หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 10 รักษาครั้งแรก
เนื้อแพะชิ้นบางเนื้อนุ่ม ตุ๋นได้เข้าเนื้อยิ่งนัก วุ้นเส้นก็นุ่มลื่นเข้าปากละลายทันที เมื่อคู่กับน้ำแกงร้อนที่โรยผงพริกไทย รสชาติแสนอร่อยก็ทำให้คนแทบจะกินลิ้นตัวเองลงไปด้วย
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองคนกินจนเหงื่อออก นับตั้งแต่เข้าไปอยู่ในหมู่บ้านซีหนิว ทั้งสองคนก็ไม่ได้กินของอร่อยเช่นนี้อีก ช่างมีความสุขเหลือเกิน!
เฉียววั่งซูกลัวเผ็ด กลิ่นผงพริกไทยออกจะฉุนอยู่เล็กน้อย นางกินเข้าไปคำหนึ่งต้องเป่าลมออกจากปากให้หายเผ็ด พวงแก้มพองป่อง ใบหน้าแดงเรื่อ เฉียวเวยถูกความน่ารักเล่นงานจนเกือบตาย นางทานอาหารมื้อนี้อย่างเบิกบานใจยิ่งนัก
แกงวุ้นเส้นเนื้อแพะปริมาณมากพอสมควร สองพี่น้องกินด้วยกันก็ยังกินไม่หมด เฉียวเวยจึงกินส่วนที่เหลือ
ตาเฒ่าซวนจื่อกินเกี๊ยวไปหนึ่งชาม แกงวุ้นเส้นเนื้อแพะหนึ่งชาม ขนมกุยช่ายทอดหนึ่งก้อนกับแป้งทอดต้นหอมอีกครึ่งแผ่น จนสุดท้ายยัดลงท้องไม่ได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ ปกติแล้วเขาขับรถม้าให้ผู้อื่นล้วนไม่มีค่าข้าว เขาจึงเตรียมใจจะกินแผ่นแป้งทอดที่ตนพกมา ใครจะคิดว่าเสี่ยวเฉียวกลับสั่งอาหารให้เขาโต๊ะใหญ่เช่นนี้ แม่ลูกสามคนกินอันใด เขาก็กินอันนั้นด้วย ช่างเป็นคนดีจริงๆ
เขาไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่รู้หลักคุณธรรมกล่าวว่าอย่างไร แต่เขาคิดว่าการกระทำของเสี่ยวเฉียวไม่เหมือนสตรีชาวบ้านธรรมดา ใจกว้าง คล่องแคล่ว ตรงไปตรงมา ละเอียดลออแต่ไม่จู้จี้ นิสัยใจคอคลับคล้ายบุรุษ ไม่เหมือนคนที่จะทำเรื่องเลวทรามดังที่ลือกัน
“ปู่ซวนจื่อ ท่านกินอิ่มแล้วหรือ” เฉียวเวยเอ่ยถามอย่างมีมารยาท
ตาเฒ่าซวนจื่อตบหน้าท้องกลมป่องแล้วตอบว่า “อิ่มแล้ว! เกือบจะเดินไม่ไหว”
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ถ้าไม่พอก็สั่งอย่างอื่นอีกหน่อย”
ตาเฒ่าซวนจื่อรีบโบกมือห้าม “ไม่ต้องแล้วจริงๆ ถ้ากินอีกข้าคงท้องแตก”
เฉียวเวยเห็นตาเฒ่าซวนจื่ออิ่มแล้วจริงๆ ก็ยิ้ม จากนั้นไม่พูดอะไรต่อ นางถามบุตรชายกับบุตรสาวที่อยู่ด้านข้าง “พวกลูกเล่า ยังอยากกินอะไรอีกสักหน่อยหรือไม่”
เจ้าตัวน้อยส่ายหน้า พวกเขาอิ่มจนแทบจะลุกไม่ขึ้นอยู่แล้ว
เฉียวเวยมองน้ำแกงวุ้นเส้นเนื้อแพะบนโต๊ะ “พวกลูกเหมือนจะชอบกินเจ้านี่มาก แม่จะซื้อเนื้อแพะกับวุ้นเส้นกลับนิดหน่อยไว้ตุ๋นให้พวกลูกกิน”
หลังจากจ่ายเงินแล้ว เฉียวเวยก็กลับไปยังตลาดนัด ซื้อผ้านวมหนาหลายผืนกับเนื้อสดอีกหลายชนิด ความจริงนางอยากจะซื้อพู่กัน หมึก กระดาษกับแท่นฝนสักชุดด้วย แต่หลังจากถามราคาก็ได้แต่ถอยกลับมา กระดาษในยุคนี้แพงเสียยิ่งกว่าทอง ชาวบ้านยากจนเช่นพวกเขาซื้อไม่ไหวจริงๆ
ตกบ่ายพวกเขาก็กลับมาพร้อมของเต็มคันรถ
ก่อนออกจากตลาดนัด เฉียวเวยซื้อถังหูลู่[1]หลายไม้ให้บุตรชายกับบุตรสาวนำกลับไปแจกสหายของพวกเขาหลังกลับถึงหมู่บ้าน แน่นอนว่ามีของพวกเขาเองด้วย
เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองดีใจแทบแย่ ก่อนหน้านี้มีแต่พวกเขาไปกินอาหารของบ้านอื่น ตอนนี้ในที่สุดก็ถึงตาพวกเขาเป็นฝ่ายให้บ้างแล้ว หลังจากนี้จะได้ไม่ต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนอีก
รถม้าส่ายโคลงเคลงขับออกจากเมืองน้อย ยามนี้เพิ่งพ้นเที่ยง ท้องฟ้ายังสว่าง แสงตะวันร้อนผ่าวตกต้องร่าง ขับไล่ความหนาวของเหมันต์ฤดู เจ้าซาลาเปาน้อยที่กินดื่มอิ่มหนำอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวยคนละข้าง โยกเยกโคลงเคลงอยู่สักพักก็เริ่มง่วงงุน เฉียวเวยแกะผ้านวมออกมาผืนหนึ่งห่มลงบนร่างทั้งสอง หนังตาของเด็กน้อยทั้งสองคนจึงหนักอึ้งหลับไป
เฉียวเวยเองก็ง่วงเล็กน้อยจึงปรือตาลงบ้าง คิดจะงีบหลับสักตื่น ใครจะคิดว่าไม่ทันไรก็รู้สึกว่ารถม้าหยุดอย่างกะทันหัน นางหน้าคว่ำไปเบื้องหน้า จากที่งีบอยู่ก็ตื่นกว่าครึ่งในพริบตา นางกอดลูกไว้ในอ้อมแขนแน่นแล้วตะโกนถาม “ปู่ซวนจื่อ เกิดอะไรขึ้น”
ตาเฒ่าซวนจื่อ “ดูเหมือนข้างหน้าจะมีเรื่อง”
เฉียวเวยนั่งหันหลังให้ม้าเพื่อบังลม เมื่อได้ยินจึงรีบหันหน้ากลับไป แล้วก็เห็นว่าบนถนนสายน้อยที่เดิมก็ไม่กว้างนักมีรถม้าของตระกูลร่ำรวยคันหนึ่งจอดอยู่ บ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่งที่ล้อมอยู่รอบด้านพากันร้องไห้ ไม่ทราบว่าเกิดอันใดขึ้น ถนนถูกพวกเขาขวางไว้หมด รถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อผ่านไปไม่ได้
ตาเฒ่าซวนจื่อกระโดดลงไปที่พื้นแล้วเดินเข้าไปสอบถามสถานการณ์ คนเหล่านี้ถึงจะร้อนใจ แต่กิริยาดียิ่งนัก พวกเขาเล่าให้ตาเฒ่าซวนจื่อฟังอย่างละเอียด ตาเฒ่าซวนจื่อจึงมาบอกต่อกับเฉียวเวย “หญิงชราที่นั่งอยู่ในรถม้าจู่ๆ ก็ล้มลงไป พวกเขาจึงคิดจะส่งคนไปตามหมอในตัวเมือง แต่อาการของหญิงชราดูเหมือนจะไม่ดีนัก”
คนโบราณน้อยครั้งนักจะเอ่ยแช่งตนเอง หากแม้แต่พวกเขายังบอกว่าไม่ดีนัก ถ้าเช่นนั้นย่อมมองในแง่ดีไม่ไหวแล้วจริงๆ
เฉียวเวยห่มผ้านวมให้เด็กๆ “ข้าจะไปดูสักหน่อย”
เฉียวเวยเดินไปถึงหน้ารถม้าคันนั้น ระหว่างทางก็กวาดสายตามองผ่านๆ แม้แต่คนรถก็มีสองคน อาชากำยำพ่วงพีมากถึงหกตัว แต่ละตัวล้วนสูงใหญ่องอาจ เทียบกับม้าของตาเฒ่าซวนจื่อต่างกันราวก้อนเมฆกับโคลนตม จากนั้นหันไปมองข้ารับใช้เหล่านั้น สาวใช้สี่คน เด็กรับใช้สี่คน หญิงรับใช้วัยกลางคนสองคน บ่าวชายวัยกลางคนสองคน แต่ละคนล้วนแต่งกายเรียบร้อย ท่าทางไม่ธรรมดา เฉียวเวยเพิ่งเดินดูร้านผ้ามาเมื่อเช้า ผ้าที่แพงที่สุดในร้านก็คือผ้าแพรต่วนของไห่โจว สองร้อยตำลึงเงินได้ผ้าครึ่งพับ แม้แต่ภรรยาของหัวหน้าหมู่บ้านก็ซื้อมาใส่ไม่ไหว แต่เสื้อผ้าบนร่างคนเหล่านี้ล้วนเป็นผ้าแพรต่วนไห่โจวแบบเดียวกันทั้งหมด
คนที่เป็นหัวหน้าน่าจะเป็นหญิงรับใช้ที่สวมเสื้อตัวนอกเป็นเสื้อกั๊กแขนกุดสีม่วงผู้นั้น นางคุกเข่าร่ำไห้อยู่บนตัวรถ คนที่เหลือต่างยืนร่ำไห้อยู่ด้านล่าง
เฉียวเวยตั้งสมาธิ มองไปหานางแล้วเอ่ยปาก “เอ่อ…” ท่านป้า? ฮูหยิน? สมัยโบราณเรียกหญิงรับใช้ว่าอะไร ใช่แล้วเรียกว่ามามา แต่เฉียวเวยกลับทำใจเรียกว่ามามาไม่ได้จึงถามไปว่า “เหล่าฮูหยินของพวกเจ้าป่วยหรือ สภาพเป็นอย่างไร”
หญิงรับใช้ร่ำไห้สะอึกสะอื้นตอบว่า “ข้าก็มิทราบ เหล่าฮูหยินกำลังสนทนากับข้าอยู่ จู่ๆ สีหน้าก็ผิดปกติ หลังจากนั้น หลังจากนั้นก็ล้มลงไป…”
เฉียวเวยสีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิดเอ่ยต่อว่า “บิดาของข้าเป็นหมอ หากไม่ถือสาให้ข้าดูสักหน่อยเถิด”
หญิงรับใช้มองสำรวจเฉียวเวยอย่างลังเล สตรีจะรู้เรื่องวิชาแพทย์หรือ
หากเป็นยามปกติ หญิงรับใช้ไม่มีทางให้หมอหญิงคนหนึ่งเข้าใกล้ร่างกายของเหล่าฮูหยิน แต่ยามนี้สถานการณ์คับขัน ต่อให้รู้ว่าช่วยไม่ได้นางก็ต้องให้ลองดู
รถม้าคันนี้เป็นรถม้าที่หรูหราอย่างยิ่งคันหนึ่ง เฉียวเวยก้าวขึ้นไปก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความสูงศักดิ์ที่ซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย ทว่าเฉียวเวยไม่ได้สนใจมองสำรวจของนอกกายเหล่านี้ นางมองไปที่หญิงชราอย่างรวดเร็ว หญิงชราลืมตาอยู่ แต่นัยน์ตากลับนิ่งค้าง ใบหน้าซีดเผือด สีหน้าทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง
เฉียวเวยสำรวจร่างกายของเหล่าฮูหยินกับสภาพรอบด้าน “ตอนเหล่าฮูหยินคุยกับเจ้า ท่านกินอะไรอยู่หรือไม่”
หญิงรับใช้พยักหน้าอย่างงุนงง
เฉียวเวยคลำลำคอของหญิงชรา “มีบางสิ่งติดอยู่ในหลอดลม ข้าต้องผ่าเปิดหลอดลมของนาง”
หญิงรับใช้มองตามมือของเฉียวเวย ตกใจจนหน้าถอดสี “เจ้าจะกรีดคอเหล่าฮูหยินของข้ารึ เจ้าบ้าไปแล้วหรือ”
เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “นางมีอาการหายใจลำบาก เหงื่อออก กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ไม่รับรู้สภาพรอบตัว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะขาดอากาศหายใจตาย จะช่วยนางหรือไม่ เจ้าตัดสินใจเอง”
หญิงรับใช้เองก็มองออกว่าเหล่าฮูหยินใกล้จะไม่ไหวแล้ว นางรู้ว่าหญิงสาวตัวน้อยผู้นี้ไม่ได้ขู่ แต่วิธีของหญิงสาวอันตรายเกินไป แม้แต่หมอหลวงยังไม่กล้าใช้มีดกับร่างกายของเหล่าฮูหยินง่ายๆ หมอชาวบ้านที่ชนบทคนหนึ่งจะไหวหรือ
“เจ้า…เจ้า…เจ้ามั่นใจจริงหรือ”
เฉียวเวยเอ่ยว่า “พูดยาก การผ่าตัดล้วนมีความเสี่ยง แล้วที่นี่ยังไม่ใช่ห้องผ่าตัด โอกาสติดเชื้อสูงมาก แต่สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นปัญหาหลังการผ่าตัด หากไม่ผ่า นางคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะติดเชื้อ”
คำว่าไม่มีแม้แต่โอกาสทำลายความลังเลเสี้ยวสุดท้ายของหญิงรับใช้ หากเหล่าฮูหยินเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริง พวกเขาก็ยากจะหนีพ้นบทลงโทษ แต่จะเอามีดกรีดบนร่างเหล่าฮูหยินก็แหวกขนบจารีตมากเกินไปนะ!
[1] ถังหูลู่ ผลไม้เคลือบน้ำตาล