หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] - บทที่ 539 พลังราชาพ่อมดตัวน้อย!
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เขาไม่ได้เป็นทายาทของราชาพ่อมดกับราชาศักดิ์สิทธิ์หรอกหรือ? เขามีชีวิตอยู่รอดนับว่ามหัศจรรย์มากพอแล้ว แต่นี่ยังบรรลุระดับพลังอีกหรือ?
หรือว่าสถานการณ์บีบคั้นจนไม่สนใจความเป็นความตายแล้ว!
หากไม่ได้เห็นด้วยตนเอง ราชาศักดิ์สิทธิ์คงไม่เชื่อว่านี่คือเรื่องจริงอย่างแน่นอน!
หรือว่าราชาพ่อมดทำอะไรแผลงๆ ขึ้นมาอีก?
ไม่สิ พลังเวทของราชาพ่อมดถูกนางดูดไปหมดแล้ว เขาก็เป็นเพียงราชากากเดนคนหนึ่ง ตอนที่เขายังไม่เป็นเช่นนี้ ยังไม่สามารถเปลี่ยนให้โจวจิ่นเป็นราชาพ่อมดได้ บัดนี้เขาทำไม่ได้แล้ว ดังนั้นก็หมายความว่าเด็กคนนี้พยายามบรรลุระดับพลังด้วยตนเอง!
นี่มัน…เหลือเชื่อเกินไปแล้ว…
เดิมทีคิดว่าราชาพ่อมดใกล้ตายแล้ว เจ้าเด็กคนนี้ก็คงไม่รอดเหมือนกัน แต่เขาไม่เพียงอยู่รอดปลอดภัย แต่ยังกลายเป็นราชาพ่อมดอีกคนหนึ่งด้วย
โชคชะตาของเขาเปลี่ยนไปแล้ว…
เขาไม่ใช่เด็กที่ถูกสวรรค์ทอดทิ้ง ต้องคอยพึ่งพาราชาพ่อมดอีกต่อไป เขามีชีวิตเป็นของตัวเอง
สือซัน เจ้าดูสิ! อิ่งลิ่วซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้าเขย่ามือของอิ่งสือซันซึ่งอยู่ด้านหลัง
มีอะไร อิ่งสือซันถาม มือกำเชือกแน่น
ราชาพ่อมด…ราชาพ่อมดเหมือนจะ… อิ่งลิ่วตกใจจนพูดไม่ออก
หรือว่าราชาพ่อมดจะเป็นอะไร อิ่งสือซันกระตุกเชือก ทำให้พาหนะของราชาพ่อมดหยุดลงข้างทาง
เจ้าดู! อิ่งลิ่วเบี่ยงหลบไปด้านข้าง เพื่อให้อิ่งสือซันมองเห็นราชาพ่อมดซึ่งอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา
ใบหน้าของราชาพ่อมดขาวซีด ทว่ารอยแผลบนหน้าผากและข้างแก้มค่อยๆ เลือนหายไป
อิ่งสือซันสงสัยว่าตนเองอาจตาฝาดไป แต่ทั้งเขาและอิ่งลิ่วไม่มีทางตาฝาดพร้อมกัน เขาพับแขนเสื้อของราชาพ่อมดขึ้น บนมือก็ไม่มีแล้ว!
บนคอ บนตัว…หายไปหมดแล้ว! อิ่งลิ่วปลดกระดุมเสื้อของราชาพ่อมด
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน รอยแผลพวกนี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะเขาต้องการให้โจวจิ่นมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาต้องทนทรมานกับพลังย้อนกลับ…ที่รอยแผลหายเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือเขาไม่จำเป็นต้องช่วยต่อพลังชีวิตให้โจวจิ่นแล้ว
โจวจิ่นตายแล้วหรือ? แน่นอนว่าอิ่งลิ่วเดาไม่ออกว่าโจวจิ่นบรรลุเป็นราชาพ่อมดและมีชีวิตเป็นของตนเองแล้ว
ธรรมชาติควบคุมสิ่งที่คนควบคุมได้ ส่วนคนที่ควบคุมไม่ได้ มันย่อมกำจัดทิ้ง แต่น่าเสียดายที่มีคนประเภทหนึ่งที่แม้แต่ธรรมชาติก็ไม่สามารถกำจัดทิ้งได้
ราชาศักดิ์สิทธิ์ถึงกับตะลึงงัน
ไม่ใช่เพียงเพราะเจ้าเปี๊ยกนี่สามารถพลิกกฎแห่งธรรมชาติและเปลี่ยนชะตาของตนเองได้ แต่ยังเป็นเพราะบนร่างของเขาไม่ได้มีเพียงกลิ่นอายของราชาพ่อมด และนั่นทำให้เขาแข็งแกร่งกว่าผู้เป็นบิดาไม่รู้กี่เท่า
และในตอนนั้นเอง สัตว์พิษตัวน้อยก็ได้ดูดซับกลิ่นอายของราชาพ่อมดเข้าไป จนทำให้ระดับพลังของมันเพิ่มขึ้นอย่างยิ่งยวด!
ราชาพ่อมด! จักรพรรดิหนอนพิษ!
คืนนี้เห็นทีคงไม่จบง่ายๆ!
ราชาศักดิ์สิทธิ์หรี่ตาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ น่าสนุก สิ่งที่ได้มาง่ายเกินไป ข้าย่อมไม่ต้องการ บรรลุระดับพลังแล้วก็ดี สิ่งที่อ่อนแอเกินไปไม่คู่ควรที่จะสู้กับข้า!
ใช่แล้ว นางเปลี่ยนแผนใหม่ นางจะไม่สังหารโจวจิ่น แต่นางจะเขมือบพลังเวทของโจวจิ่นให้ไม่เหลือซาก!
ส่วนเจ้าจักรพรรดิหนอนพิษนั่น นางก็จะใช้สำหรับเพิ่มพลัง!
ข้าโชคดีเหลือเกิน ว่าไหมเล่า? ราชาศักดิ์สิทธิ์หัวเราะลั่น แล้วพุ่งเข้าหาโจวจิ่น
ระวัง! อวี๋หวั่นร้องเสียงดัง
โจวจิ่นวางสัตว์พิษตัวน้อยลงบนฝ่ามือ ไปคุ้มกันท่านพี่หวั่น ข้าไม่เป็นไร!
สัตว์พิษตัวน้อยปราดเข้าไปขวางหน้าอวี๋หวั่นทันที
โจวจิ่นแตะนิ้วเพียงเล็กน้อย พลังพ่อมดก็พุ่งเข้ากดทับราชาศักดิ์สิทธิ์
เดิมทีหลัวช่าวิญญาณก็นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว ทว่าบัดนี้มีทั้งพลังของราชาศักดิ์สิทธิ์และราชาพ่อมด ไหนเลยจะเห็นเจ้าเปี๊ยกที่เพิ่งบรรลุระดับพลังคนหนึ่งอยู่ในสายตา
ความจริงเป็นประจักษ์ว่าพลังของราชาศักดิ์สิทธิ์เป็นรองโจวจิ่น
นางทำอะไรโจวจิ่นไม่ได้ ในทางกลับกันก็ยังถูกโจวจิ่นโจมตีเสียจนเจ็บตัว
หัวตาของนางมีเลือดไหลออกมา
ราชาศักดิ์สิทธิ์เช็ดเลือดด้วยปลายนิ้ว ดวงตาจ้องเขม็ง แล้วหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกลียด ประเสริฐนัก
เห็นทีข้าคงจะมองเจ้าเป็นเด็กไม่ได้อีก
ราชาศักดิ์สิทธิ์ปลดวรยุทธ์ และเริ่มใช้วิชาคุมวิญญาณ
โจวจิ่นนัยน์ตากระตุกวูบ ท่านพี่หวั่น! เข้าไปเร็ว!
แต่อวี๋หวั่นกลับพบว่าตนเองขยับไม่ได้แล้ว
สัตว์พิษตัวน้อยดันอวี๋หวั่นเข้าไปในห้องอย่างสุดแรงเกิด
เมื่อราชาศักดิ์สิทธิ์สำแดงวิชาคุมวิญญาณขึ้นมา ไม่ใช่ว่าใครหน้าไหนจะมาหยุดได้
เจ้ายอมแพ้แต่โดยดีเถิด! ราชาศักดิ์สิทธิ์หัวเราะ
เม็ดเหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากของโจวจิ่น!!
ก่อนที่จะพบกับราชาศักดิ์สิทธิ์ หลัวช่าวิญญาณได้กินยอดฝีมือของเผ่าพ่อมดไปไม่น้อย นางยอมรับว่าโจวจิ่นแข็งแกร่ง แข็งแกร่งกว่าราชาพ่อมดคนใดที่หลัวช่าวิญญาณเคยพบมา แต่แล้วอย่างไร? นางมีกองทัพที่แข็งแกร่ง จะถึงกับสู้กับราชาพ่อมดที่หัวเดียวกระเทียมลีบไม่ได้เชียวหรือ?
โจวจิ่นเหงื่อกาฬโทรมกาย
ไม่ไหวแล้วกระมัง? ราชาศักดิ์สิทธิ์กระหยิ่มยิ้มย่อง ยิ่งเพิ่มพลังมากขึ้น นางก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของโจวจิ่นที่กำลังจะหมดไป นางดึงมือกลับมา แล้วเกี่ยวนิ้วกับมือของโจวจิ่น เด็กดี มานี่เร็ว
โจวจิ่นเดินไปหานางอย่างเชื่องช้า
อวี๋หวั่นมองเห็นภาพเห็นการณ์จากช่องประตู เธอหายใจเข้าเฮือกหนึ่งด้วยความตกใจ ดึงประตูเปิดออกหมายจะเดินออกมา แต่กลับถูกสัตว์พิษตัวน้อยกัดชายกระโปรงไว้!
โจวจิ่น! อวี๋หวั่นเรียก
โจวจิ่นยังคงเดินเข้าไปหาราชาศักดิ์สิทธิ์
ราชาศักดิ์สิทธิ์ยื่นนิ้วเรียวออกมาเชยคางอันเย็นเฉียบของเขา เจ้าเด็กโง่ กล้าสู้กับข้ารึ? เจ้ายังอ่อนหัดนัก
ทันทีที่พูดจบ ดวงตาของโจวจิ่นก็เบิกกว้าง เขาปักมีดตรงเข้าที่หน้าอกของราชาศักดิ์สิทธิ์!
ราชาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งยังไม่ทันได้ตั้งตัว …?!
ราชาศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นด้วยความเหลือเชื่อว่า จะ…เจ้าหลบเลี่ยงวิชาคุมวิญญาณได้อย่างไรกัน
มือข้างหนึ่งของโจวจิ่นกดลงบนหน้าอก แสงสีขาวพลันสว่างวาบ สัตว์พิษสีขาวนวลดุจหิมะปรากฏขึ้น กลิ่นอายของมันไม่แข็งแกร่งเท่าเจ้าสัตว์พิษตัวน้อย แต่ก็มิได้นับว่าอ่อนแอ มันแลดูราวกับหยกและผลึกน้ำแข็ง งดงามหาสิ่งใดเปรียบ
ราชาศักดิ์สิทธิ์กัดฟันกรอด คาง คก หิมะ?!
โจวจิ่นตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ถูกต้อง มันคือคางคกหิมะ
วิชาคุมวิญญาณของหลัวช่าวิญญาณนั้นสามารถควบคุมวิญญาณของทุกสรรพชีวิต ยกเว้นสัตว์พิษ
ยามที่สัตว์พิษอยู่ในร่างของโจวจิ่น มันอาจกัดจนเขาเจ็บปวด แต่มันก็ช่วยทำให้เขาตื่นตัว
อย่างไรก็ดี การปกปิดเรื่องนี้กับราชาศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้นเจ้าสัตว์พิษตัวน้อยจึงปล่อยกลิ่นอายของจักรพรรดิสัตว์พิษออกมาตั้งแต่แรก เพื่อกลบกลิ่นอายของราชินีสัตว์พิษ หนึ่งในเหตุผลที่โจวจิ่นให้สัตว์พิษตัวน้อยไปอารักขาอวี๋หวั่น ก็เพื่อให้ราชาศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าสัตว์พิษตัวน้อยไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดช่วยปกป้องเขาจากวิชาคุมวิญญาณของหลัวช่า
วิญญาณได้อีก
นางโจมตีโจวจิ่นครั้งหนึ่ง โจวจิ่นก็ตาต่อตาฟันต่อฟัน โจมตีนางกลับอีกครั้งหนึ่ง!
ทีนี้คอยดูก็แล้วกันว่าใครจะกล้าตุกติกอีกไหม
แน่นอนว่าถ้าหากหลัวช่าวิญญาณไม่เลือกใช้วิชาคุมวิญญาณ แต่ใช้วรยุทธ์แทน โจวจิ่นซึ่งปราศจากสัตว์พิษตัวน้อยคอยปกป้องคงจะสิ้นใจในเงื้อมมือของอีกฝ่ายไปแล้ว
นี่คือการเดิมพัน โชคดีที่ในครั้งนี้โจวจิ่นชนะ
ราชาศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้น ตบโจวจิ่นจนกระเด็น แล้วกดหน้าอกตนเองถอยหลังไปหลายก้าว
โจวจิ่นกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง หน้าอกของเขาเจ็บแปลบ กระอักเลือดสดออกมา!
เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วข้าจะฆ่าเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ? ราชาศักดิ์สิทธิ์ยกมือขึ้นมา แต่ทันใดนั้นเองนางก็สัมผัส
ได้ว่าพลังปราณของตนย้อนกลับ
มีดสั้นทั่วไปไม่อาจทำอันตรายกับนางได้…
ราชาศักดิ์สิทธิ์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า เจ้าทาอะไรไว้ที่มีดสั้น
โจวจิ่นหัวเราะอย่างอ่อนแรง ไม่มีอะไรมาก ข้าก็แค่ราดฉี่เด็กลงไปเล็กน้อย
เป็นฉี่ของเสี่ยวเป่า
เจ้า… ความทรงจำผุดขึ้นมาในสมองของราชาศักดิ์สิทธิ์ จนนางรู้สึกสับสนไปหมด นางดึงมีดสั้นออกมา แล้วกดจุดให้ตนเอง เพื่อไม่ให้เสียเลือดมาก
นางเริ่มมีโทสะจริงๆ แล้ว
นางเป็นถึงหลัวช่าวิญญาณ แต่กลับถูกเด็กคนหนึ่งปั่นหัว!
นี่เป็นการดูหมิ่นหลัวช่าวิญญาณ! น่าอับอายเสียยิ่งกว่าการถูกจองจำไว้ในโลงศพเสียอีก!
นางโทสะพลุ่งพล่าน สมองของราชาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเพิ่งรวมความทรงจำกับหลัวช่าวิญญาณนั้นสับสนและปรวนแปร นางค่อยๆ เสียสติสัมปชัญญะ
ได้…ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่ตาย…ข้าก็จะจัดให้!
ราชาศักดิ์สิทธิ์ทะยานขึ้นฟ้า พลังจากจุดตันเถียนถาโถมขึ้นมา กลิ่นอายของพลังที่ไม่คุ้นเคยมากมายกระจัดกระจายออกจากร่างของนาง หลัวช่าวิญญาณกลืนกินยอดฝีมือไปไม่น้อย ยอดฝีมือแต่ละคนก็มีวรยุทธ์ของสำนักตนเอง ในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการรวมตัวของเหล่ายอดฝีมือเพื่อสำแดงวิชาที่ตนร่ำเรียนมาชั่วชีวิต
เมื่อตระหนักได้ว่านางกำลังจะทำอะไร โจวจิ่นก็หน้าถอดสี แย่แล้ว! นางจะระเบิดตัวเอง! ท่านพี่หวั่น! หนีไปเร็ว!
ไม่ทันเสียแล้ว…
อวี๋หวั่นพุ่งออกไป กอดโจวจิ่นไว้ในอ้อมอก และใช้ร่างของตนเองกำบังให้เขา
โจวจิ่นนึกอยากดันนางออกไป แต่ก็ทำไม่ได้ จึงร้องลั่นว่า ท่านพี่หวั่น ไม่…
นี่ไม่ใช่หลัวช่าวิญญาณระเบิดตนเอง และไม่ใช่ราชาศักดิ์สิทธิ์หรือราชาพ่อมดระเบิดตนเอง หากแต่เป็นการระเบิดพลังของเหล่ายอดฝีมือทั้งหลาย ไม่อาจประเมินความรุนแรงได้!
ท่านพี่หวั่นท่านหนีไปเร็ว! พลังเวทของโจวจิ่นไม่เหลือให้ใช้แล้ว
อวี๋หวั่นกอดเขาไว้แน่น เจ้าเด็กโง่ พี่หวั่นคนนี้จะหนีแล้วปล่อยให้เจ้าตายได้อย่างไร?
แต่ว่า…
ไม่มีแต่ว่า
ราชาศักดิ์สิทธิ์เริ่มระเบิดตนเองแล้ว
โจวจิ่นหลับตาลงด้วยความเสียใจ
ทว่า ในช่วงเวลาที่ระหว่างความเป็นความตายนั้นมีเพียงเส้นบางๆ กั้นไว้ เงาสีดำสายหนึ่งก็ปราดเข้ามา คว้าราชาศักดิ์สิทธิ์ แล้วพานางพุ่งออกไปนอกเรือน!
เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว อวี๋หวั่นไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง แต่ว่าเธอจำเขาได้!
เยี่ยนจิ่วเฉา!
ทันใดนั้นก็มีเสียงดัง ‘ตู้ม’ อวี๋หวั่นนิ่งไปด้วยความตกใจ
…………………..