หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 105-1 พาลูกกลับจวน
ทุกครั้งที่เฉียวเวยขึ้นเขา นางจะรู้สึกชอบที่นี่มากขึ้นอีกนิด นิสัยของนางไม่ชอบความวุ่นวายในเมือง นางชอบเขาสวยน้ำใสเช่นนี้มากกว่า
จิ่งอวิ๋นก็ชอบเช่นกัน มีเนินเขาลูกใหญ่ ทุ่งหญ้าเขียวขจี ร่มเงาของต้นไม้ ลำธารที่ไหลริน เสียงนกร้องไพเราะเสนาะหู ช่างเป็นสนามเด็กเล่นที่ธรรมชาติสรรค์สร้างจริงๆ
เฉียวเวยพาลูกชายไปเก็บเห็ดป่าที่ป่าฝั่งทิศเหนือที่เคยไป เพราะว่ามาเก็บเห็ดป่าบ่อยๆ เฉียวเวยจึงวางกับดักสัตว์ไว้ด้วย หวังว่าจะโชคดีสดักกระต่ายป่ากับไก่ป่าได้ แต่เห็นได้ชัดว่าสัตว์ในบริเวณนี้ฉลาดกว่าจึงไม่ค่อยติดกับดัก
หลังจากใส่เหยื่อล่อไว้ในกรงเปล่าเรียบร้อย เฉียวเวยกับลูกชายของนางก็เริ่มเก็บเห็ดป่ารอบๆ บริเวณนั้น
เห็ดป่าอุดมไปด้วยน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว น้ำตาลโมเลกุลคู่และน้ำตาลโมเลกุลใหญ่ เห็ดป่าบางชนิดมี กลูโคส ฟรุกโตส กาแลคโตส แมนโนส ฯลฯ ในปริมาณมาก ช่วยเพิ่มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้อย่างมาก กล่าวได้ว่ามันเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงและอร่อยมาก
“นี่คือเห็ดสน มันเติบโตใต้ต้นสนเท่านั้น โดยทั่วไปถ้าเจ้าเจอต้นสนเจ้าก็จะเจอมัน” เฉียวเวยพาลูกชายไปที่ใต้ต้นสน ที่นั่นมีเห็ดสนออกดอกเต็มพรืด เฉียวเวยหยิบขึ้นมาดอกหนึ่ง แล้วเช็ดทำความสะอาดมันด้วยผ้าฝ้ายที่เตรียมมา “เมือกนี้ต้องเช็ดก่อน มิฉะนั้นเมื่อนำกลับไปแล้วจะเช็ดออกยาก”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้า มิน่าเล่าท่านแม่ถึงได้เอาผ้าฝ้ายใส่ไว้ในตะกร้าของเขา
แม่ลูกเริ่มเก็บเห็ดสน เห็ดสนไม่ใช่เห็ดป่าที่มีชื่อเสียงโด่งดังและล้ำค่าเป็นพิเศษ ไม่เหมือนเห็ดทรัฟเฟิลดำหรือเห็ดมัตสึทาเกะ แต่มันมีประโยชน์ที่เห็ดชนิดอื่นยากจะทัดเทียมได้ นั่นก็คือให้ความชุ่มชื้นแก่ลำไส้ มีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
จิ่งอวิ๋นน้อยเก็บมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง หลังจากเก็บขึ้นมาแล้ว เขาก็เช็ดอย่างระมัดระวัง และใส่มันลงในตะกร้าบนหลังอย่างถูกต้อง ในไม่ช้าตะกร้าใบเล็กๆ บนแผ่นหลังของเขาก็มีเห็ดสนกองเป็นชั้นบางๆ
ทันใดนั้นเอง เขาเห็นบางสิ่งที่ทั้งเหมือนเห็ดหูหนูขาวทั้งเหมือนรังผึ้ง “ท่านแม่ นี่คือสิ่งใดหรือขอรับ”
เฉียวเวยปาดเหงื่อพร้อมกับเดินเข้ามาดู ทันใดนั้นแววตาก็เป็นประกาย
หากนางจำไม่ผิด นี่น่าจะเป็นเห็ดกระเพาะแพะที่ลือกันว่าล้ำค่า
เห็ดกระเพาะแพะเป็นของดี มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าเห็ดสนมาก โปรตีนในร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยกรดอะมิโน 20 ชนิด เห็ดกระเพาะแพะมีมากถึง 18 ชนิด และกรดอะมิโน 8 ชนิดในนั้นร่างกายของมนุษย์ไม่สามารถผลิตได้ จึงเห็นได้ว่ามันเป็นเห็ดที่ยอดเยี่ยมมาก นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินอีกจำนวนมาก ทั่งช่วยย่อยอาหารบำรุงกระเพาะ ลดเสมหะ ช่วยควบคุมการไหลเวียนของลมปราณ…สรุปแล้วดีทุกด้าน แล้วรสชาติก็อร่อยอย่างไม่มีที่ติ
อย่างไรก็ตามเห็ดกระเพาะแพะหายากมาก ปกติจะพบได้น้อย เฉียวเวยขึ้นเขามาหลายครั้งแล้ว แต่นางไม่เคยเห็นแม้แต่ดอกเดียว นึกไม่ถึงว่าลูกชายจะเป็นคนพบเข้า
นี่มันโชคดีอะไรกันนะ
เฉียวเวยชี้ไปที่เห็ดกระเพาะแพะแล้วว่า “ลูก นั่นคือเห็ดกระเพาะแพะ”
“กระเพาะแพะที่อยู่ในท้องแพะหรือขอรับ” จิ่งอวิ๋นถาม
“ใช่แล้ว” เฉียวเวยพยักหน้า
จิ่งอวิ๋นเคยเห็นกระเพาะแพะมาแล้ว มันก็ดูคล้ายกันจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่มันถูกเรียกว่าเห็ดกระเพาะแพะ
“มันกินได้ด้วยหรือ” เขาถามอย่างสงสัย
เฉียวเวยยิ้มแล้วตอบว่า “แน่นอน มันรสชาติดีกว่าเห็ดป่าหลายชนิดที่เราเคยกินก่อนหน้านี้เสียอีก”
เห็ดป่าที่เคยกินเมื่อก่อนก็อร่อยมากอยู่แล้ว แต่นี่มันรสชาติดีกว่าเห็ดพวกนั้นอีก รสชาติจะเป็นอย่างไรกันนะ
จิ่งอวิ๋นกลืนน้ำลาย
เฉียวเวยหัวเราะลั่น นางไม่ค่อยเห็นมุมตะกละของลูกชายมาก่อน ปกติเห็นแต่จอมตะกละน้อยวั่งซูที่แสดงท่าทางละโมภและเจ้าเล่ห์เช่นนั้นออกมา
จิ่งอวิ๋นหน้าแดงด้วยความเขินอาย
ก่อนหน้านี้เก็บเห็ดสนมาได้ไม่น้อย ตะกร้าจึงเกือบจะเต็มแล้ว ใส่เห็ดกระเพาะแพะอีกสามชั่งก็คงใส่ไม่ได้อีก เฉียวเวยหันไปมองตะกร้าบนหลังของลูก เห็นว่าท่าทางหนักน่าดูก็รู้สึกสงสาร นางจึงเรียกเสี่ยวไป๋มา
เสี่ยวไป๋ไม่มา ร่างเล็กๆ ของมันถอยไปหลบหลังต้นไม้
เฉียวเวยจะไปจับมัน มันก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้
เฉียวเวยปัดมืออย่างมึนงง “ทำอะไร ยังขึ้นไปหลบบนต้นไม่อีก แค่จะให้เจ้าช่วยเก็บเห็ดไม่กี่ดอกเอง ลงมาเดี๋ยวนี้!”
ไม่ลงไปหรอก
เสี่ยวไป๋กระดิกหางไปมา
เฉียวเวยหรี่ตา “รู้จักเกียจคร้านแล้วใช่หรือไม่ รู้จักแต่กินแล้วไม่อยากทำงานอย่างนั้นหรือ ลงมาเดี๋ยวนี้! ข้าจะนับหนึ่งถึงสามครั้ง ถ้าไม่ลงมาก็คอยดูว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!”
เสี่ยวไป๋ไต่ลงมาด้วยท่าทางน่าสงสาร เดินช้าๆ ไปที่เท้าของเฉียวเวย
เฉียวเวยอุ้มมันขึ้นมาแล้วเปิดตะกร้าบนหลังของมัน ทันใดนั้นเอง งูเขียวดอกหมากตัวเล็กตัวหนึ่งก็ผงกหัวขึ้น เฉียวเวยผงะตกใจจนโยนเสี่ยวไป๋ออกไป!
เสี่ยวไป๋กระเด็นไปกระแทกต้นไม้ใหญ่ ปั้ก! มันติดอยู่บนต้นไม้สองวินาที จากนั้นก็ตกลงพื้นเสียงดัง พลั่ก!
ทันทีที่มันตกลงมา งูเขียวดอกหมากตัวน้อยก็ฉวยโอกาสหนีไป ไม่นานงูสีดำตัวน้อยอีกสองตัวก็หลุดออกไปเช่นกัน
สีหน้าของเฉียวเวยดำทะมึนเหมือนถ่าน ครั้งที่แล้วเจ้าตัวเล็กนี่ซ่อนงูพิษไว้บนหลังคาเตียงตั้งเจ็ดแปดตัว นางยังไม่มีโอกาสสะสางคดีเลย นี่ยังจะจับมาอีกหรือ
“เสี่ยวไป๋ตัวแสบ เจ้าจะทำอะไร!”
เสี่ยวไป๋กระดิกหาง ข้าแค่อยากจะเลี้ยงลูกงูไว้ไม่กี่ตัวเอง เลี้ยงโตแล้วจะได้เอาไปกิน
ผลสุดท้ายแน่นอนว่าเสี่ยวไป๋ต้องกล่าวอำลาบรรดาลูกงูพิษ หลังจากนั้นยังโดนอัดจนน่วม
…
เมื่อทั้งสองกลับมาที่บ้านสกุลหลัว วั่งซูเพิ่งลืมตาขึ้น นางไม่รู้ว่าท่านแม่และพี่ชายทิ้งนางออกไป ‘เที่ยวเล่น’ อีกแล้ว นางบิดก้นเล็กๆ ของนางอย่างตื่นเต้น “พวกท่านยังอยู่กันทั้งสองคน วันนี้ข้าตื่นเช้าใช่หรือไม่”
ใช่แล้ว เช้ามาก เช้าจนข้ากับพี่ชายเจ้าออกไปเก็บเห็ดจนกลับมาแล้ว
เฉียวเวยยิ้มพร้อมกับถือเห็ดเข้าไปในครัว
ชุ่ยอวิ๋นประหลาดใจ “ทำไมมีมากมายนัก”
เฉียวเวยกล่าวว่า “วันนี้มีแต่เห็ดดีๆ เก็บเพลินไปหน่อยถึงได้มามากเช่นนี้”
ชุ่ยอวิ๋นเหลือบมองท้องฟ้าข้างนอกพลางถอดผ้ากันเปื้อน “ข้าจะไปที่ทุ่งนาก่อน เจ้าช่วยข้าดูจวิ้นเกอร์ด้วย ประเดี๋ยวถ้าเจ้าจะออกไปข้างนอกก็ช่วยพาจวิ้นเกอร์ไปส่งท่านแม่ของข้าสักหน่อย”
“ได้”
อาหารเช้าเป็นหมั่นโถวจากแป้งสาลีกับเส้นบะหมี่ เฉียวเวยปรุงแกงจืดลูกชิ้นเนื้อใส่เห็ด โดยใส่ทั้งเห็ดสนกับเห็ดกระเพาะแพะ รสสัมผัสของเห็ดกระเพาะแพะนั้นนุ่มละมุนไม่เหมือนใครจริงๆ ขนาดคนที่ไม่ค่อยยึดติดกับอาหารรสโอชะอย่างเฉียวเวยยังหยุดกินไม่ได้
“แล้วท่านยาย ท่านลุงกับท่านป้าเล่าเจ้าคะ” วั่งซูถามเสียงนุ่มนิ่ม
เฉียวเวยซดแกงจืดเห็ด “ท่านยายกับท่านป้าไปทำงานที่แปลงนา ท่านลุงก็ออกไปรับซื้อกุ้ง เจ้าคิดว่าทุกคนเป็นหนอนเกียจคร้านเหมือนเจ้าหรือ นอนจนตะวันสายโด่งถึงยอมตื่น”
วั่งซูโต้อย่างไม่ยอมแพ้ “น้องชายก็หลับเหมือนกันนะเจ้าคะ!”
เฉียวเวยพูดอย่างขบขัน “เจ้าอายุห้าขวบแล้ว ยังไปเทียบกับน้องชายอายุหกเดือน ละอายบ้างหรือไม่”
วั่งซูใคร่ครวญครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเป็นจริงตามนั้น จึงพูดอย่างอึกอัก “เช่น…เช่นนั้น ถ้าข้าอายุหกเดือน ข้าค่อยนอนตื่นสายอีกก็ได้!”
เฉียวเวยอดยิ้มไม่ได้ “คนมีแต่จะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ผู้ใดยิ่งโตยิ่งกลายเป็นเด็ก”
วั่งซูชูนิ้วขึ้นมา แล้วนับนิ้วทีละนิ้ว “เมื่อข้าอายุครบร้อยปี ข้าก็จะกลับมาหนึ่งขวบใหม่”
ถ้ามันเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ สาวน้อย!
เฉียวเวยบีบแก้มของนาง แล้วตักแกงจืดให้นาง “รีบกินเร็ว อิ่มแล้วจะได้ไปเรียน”
“เจ้าค่ะ!” วั่งซูตอบอย่างร่าเริง หยิบถ้วยใบเล็กขึ้นมาซดอึกใหญ่
หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เฉียวเวยบรรจุเห็ดสนและเห็ดกระเพาะแพะสองชั่งอย่างดี เพื่อเอาไปมอบให้ซิ่วไฉเฒ่าตอนไปส่งเด็กๆ เข้าเรียน แต่เพราะเด็กๆ กำลังรีบเข้าเรียน ทำให้นางลืมเตือนซิ่วไฉเฒ่าว่าเห็ดสนมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ห้ามกินครั้งละมากๆ ในคราวเดียว
หลังจากนั้น เฉียวเวยก็พาจวิ้นเกอร์ไปส่งที่บ้านสกุลจ้าว ส่วนตัวนางก็หยิบเครื่องมือทำไร่ไปยังทุ่งข้าวฟ่าง
แม้ว่ายิ่นอ๋องนายบ่าวกับสวี่ซื่อเจี๋ยจะน่าชัง แต่พวกเขาก็พูดได้ทำได้ พวกเขาถางหญ้าได้ค่อนข้างสะอาดดีเลยทีเดียว เฉียวเวยเดินสำรวจจนทั่วก็ไม่เห็นหญ้าต้นอื่นนอกจากวัชพืชดื้อด้านที่เพิ่งงอกออกมาใหม่
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดยามปลูกข้าวฟ่างไม่ใช่วัชพืช แต่เป็นแมลงตั๊กแตน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าตั๊กแตน เจ้าพวกนี้ขยายพันธุ์ได้เร็ว ปริมาณอาหารที่กินก็มาก หากมันเข้ามาในทุ่งข้าวฟ่างก็คงไม่เหลือผลผลิดให้เก็บเกี่ยว ปีนี้ฝนตกน้อย กล่าวกันว่าแล้งนานย่อมพบตั๊กแตน เฉียวเวยจึงยิ่งกังวลมากขึ้นว่าตั๊กแตนจะมาทำลายข้าวฟ่างที่นางทุ่มเทปลูก
ทุกวันเฉียวเวยจะพาเสี่ยวไป๋ออกลาดตระเวนในไร่หนึ่งรอบ เสี่ยวไป๋มีปฏิกริยาตอบสนองต่อตั๊กแตนไวมาก แม้แต่ไข่แมลงเล็กๆ มันก็หาพบ เพียงแต่พื้นที่สิบหมู่กว้างใหญ่มากจึงต้องวิ่งจนเหนื่อยอยู่บ้าง
แถมวันนี้ยังโดนอัดจนน่วม เสี่ยวไป๋อารมณ์เสียจึงไม่อยากเข้าไร่ข้าวฟ่าง
เฉียวเวย “จะเข้าไม่เข้า”
ไม่เข้า
เฉียวเวยหยิบขนมเผือกหวานนึ่งที่นางทำออกมาจากตะกร้า “จะเข้าหรือไม่”
เข้าแล้ว!
เสี่ยวไป๋อุ้มขนมหวานวิ่งเข้าไปอย่างมีความสุข!
หนึ่งคนกับอีกหนึ่งตัวช่วยกันจับตั๊กแตนอย่างคึกคัก ตอนนี้เองสวี่ซื่อเจี๋ยที่ไม่ได้ปรากฏตัวมาเป็นเวลานานก็กลับมาอีกครั้ง
“ภรรยา!” เขาคลี่ยิ้มกว้าง “ข้ามาเยี่ยมเจ้าแล้ว! ทำงานอยู่หรือ เดี๋ยวข้าช่วย!”
เฉียวเวยมองเขาอย่างเฉยเมย
สวี่ซื่อเจี๋ยพูดอย่างยิ้มแย้ม “ภรรยาโกรธที่ข้าไม่ได้มาหาเจ้าหลายวันเช่นนั้นหรือ ภรรยาฟังข้าอธิบายก่อน ข้าอยากมาอยู่ตลอด แต่ท่านพ่อของข้าล้มป่วย ข้าต้องช่วยป้อนยาให้เขา พออาการป่วยของเขาดีขึ้นข้าก็มาหาเจ้าทันที!”
เฉียวเวยจับตั๊กแตนตัวเล็กออกจากใบข้าวฟ่าง “พูดเหมือนข้าเสียดายที่ท่านไม่มานักหนา คุณชายสวี่ เล่นละครก็อย่าถลำลึกนักสิ”
สวี่ซื่อเจี๋ยลูบจมูก แสร้งทำเป็นโกรธ “ภรรยากล่าวอะไรอย่างนั้น ข้าเป็นสามีของเจ้านะ ถ้าเจ้าไม่เสียดายข้าแล้วเจ้าจะไปเสียดายใคร”
เฉียวเวยชักมีดสั้นออกมา “ถ้าขืนเจ้ายังพูดคำว่าสามีอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเอามีดนี่แทงเจ้าเสีย”
สวี่ซื่อเจี๋ยกระโดดโหยงด้วยความตกใจ “ภรรยาอย่าหุนหันนักสิ!”
“คำว่าภรรยาก็ห้ามเรียก!”
สวี่ซื่อเจี๋ยหุบปาก
แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นนักต้มตุ๋นพเนจรมาจากไหน ถึงได้รู้เรื่องของนางมากขนาดนี้ แต่เหตุที่เมื่อก่อนเก็บเขาไว้ก็เพราะว่าเอาไว้กันคนสารเลวยิ่นอ๋อง ระยะนี้ยิ่นอ๋องไม่มาแล้ว สวี่ซื่อเจี๋ยก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ
เฉียวเวยทำเมินเฉยต่อสวี่ซื่อเจี๋ยอยู่สักพัก สวี่ซื่อเจี๋ยรู้สึกว่าหมดสนุกแล้วแต่ก็ยังไม่อยากไป ถึงอย่างไรสินเดิมสูงเสียดฟ้าที่หลินมามาว่าไว้นั่นก็น่าดึงดูดใจจริงๆ และอีกประการหนึ่งเฉียวเวยก็งดงามมากจริงๆ เด็กน้อยน่ารักทั้งสองก็ยังมีความสามารถมากยิ่งนักอีก แต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ก็เหมือนแต่งงานกับเหมืองทองที่กำลังพัฒนา ไม่มีผู้ชายคนไหนยอมปล่อยให้หลุดมือไปแน่
ยิ่งได้ทำความรู้จักกันมาช่วงเวลาหนึ่ง เขาก็เริ่มหวั่นไหวขึ้นมานิดหน่อยแล้วจริงๆ
สตรีที่เขาเคยพบเจอมา บ้างก็อ่อนแอและไร้ความสามารถเฉกเช่นมารดาของเขา หรือไม่ก็อ่อนโยนดั่งสายน้ำเหมือนสาวใช้ของเขา หรือมีจิตใจยากแท้หยั่งถึงดังเช่นแม่ใหญ่ของเขา แต่ไม่มีผู้ใดเหมือนเสี่ยวเฉียว ทั้งสง่างาม แข็งแกร่ง ไม่ดัดจริตมารยาสาไถ ในช่วงเวลาสำคัญยังเป็นเหมือนขุนเขาแกร่งคอยปกป้องคนในบ้าน…
เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าการได้อยู่กับเสี่ยวเฉียวทำให้รู้สึกปลอดภัยอย่างยิ่ง
เฉียวเวยไม่สนใจเขา นางคงยังสอดส่ายสายตาหาตั๊กแตนในทุ่งข้าวฟ่างอยู่ตามลำพัง
สวี่ซื่อเจี๋ยเกาะติดเป็นปลิง ทันใดนั้นงูไฉ่ฮวาก็เลื้อยผ่านเท้าของเขา เขากระโดดตัวลอยด้วยความตกใจ!
ไม่นานก็มี งูตัวที่สอง สาม สี่…
พองูไฉ่ฮวาเลื้อยมาด้านนี้ สวี่ซื่อเจี๋ยก็เปิดแน่บ วิ่งโกยออกจากทุ่งข้าวฟ่างภายในอึดใจเดียว
เฉียวเวยยิ้มหยัน งูไม่มีพิษไม่กี่ตัวยังกลัวขนาดนี้ ยังคิดจะแต่งงานกับนางอีกหรือ รู้หรือไม่ว่านางนอนกับงูพิษทุกคืน
เสี่ยวไป๋เดินกระดุกกระดิกเข้ามาพร้อมกับเบ่งกล้าม ลูกพี่เก่งหรือไม่
เฉียวเวยตบหน้าผากดังเพียะ “ทำงาน อย่าเกียจคร้าน!”
เมื่อกลับจากทุ่งข้าวฟ่างก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ป้าหลัวและคนอื่นๆ ต่างกลับบ้านกันหมดแล้ว โถงกลางบ้านมีคนนั่งอยู่คนหนึ่ง เขาสวมอาภรณ์ผ้าไหมซ่อนลายสีเข้ม รูปร่างสูงใหญ่ ท่วงท่าสุขุม ผิวขาวราวกับหยกเนื้อดี ท่าทางนุ่มนวลกว่าชายหนุ่มทั่วไปมาก ป้าหลัวได้ยินว่าเขามาจากเมืองหลวง นางจึงรีบนำชาที่ดีที่สุดในบ้านออกมาต้อนรับเขา แต่ไม่รู้คิดไปเองหรืออย่างไร ตอนอยู่กับเขา ป้าหลัวรู้สึกประหม่าเป็นพิเศษ
สายตาของเฉียวเวยหันไปมองเขา ทันใดนั้นนางก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา นางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นายท่านชุยให้เกียรติมาเยือนบ้านซอมซ่อของข้า ช่างเป็นเกียรติแก่บ้านหลังนี้ยิ่งนัก”
หัวหน้าชุยมองตามเสียง เห็นเฉียวเวยแต่งกายเยี่ยงหญิงชาวนาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้ม “เป็นเกียรติอันใดกัน เฉียวฮูหยินอย่าล้อข้าเล่น!”
“รู้จักกันหรือ” ป้าหลัวขยับเข้าไปใกล้เฉียวเวย แล้วกระซิบถามเสียงเบา “ไม่ใช่นักต้มตุ๋นจากไหนหรอกนะ”
ไม่แปลกที่ป้าหลัวจะระแวง กิจการของเฉียวเวยกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีบางคนเจตนาร้ายต้องการมาเอาเปรียบ
เฉียวเวยพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เขาเป็นผู้สูงศักดิ์ที่ข้ารู้จักในเมืองหลวง ตอนนี้อากาศร้อนมาก แม่บุญธรรมช่วยต้มน้ำถั่วเขียวให้ข้าได้หรือไม่”
“ได้สิ!” ป้าหลัวเดินไปที่ครัว
เฉียวเวยล้างเนื้อล้างตัวที่หลังเรือนเสร็จก็กลับไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดในห้อง ก่อนจะออกมาคุยกับหัวหน้าชุย “ลมอะไรหอบท่านมาที่นี่เจ้าคะ”
หัวหน้าชุยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หากไม่มีธุระคงไม่มา ที่ข้ามาหาเจ้าย่อมเป็นเพราะว่ามีธุระอยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าอยู่เสียห่างไกล ข้าตามหาเจ้าด้วยความลำบากเหลือเกิน!”
เฉียวเวยยิ้ม
หัวหน้าชุยกล่าวต่อ “ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลแก่เจ้าเป็นเงินมากมาย เหตุใดเจ้าไม่หาที่อยู่ที่ดีกว่านี้สักแห่ง”
ในหมู่บ้านนี้บ้านสกุลหลัวนับว่ามีปัจจัยที่ดีแล้ว ทั้งกว้างทั้งสว่าง มีสามห้องนอนหลัก หนึ่งห้องโถง มีลานหลังบ้าน ห้องครัวกับห้องเก็บฟืนเชื่อมต่อกัน มีทั้งคอกหมูและเล้าไก่ หลังเรือนมีต้นไผ่สีเขียวเรียงราย บรรยากาศรื่นรมย์ เพียงแต่ในความคิดของหัวหน้าชุย สตรีที่มีความสามารถเช่นนี้ควรจะอยู่ในบ้านที่งดงามและใหญ่โตในเมืองหลวงมากกว่า
เฉียวเวยยิ้มและตอบว่า “ข้ากำลังสร้างบ้านบนเขา กำลังจะสร้างเสร็จเร็วๆ นี้เจ้าค่ะ”
“ข้าก็ว่าอยู่” หัวหน้าชุยจิบชา แล้วพูดเข้าประเด็นหลัก “ที่ข้ามาครานี้ เพราะต้องการคุยเรื่องการค้ากับเจ้า”
“เจ้าคะ การค้าอะไรหรือ” เฉียวเวยเริ่มสนใจ
หัวหน้าชุยกล่าวต่อ “ไข่ที่เจ้ามอบให้ข้าครั้งล่าสุด ไข่อะไรนะ”
เฉียวเวยยิ้ม “ไข่เยี่ยวม้าเจ้าค่ะ”
“ใช่แล้ว ไข่เยี่ยวม้า” หัวหน้าชุยพยักหน้าพร้อมกับคลี่รอยยิ้ม “ข้าเคยได้ยินองค์ชายเก้าโอ้อวดให้ฮ่องเต้ฟังว่าไข่เยี่ยวม้าอร่อยเพียงใด ข้าอยากลิ้มลองมานานแล้ว แต่ในวังหลวงไม่มี ข้างนอกวังหลวงก็หาซื้อได้ยากยิ่งนัก พอข้าได้ลองทานมาสองสามฟองก็รู้สึกว่ารสชาติดีทีเดียว จึงอยากมาขอซื้อกับเจ้า”
เฉียวเวยไม่ได้ถามหัวหน้าชุยว่าเหตุใดเขาไม่ไปซื้อที่หรงจี้ ในเมื่อหัวหน้าชุยมาหาถึงบ้านของนางได้ เขาคงไปที่หรงจี้มาก่อนแล้ว สาเหตุที่ไม่ได้สั่งซื้อกับหรงจี้ย่อมต้องมีเหตุผลส่วนตัว
ประชากรในวังหลวงมีมากนับหมื่นคน เพียงทานคนละนิดคนละหน่อย มันย่อมกลายเป็นปริมาณมากมายจนมิอาจดูแคลนได้
หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เฉียวเวยจึงถามว่า “หัวหน้าชุยต้องการเท่าไร”
หัวหน้าชุยไม่ตอบในทันที หากแต่ถามว่า “เจ้าขายฟองละเท่าไร”
“เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับว่าหัวหน้าชุยต้องการมากเพียงใด ในเมื่อหัวหน้าชุยมาหาถึงที่บ้านของข้า ดังนั้นราคาจึงไม่แพงเหมือนที่ขายในหรงจี้ ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นฟองขายฟองละแปดสิบอีแปะ หนึ่งหมื่นหนึ่งถึงห้าหมื่นฟอง ขายฟองละเจ็ดสิบอีแปะ ห้าหมื่นฟองขึ้นไปขายฟองละเก้าสิบอีแปะเจ้าค่ะ”