเพียงว่า ‘เขา’ หลงนางจิ้งจอกนั่นเสียจนหัวปักหัวปำ เพื่อนางจิ้งจอกนั่น ไม่ว่าเรื่องอะไรเขาก็ยอมทำ
ผู้อาวุโสสูงสุดทำเหมือนว่าเชื่อคำพูดของตนและฮูหยินรอง ทว่าความจริงแล้วเพียงไม่ต้องการทำให้หลานชายขายหน้าต่อธารกำนัล หลังจากกลับไป ผู้อาวุโสสูงสุดย่อมต้องไปตรวจสอบที่โรงละครเป็นแน่
“ถ้านายท่านรองไม่เชื่อใจข้าก็ไม่เป็นไร” ฮูหยินรองก้มศีรษะเล็กน้อย แล้วหันหลังเดินเข้าห้องไป
“ข้าไม่ได้ไม่เชื่อเจ้า!” ต๋าหว่าเอ่ยปาก
แต่หลังจากที่พูดออกไป เขาก็มานึกเสียใจภายหลัง เหตุใดเมื่อนางมีท่าทีเฉยเมยและเหินห่าง เขาก็พลันรู้สึกวิตกขึ้นมาทันที เขาจะพาคนมาซ่อนในเรือนของฮูหยินรองได้จริงใช่ไหม?
เมื่อคิดเช่นนี้ ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีทางเลือกอื่น
ผู้อาวุโสสูงสุดคอยจับตาดูโรงละครไว้ ทั้งยังปิดทางเข้าหลักของสกุลเวิน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะโยกย้ายคนออกไปโดยที่ไม่มีใครรู้ ตัวเลือกเดียวที่มีในตอนนี้เห็นจะเป็นเรือนของฮูหยินรอง
แต่ไหนแต่ไรมาฮูหยินรองไม่ลงรอยกับเขา ผู้อาวุโสสูงสุดคงเดาไม่ได้ว่านางช่วยเขาซ่อน ‘นางจิ้งจอก’ คนนั้นไว้ นอกจากนั้นฐานะของฮูหยินรองนั้นสูงส่ง ผู้อาวุโสสูงสุดคงไม่ถึงกับหักหน้านางเพียงเพื่อค้นเรือนของนาง
“เช่นนั้นข้าจะไปบอกพวกเขา” ต๋าหว่าหันหลังไป
“นายท่านรอง…ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนหรือ?” ฮูหยินรองถาม
“อ่า จริง” ต๋าหว่าเพิ่งนึกได้ จึงรีบเดินเข้าไปในห้องของฮูหยินรอง
ฮูหยินรองกะพริบตาปริบๆ แล้วพูดเสียงค่อยว่า “นะ…ในห้องข้า…ไม่มีเสื้อผ้าของท่าน…”
ฮูหยินรองให้หงอวี้ไปยังเรือนของเวินซวี่ เพื่อหยิบเสื้อผ้าสะอาดมาให้เขาเปลี่ยน
ต๋าหว่าไปยังโรงละคร แล้วเล่าเรื่องที่พบกับผู้อาวุโสสูงสุดให้พวกเขา “…เจ้าแก่นั่นน่ากลัวเหลือเกิน ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าข้าไปโรงละครมา!”
“ตะไคร่” เยี่ยนจิ่วเฉาชี้ไปยังรองเท้าของเขา
ต๋าหว่าก้มหน้าลงมอง “ไม่ใช่กระมัง เท้าข้าไม่มี…”
พูดไม่ทันขาดคำ เขาก็จำได้ว่าตนเองเพิ่งเปลี่ยนรองเท้าไป เช่นนั้นก็หมายความว่ารองเท้าคู่ก่อนหน้าของเขามีตะไคร่ติดอยู่ ผู้อาวุโสจึงมองออก?
ฉลาดเกินไปแล้วกระมัง!
“ฮูหยินรองท่านนั้น…เชื่อได้ไหม? ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเวินซวี่ไม่ดีไม่ใช่หรือ? คงไม่ได้จะหลอกพวกเราหรอกใช่ไหม?” โจวอวี่เยี่ยนเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
ต๋าหว่ารีบส่ายหน้า “ไม่หรอก ดูแล้วนางไม่ใช่คนแบบนั้น ถ้าหากนางจะหักหลังข้า นางคงทำต่อหน้าผุ้อาวุโสสูงสุดไปตั้งแต่แรกแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงช่วยข้าปิดบังเรื่องนี้หรอก”
ตั้งแต่ฮูหยินรองและเวินซวี่แต่งงานกัน เวินซวี่ไม่เคยปฏิบัติดีต่อภรรยาเอกคนนี้แม้แต่ครั้งเดียว หลังจากที่ลูกในท้องของฮูหยินรองถูกอนุภรรยาคนหนึ่งทำร้ายจนตาย ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ก้าวเข้าสู่จุดเยือกแข็ง
หลายปีมานี้ ฮูหยินรองใช้ชีวิตในสกุลเวินราวกับแม่หม้าย อาจเป็นเพราะต้องการชดเชยให้แก่นาง ผู้อาวุโสสูงสุดจึงยกเรือนที่ใหญ่และเงียบสงบที่สุดให้นาง
ยามว่าง ฮูหยินรองก็จะออกไปดูแลดอกไม้ ป้อนอาหารนก เลี้ยงอาหารปลา นับว่าชีวิตสงบสุข นางไม่คุ้นชินกับสาวใช้ของสกุลเวิน สาวใช้ในเรือนของนางจึงล้วนแต่มาจากตระกูลเดิม ชีวิตของนางน่าสงสารมากอยู่แล้ว คนสกุลเวินจึงไม่คิดจะบีบบังคับนาง
“เรือนนี้ใหญ่นัก ข้าสร้างสวนดอกไม้เอาไว้ และแบ่งเรือนออกเป็นสองส่วน ข้าพักอยู่ในเรือนทิศเหนือ ส่วนทิศใต้ไม่มีคนอยู่” ฮูหยินรองพูดพลางพาอวี๋หวั่นและคนอื่นๆ เดินผ่านสวนดอกไม้ เข้าไปยังเรือนทิศใต้
อันที่จริง อวี๋หวั่นและคนอื่นๆ แลดูสะดุดตาอยู่บ้าง ทั้งเยี่ยนจิ่วเฉารูปงามดูสูงศักดิ์ อวี๋เซ่าชิงคมเข้ม รวมไปถึงอิ่งลิ่วและอิ่งสือซันซึ่งสูงสง่าหล่อเหลา นอกจากพวกเขาแล้วก็ยังมีเด็กสองคนซึ่งสวมผ้าคลุมเอาไว้ และสตรีมีครรภ์อีกคนหนึ่ง
กระนั้นแล้ว ตั้งแต่พบหน้าจนถึงเรือน ฮูหยินรองไม่ได้ถามพวกเขาแม้แต่ประโยคเดียว และไม่ได้จ้องมองพวกเขาอย่างมีพิรุธแต่อย่างใด นางรักษาระยะห่างจากพวกเขาและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างมีมารยาท
นี่คือตัวอย่างของสตรีที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าเวินซวี่ต้องโง่เขลาเบาปัญญาถึงเพียงใด ถึงไม่สนใจใยดีเพชรน้ำงามอย่างนาง แต่กลับไปเอาอกเอาใจอนุภรรยาที่แม้ว่าจะงดงามทว่าในใจคิดแต่จะชิงดีชิงเด่นกันอย่างเดียว
อาจเป็นเพราะเรื่องในวังหลวงยังมิได้เข้าหูฮูหยินรอง แต่ความสัมพันธ์ของอวี๋หวั่นกับ ‘เวินซวี่’ ฮูหยินรองไม่มีทางไม่รู้ เพราะฉะนั้นสรุปแล้วฮูหยินไม่สนใจจริงๆ หรือไม่เชื่อเรื่องนี้แต่แรกแล้วกันแน่?
อวี๋หวั่นมองฮูหยินรองด้วยรอยยิ้ม ขอบคุณนาง แล้วเดินเข้าห้องไปโดยมีผิงเอ๋อร์คอยประคอง
“เอ่อ…” ทุกคนต่างแยกย้ายกันเข้าพักในห้อง ต๋าหว่าเดินเข้ามากระซิบกับฮูหยินรองว่า “ข้ากับนางไม่ได้เป็นอะไรกัน เด็กในท้องของนางไม่ใช่ลูกของข้า”
ฮูหยินรองยิ้มน้อยๆ “ข้ารู้”
“หืม?” ต๋าหว่าชะงัก
“เป็นลูกเขา” ฮูหยินรองมองไปยังเยี่ยนจิ่วเฉา
เยี่ยนจิ่วเฉากำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้มองท้องฟ้า
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ต๋าหว่าทำตาโต
“สายตา” ฮูหยินรองยิ้ม ความรักของพวกเขาซ่อนอยู่ในดวงตา เป็นสายตาที่นางไม่เคยเห็นจากเวินซวี่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น หลังจากนี้ก็คงไม่ได้เห็น
“ในเรือนนี้ไม่มีใครเข้ามา เพื่อนของนายท่านรองสามารถพักที่นี่ได้อย่างสบายใจ” ฮูหยินรองพูดจบ ก็หันหลังเดินออกไป
ต๋าหว่ามองตามหลังนางซึ่งเดินออกไปอย่างโดดเดี่ยว เขาก็กัดฟันแน่น
นางเป็นคนดีถึงเพียงนี้ แต่ข้ากลับรู้สึกเหมือนหลอกใช้นาง!
รู้สึกผิดเหลือเกิน!
……
ต๋าหว่าออกไปจากจวนสกุลเวินได้ไม่นาน ผู้อาวุโสสูงสุดก็ไปยังโรงละครจริงๆ
โรงละครนั้นว่างเปล่าปราศจากผู้คน
ผู้อาวุโสสูงสุดจำได้ว่าฮูหยินรองเคยเชิญคณะละครมาอยู่ที่นี่ เขาเรียกบ่าวเก่าแก่ซึ่งทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูมา “คณะละครเล่า?”
บ่าวตอบว่า “คณะละครออกไปแล้วเจ้าค่ะ นายท่านรองให้พวกเขาออกไป เฮ้อ นายท่านรองนี่จริงๆ เลยนะเจ้าคะ ฮูหยินรองมิได้หาความสุขจากที่อื่น ชื่นชอบเพียงการชมละคร เขากลับไม่อ่อนข้อให้นางบ้าง”
ผู้อาวุโสสูงสุดหันหลังไปมองโรงละครอันว่างเปล่า ดวงตาของเขาคมกริบราวกับนกเหยี่ยว จากนั้นก็หันหน้ากลับมา แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ต๋าหว่าเดินทางมาถึงวังหลวงในหนึ่งชั่วยามต่อมา
ราชินีแม่มดกำลังหัวเสียกับเรื่องของเยี่ยยาง นางพิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ไม่พูดอะไร ทว่าสีหน้าเย็นชา
รอบตัวของนางดูประหนึ่งมีพลังอันน่าเกรงขามกำจายออกมา ต๋าหว่ามองจากระยะไกลยังอดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้
ต๋าหว่าตั้งสติ สาวเท้าเข้าไปในตำหนัก “ท่านพี่ ข้าได้ยินว่าจับตัวคนร้ายได้แล้ว! จริงหรือขอรับ?”
“อืม” ราชินีแม่มดลืมตามามองเขา “เหตุใดเจ้าถึงมาช้าเช่นนี้ ข้าส่งสัญญาณให้เจ้าตั้งนานแล้วไม่ใช่รึ?”
ต๋าหว่าตอบว่า “ข้ากลับไปจวนสกุลเวินมา”
“ที่จวนมีเรื่องอะไรหรือ” ราชินีแม่มดขมวดคิ้ว
ต๋าหว่ารีบตอบว่า “เปล่าขอรับ ม้าของข้าเหนื่อย จึงกลับจวนไปเปลี่ยนม้า ยังเจอท่านปู่ด้วย”
เมื่อได้ยินว่าเขาพบกับผู้อาวุโสสูงสุด ราชินีแม่มดก็มิได้คาดคั้นอะไรอีก
ต๋าหว่าเหลือบมองนาง แล้วถามว่า “ท่านพี่ จับคนร้ายได้แล้ว เช่นนั้นเยี่ยยางก็กลับมาแล้วใช่ไหม?”
ราชินีแม่มดตอบว่า “นั่นไม่ใช่คนร้าย แต่เป็นพรรคพวกของคนร้าย”
“หืม? พรรคพวกหรือ?” ต๋าหว่าชะงักไป ก็ไม่ได้มีใครหายไปนี่ จะมาบอกว่าเป็นพวกเดียวกันได้อย่างไร
ต๋าหว่าคิดจะเข้าไปดูสักหน่อย ทว่าราชินีแม่มดกลับไม่ให้เข้าไปดู
ราชินีแม่มดกล่าวว่า “เยี่ยยางอยู่กับพวกเขา แต่คนเหล่านี้อยู่กับข้า ข้าเพียงแค่แจกจ่ายภาพของพวกเขาออกไป คนพวกนั้นก็จะมาหาข้าถึงที่”
ต๋าหว่าอ้าปากค้าง “พะ…พวกเขา?”
ราชินีแม่มดหรี่ตา “ผู้หญิงคนหนึ่ง กับเด็กอีกสามคน”
ต๋าหว่ายังคงสับสน ผู้หญิงคนนั้นคือใคร? แล้วเด็กอีกสามคนคือใคร?
ราชินีแม่มดพูดต่อว่า “เอาเถอะ ข้าเปลี่ยนใจ พวกเขาจับเยี่ยยางไป เพื่อจะใช้ข่มขู่ข้าใช่ไหมเล่า? เหอะ ข่มขู่รึ? ได้! ข้าจะคอยดู ว่าใครข่มขู่ใคร!”
ในใจของต๋าหว่าพลังบังเกิดลางร้ายขึ้น “ท่านพี่ ท่านจะทำอะไร”
ราชินีแม่มดชักมีดสั้นออกมา “ข้าจะตัดนิ้วของเด็กพวกนั้นออกมา ตัดวันละนิ้ว แล้วนำไปแขวนไว้หน้าประตูวังจนกว่านางจะนำตัวเยี่ยยางมาคืน! หากนางกล้า นางก็จะตัดนิ้วเยี่ยยางเช่นกัน! แต่หากนางตัดหนึ่งนิ้ว ข้าก็จะตัดนิ้วเด็กพวกนี้สองนิ้ว! เด็กสามคนอยู่ในเงื้อมมือของข้า! เด็กอายุสามขวบสามคน อยากรู้เหลือเกินว่าสรุปแล้วใครกันแน่ที่จะชอกช้ำ!”
บ้าไปแล้วหรือ? เด็กอายุสามขวบเจ้าก็ไม่ปล่อยไปรึ!
ต๋าหว่าคิดจะหยุดนางแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว
ราชินีแม่มดเดินถือมีดตรงไปยังเรือนที่ทั้งสี่คนถูกขังไว้พร้อมกับสีหน้าเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร
………………………………………………….