หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 106-2 ซาลาเปาน้อยแสดงพลัง ต่อต้านยิ่นอ๋อง
- Home
- หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก
- ตอนที่ 106-2 ซาลาเปาน้อยแสดงพลัง ต่อต้านยิ่นอ๋อง
ใบหน้าของยิ่นอ๋องดำทะมึน จะมีใครอีกที่ถูกเรียกว่าท่านลุงหมิงนอกจากจีหมิงซิว จีหมิงซิวเอาใจเด็กๆ มาก่อนแล้วกระนั้นหรือ เขาไม่อยากเชื่อว่าจีหมิงซิวจะมองไม่ออกว่านี่คือลูกของเขา เหมือนจะมีเจตนาซ่อนเร้นจริงๆ!
ยิ่นอ๋องระงับอารมณ์ แล้วพูดกับวั่งซูว่า “เล่นลูกแก้วไม่สนุกหรอก ในคลังของเสด็จพ่อมีของเล่นน่าสนุกมากมาย อยากไปดูหรือไม่”
วั่งซูหันไปมองพี่ชาย จิ่งอวิ๋นพยักหน้า วั่งซูจึงกล่าวว่า “ก็ได้เจ้าค่ะ เห็นแก่ที่ท่านเอาของอร่อยให้ข้ากิน ข้าจะกล้ำกลืนฝืนใจไปดูให้ก็ได้เจ้าค่ะ”
ยิ่นอ๋องยิ้ม รู้จักคำศัพท์ไม่กี่คำ แต่พูดสำบัดสำนวนคล่องปากเช่นนี้ การเลี้ยงเด็กสักคนช่างน่าสนใจจริงๆ
ยิ่นอ๋องให้ขันทีหลิวเอากุญแจคลังออกมา แล้วพาลูกไปที่ห้องใต้ดินของจวนยิ่นอ๋อง เพราะเขาต้องการเปรียบเทียบว่าตัวเองเหนือกว่าจีหมิงซิว จึงไม่ได้พาลูกไปที่ห้องเก็บสมบัติธรรมดา แต่ให้ขันทีหลิวเปิดประตูสู่ห้องลับชั้นในสุด
ของเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องเคลือบลายครามอันล้ำค่าที่เขาซื้อจากภายนอกมาในราคาสูงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ของทุกชิ้นมีราคาสูงเท่าเมืองแห่งหนึ่งเลยทีเดียว มีบางอย่างที่เป็นของเล่นเด็กโดยเฉพาะ อย่างเช่นลูกแก้วสีรุ้งเจ็ดลูก ตัวต่อปริศนาที่ทำจากหยกอุ่น…นับตั้งแต่เดินเข้าประตูมาก็แลเห็นชั้นสูงใหญ่วางเรียงรายเป็นระเบียบราวกับชั้นวางสินค้า เครื่องเคลือบลายครามละลานตาพาให้บรรยากาศในห้องลับทั้งห้องดูโบราณทว่าน่าเกรงขาม
ครั้นเห็นท่าทางตกตะลึงของเด็กน้อยทั้งสอง ยิ่นอ๋องก็ภูมิใจมาก “เลือกสิ่งที่พวกเจ้าชอบได้เลย”
วั่งซูกลืนน้ำลาย “เลือก เลือกอะไรก็ได้หรือเจ้าคะ”
ท่าทางน่าเอ็นดูของวั่งซูทำให้ยิ่นอ๋องพอใจ ยิ่นอ๋องยิ้มน้อยๆ “เจ้าเลือกอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการ ทั้งหมดนี้เป็นของเสด็จพ่อเจ้าและก็เป็นของพวกเจ้าด้วยเช่นกัน”
ขันทีหลิวอยู่กับท่านอ๋องมาหลายปีแล้ว ยังไม่เคยมีใครได้รับเกียรติให้เข้าไปเลือกของในห้องลับ โดยปกติของที่มอบให้กับบ่าวไพร่จะถูกเลือกมาจากคลังสมบัติห้องรอง สมบัติที่มอบให้คนอื่นล้วนนำมาจากคลังสมบัติห้องหลัก มีเพียงห้องลับนี้เท่านั้นที่ไม่เคยให้ใคร แม้ว่าสิ่งของในนี้จะไม่ได้เป็นสมบัติที่ติดอันดับ แต่สิ่งที่เก็บสะสมไว้ทั้งหมดนั้นเป็น ‘ของรักของหวง’ ของยิ่นอ๋อง หากว่างๆ ไม่มีธุระอะไรท่านอ๋องก็จะเข้ามาเดินชม เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี จากเดิมที่เคยมีอยู่โหรงเหรงแค่สองสามตู้ก็เพิ่มขึ้นเป็นยี่สิบตู้ ทุกชั้นล้วนเต็มไปด้วยเครื่องเคลือบลายครามที่มีค่าราคาประเมินมิได้ ไม่ว่าเจ้านายตัวน้อยจะเลือกของชิ้นใด ล้วนแล้วแต่ได้กำไรทั้งสิ้น
วั่งซูวิ่งสำรวจไปรอบๆ ห้อง แล้วหยุดดูนกยูงทองบนชั้นวางแถวแรก “นี่มันไก่อะไรหรือ เหตุใดมันถึงมีขนหางยาวเช่นนี้เล่า”
ขันทีหลิวหัวเราะ แล้วอธิบายว่า “เรียนคุณหนู นี่ไม่ใช่ไก่ แต่เป็นนกยูง มันเป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่ง นกยูงตัวผู้รำแพนได้ ตอนที่รำแพนมันจะแผ่หางกระดกขึ้นเป็นรูปพัด งดงามมากทีเดียว ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่านกยูงรำแพนขอรับ”
“แล้วเหตุใดตอนนี้มันไม่รำแพน” วั่งซูถาม พลางมองหางสีน้ำเงินเล็กๆ ที่รวบไว้อยู่
“เอ่อ…”
จิ่งอวิ๋นจึงกล่าวว่า “มันจะรำแพนก็ตอนที่มีการเกี้ยวพาราสีคู่เท่านั้น”
“แล้วเกี้ยวพาราสีคืออะไร” วั่งซูถาม
จิ่งอวิ๋นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เหมือนผู้ชายไล่ตามผู้หญิง อยากให้นางทำเรื่องน่าเขินอายด้วยกัน นั่นคือการเกี้ยวพาราสี”
นางมองหน้าเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ แล้วถามขึ้นว่า “เหมือนท่านลุงหมิงกับท่านแม่อย่างนั้นหรือ” นางขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบห้างหูพี่ชาย “ข้าเคยเห็นท่านลุงหมิงขโมยหอมท่านแม่ด้วย”
นางคิดว่าเสียงของตัวเองไม่ดัง แต่ห้องลับเงียบขนาดนี้ ทุกคนจึงได้ยินกันหมด!
“แค่กๆ!” ขันทีหลิวสำลัก พูดเรื่องนี้ต่อหน้าเสด็จพ่อของพวกท่านจะดีหรือ นึกถึงความรู้สึกของเสด็จพ่อบ้างหรือไม่ ไม่กลัวเสด็จพ่อจะกระทบกระเทือนหัวใจหรอกหรือ
ขันทีหลิวแอบมองสีหน้านายท่านของตนเอง แล้วหดคอด้วยความหวาดกลัว
วั่งซูไม่รู้ว่าตัวเองทำให้ยิ่นอ๋องเดือดพล่าน นางรีบวิ่งไปหยิบนกยูงทองคำอย่างตื่นเต้น แต่นางตัวเตี้ย ขนาดเขย่งปลายเท้าแล้วก็ยังเอื้อมไม่ถึง แต่นางฉลาดพอที่จะคว้าแจกันมาวางลงบนพื้น จากนั้นก็เหยียบก้นแจกันจนหยิบนกยูงทองคำมาได้
แจกันนั้นเป็นของในรัชสมัยก่อน ว่ากันว่าฮ่องเต้องค์สุดท้ายใช้มันมาแลกเงินตอนที่เขาต้องหนีตาย ยิ่นอ๋องใช้เงินหลายหมื่นตำลึงเพื่อซื้อมัน แต่หนูน้อยคนนี้กลับเหยียบมันราวกับเป็นแท่นเหยียบ!
ขันทีหลิวสะดุ้ง จากนั้นรีบก้าวเข้าไปหา “คุณหนู ลงมาเร็วขอรับ! ระวังตก!”
ตอนแรกวั่งซูเอื้อมถึงนกยูงทองคำแล้ว แต่ถูกเขาทำให้ตกใจ ร่างเล็กๆ จึงสั่น มือเล็กๆ ก็สั่นเหมือนกัน นางปัดไปโดนนกยูงทองคำจนหล่นจากตู้ นกยูงทองคำร่วงกระแทกพื้นเสียงดัง เคร้ง!
“นกยูงของข้า!” วั่งซูผวาตัวจะไปคว้ามัน แต่ดันชนเข้ากับตู้ใหญ่ใบหนึ่ง ผลสุดท้ายคว้านกยูงทองคำไว้ไม่ได้ แต่กลับทำให้ตู้ใบใหญ่เอนล้ม ตู้ใบหนึ่งล้มไปชนเข้ากับตู้อีกใบ ตู้อีกใบก็ไปชนกับตู้อีกใบ ไม่นาน ตู้ในห้องลับก็ล้มครืนราวกับไพ่โดมิโน
ทั้งเครื่องเคลือบ เครื่องหยก เครื่องทอง ตกลงมาทีละชิ้น ส่วนที่แตกก็แตก ส่วนที่พังก็พัง เสียหายยับเยินไปหมด
ขันทีหลิวตกตะลึง
วั่งซูเดินออกมาจากระหว่างตู้สองแถวที่ล้มระเนระนาด นางถือนกยูงทองคำที่บิดเบี้ยวไม่มีหางออกมา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นกยูงของข้า! ข้าเจอแล้ว!”
ส่วน ‘เสด็จพ่อ’ ของท่านกำลังจะคลั่งตายอยู่แล้ว…
…
เจ้าซาลาเปาน้อยที่ก่อเรื่องไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากเรือนอีกต่อไป ยิ่นอ๋องกลับไปกระอักเลือดที่ห้องหนังสืออึกใหญ่ ขันทีหลิวจะเกลี้ยกล่อมก็ไม่ได้ ไม่เกลี้ยกล่อมก็ไม่ได้ หากจะปลอบว่าเป็นราคาสำหรับการประจบเอาใจฮ่องเต้ ราคานี้ก็เป็นราคาที่สูงเกินไป เครื่องเคลือบลายครามที่อยู่เต็มห้องพังเสียหายไปกว่าครึ่ง รวมมูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนตำลึง แม้จะอยู่นอกห้องขันทีหลิวก็สัมผัสได้ว่าหัวใจของยิ่นอ๋องกำลังหลั่งเลือด แต่เด็กซนพวกนั้นก็เป็นลูกของตัวเอง จะตีก็ไม่ได้จะฆ่าก็ไม่ได้…
ขันทีหลิวมองใบหน้าของเจ้านายที่แทบอยากจะฆ่าคน แผ่นหลังพลันเย็นยะเยือก “คุ…คุณหนูอาจจะกำลังตกใจอยู่ บ่าวจะไปดูสักหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
คุณหนูบางคนที่ ‘ตกใจ’ อยู่ ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนชิงช้าในลานบ้าน นางถือขนมถั่วแดงชิ้นหนึ่ง ตัวเองกินคำหนึ่งป้อนนกยูงทองคำอีกคำหนึ่ง ก่อนหน้านี้ยังกินอะไรไม่ลง แต่ตอนนี้กลับกวาดทุกอย่างบนโต๊ะลงท้องจนหมด
…
ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิดลมกรรโชกแรง
รถม้าเรียบๆ ไม่สะดุดตาหยุดอยู่ที่หัวมุมถนนใกล้กับจวนยิ่นอ๋อง เฉินต้าเตาดึงชุดพรางตัวกลางคืนบนร่าง “หัวหน้าพรรค ต้องทำเช่นนี้จริงหรือ”
เฉียวเวยสวมผ้าคลุมหน้าสีดำกับชุดพรางตัวเช่นกัน เปิดเผยเพียงดวงตาอันคมกริบและลึกล้ำคู่หนึ่ง “บุกเข้าไปอย่างซึ่งๆ หน้าไม่ได้ ก็ทำได้แค่ชิงไหวชิงพริบ”
บนรถม้านอกจากคนทั้งสอง ก็ยังมีพี่น้องอีกสองคนจากพรรคชิงหลง คนหนึ่งชื่ออาอู่ ส่วนอีกคนชื่อหวาเซิง
หวาเซิงเป็นหนอนตำรา เขาสายตาไม่ดีและไม่มีวรยุทธ์ เหตุที่เขาสามารถอยู่ในพรรคชิงหลงได้ก็เพราะหูที่ไวเหมือนสุนัขล่าเนื้อ ได้ยินทุกอย่างภายในระยะหนึ่งร้อยเมตร
“เจ้าได้ยินอะไรหรือไม่” เฉียวเวยถาม
หวาเซิงตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “จวนอ๋องกว้างมาก ข้าไม่ได้ยินเสียงของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู แต่ทุกคนกำลังพูดถึงอะไรบางอย่าง…หอชิงฮุย ‘หอชิงฮุยคึกคักขึ้นแล้ว ในที่สุดก็มีคนมาอยู่’ ‘แน่อยู่แล้ว พวกเราเฝ้าเรือนเปล่ามาตั้งหลายปี เบื่อจะแย่อยู่แล้ว’ ”
เขาเลียนเสียงการสนทนาของสาวใช้ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น เขารีบเอามือปิดหู!
“เกิดอะไรขึ้น” เฉียวเวยกับเฉินต้าเตาถามพร้อมกัน
หวาเซิงสูดหายใจเข้าลึกๆ “ดูเหมือนมีห้องถล่มลงมา”
นั่นคือตอนที่วั่งซูทำลายเครื่องเคลือบลายครามในห้องลับ…
ตราบใดที่ส่วนที่พังทลายไม่ใช่เรือนที่เด็กสองคนอยู่ เฉียวเวยก็ไม่สนใจ “เช่นนั้นก็ไปที่หอชิงฮุยก่อน อาอู่ เจ้ากับหวาเซิงคอยรับคำสั่งอยู่ที่นี่ ข้ากับต้าเตาจะเข้าไปพาเด็กออกมา”
ทั้งสองพยักหน้า
เฉียวเวยถามเฉินต้าเตาอีกครั้ง “ฝั่งหู่จื่อพร้อมหรือยัง”
เฉินต้าเตามองขึ้นไปบนท้องฟ้า “น่าจะพร้อมแล้วขอรับ”
“ขายถังหูลู่! ขายถังหูลู่ขอรับ…” หู่จื่อปลอมตัวเป็นพ่อค้า ตะโกนผ่านประตูจวนอ๋องว่า “ถังหูลู่อร่อยๆ ขายถังหูลู่! ถังหูลู่อร่อยๆ…ถังหูลู่…”
เด็กรับใช้วิ่งไปเอาหน้ากับขันทีหลิว “หลิวกงกงขอรับ ข้างนอกมีคนมาขายถังหูลู่ ท่านจะซื้อให้เจ้านายตัวน้อยสักสองสามไม้ดีหรือไม่ขอรับ”
ขันทีหลิวสั่งสาวใช้ที่อยู่ข้างกาย “ไปถามคุณชายกับคุณหนู อยากทานถังหูลู่หรือไม่”
ไม่นานสาวใช้ก็ตอบกลับมาว่า “คุณหนูชอบทานเจ้าค่ะ”
ขันทีหลิวกล่าวว่า “ไปซื้อสองไม้” แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเข้าก็เปลี่ยนใจ “ช่างเถอะ ข้าจะไปเอง”
บางเรื่องสามารถให้คนอื่นทำแทนได้ แต่บางอย่างต้องทำเอง เขาอยู่ในจวนอ๋องจนมีฐานะเหมือนทุกวันนี้ เป็นไปไม่ได้ที่สายตาจะไม่เฉียบแหลม
ขันทีหลิวเดินออกจากจวนอ๋อง หู่จื่อเหลือบเห็นขันทีวัยกลางคนเดินมาทางด้านนี้ แต่เขาก็จงใจเดินหนี
ขันทีหลิวตะโกนเรียกเขา “เฮ้ย! คนขายถังหูลู่! คนขายถังหูลู่! หยุดก่อน! ข้าต้องการซื้อถังหูลู่!”
หู่จื่อทำเป็นไม่ได้ยิน เขาถือถังหูลู่เดินเข้าไปในตรอก
ขันทีหลิววิ่งตามเขาออกมาหลายก้าว แล้วคว้าแขนของเขาไว้ “เจ้าหูหนวกหรือไร เรียกเจ้าตั้งหลายครั้งก็ไม่ได้ยิน”
หู่จื่อรีบกล่าวขอโทษ “ข้าขออภัยขอรับ ข้าหูไม่ดี ท่านเรียกข้าทำไมหรือ”
“ก็จะทำไมเล่า ซื้อถังหูลู่น่ะสิ!” ขันทีหลิวจ้องเขาตาเขม็ง แล้วหยิบถังหูลู่สองไม้ที่ทั้งใหญ่และเคลือบน้ำตาลอย่างดีจากก้อนฟางที่ใช้ปักไม้ “ราคาเท่าไร”
“ไม่คิดเงินขอรับ” หู่จื่อยิ้ม
ขันทีหลิวสังเกตว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายผิดปกติ กำลังจะอ้าปากพูด แต่จู่ๆ มีดสั้นอันเย็นเฉียบก็กดลงที่เอวของเขา มีดสั้นซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของหู่จื่อ จากมุมมองของคนนอก จะเห็นเพียงหู่จื่อกำลังพยุงขันทีหลิวเท่านั้น
“เจ้า เจ้าจะทำอันใด” ขันทีหลิวถามด้วยร่างกายแข็งทื่อ
หู่จื่อพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “เจ้านายของข้าต้องการเชิญท่าน รบกวนกงกงได้โปรดมากับข้าด้วย!”
ขันทีหลิวได้รับ ‘เชิญ’ จากหู่จื่อไปที่รถม้า
เฉียวเวยถอดผ้าคลุมหน้าออก “เจ้ายังจำข้าได้หรือไม่ หลิวกงกง?”
ตอนแรกขันทีหลิวเห็นว่ากลุ่มคนในรถสวมชุดพรางตัว นึกว่าตัวเองจะถูกโจรเรียกค่าไถ่ แต่พอได้ยินเสียงนี้ก็รู้ว่าไม่ใช่ จึงขยี้ตามองดู “เจ้าเองหรือ”
เฉียวเวยยิ้มเย็น “ข้าเอง ทำไม หลิงกงกงแปลกใจมากหรือ”
ขันทีหลิวมองเฉียวเวย แล้วหันไปมองบุรุษฉกรรจ์ที่ปิดบังใบหน้าทั้งหลายด้านข้าง “เจ้าจะกล้าเกินไปหรือไม่ วิ่งมาก่อเรื่องถึงจวนอ๋อง! ไม่กลัวว่าถ้าท่านอ๋องทราบแล้วจะลงโทษเจ้าอย่างหนักกระนั้นหรือ”
เฉียวเวยพูดเน้นย้ำทีละคำ “ตอนนี้คนที่จะโดนลงโทษอย่างหนักเกรงว่าน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า”
มีดสั้นของหู่จื่อทิ่มเข้าที่เอวของเขามากขึ้น แต่มันไม่ยังไม่โดนเนื้อของเขา ทว่าความรู้สึกตอนที่ถูกจี้ยังทำให้เขาตัวสั่น!
“เจ้า… เจ้าจะทำอะไร คงไม่ได้ให้ข้าช่วยพาเจ้านายตัวน้อยออกมากระมัง สวรรค์เป็นพยาน ข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้นหรอก! จวนอ๋องมีทหารฝีมือดีคอยอารักขาอยู่ การเคลื่อนไหวทุกอย่างของข้าอยู่ภายใต้สายตาของท่านอ๋อง อย่าว่าแต่พาเด็กสองคนออกจากจวนเลย พาออกมาแค่คนเดียวก็ถูกพบเข้าแล้ว!”
เฉียวเวยกล่าวอย่างเฉียบขาด “เจ้าเองก็ต้องทำตามคำสั่งผู้อื่น ข้าจะไม่บังคับให้เจ้าทำเรื่องที่เจ้าทำไม่ได้”
ดวงตาของขันทีหลิวไหววูบ “ถ้าอย่างนั้น เจ้าต้องการ…”
“หอชิงฮุยอยู่ที่ไหน”
หัวใจของขันทีหลิวเต้นไม่เป็นจังหวะ “เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้านายตัวน้อยอยู่ในหอชิงฮุย”
อยู่ที่นั่นจริงๆ เสียด้วย!
เฉียวเวยพูดอย่างเย็นชา “เจ้าไม่ต้องรู้หรอกว่าข้ารู้ได้อย่างไร เจ้าแค่บอกข้ามาว่าไปหอชิงฮุยทางไหนปลอดภัยที่สุด”
ขันทีหลิวพูดอย่างยากลำบาก “เจ้าจะผ่านประตูหรือไต่ข้ามกำแพงไป”
เฉียวเวยตบโต๊ะดังลั่น “ไร้สาระ! ต้องไต่ข้ามกำแพงอยู่แล้ว!”
ขันทีหลิวตกใจจนหัวใจสั่นเหมือนจะหลุดออกจากร่าง น่าแปลก เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเพียงสตรี แต่กลับมีกลิ่นอายเยือกเย็นเหมือนเผชิญหน้ากับภูตผี “หอชิงฮุยอยู่ใกล้กำแพงด้านทิศใต้ เจ้าไต่ข้ามไป แล้วเดินไปไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว ที่นั่นมีองครักษ์ชิงอีเว่ยอารักขาอยู่”
“มีองครักษ์ชิงอีเว่ยกี่คน”
“สอง หรือสาม…”
เฉียวเวยง้างปากของเขาให้อ้าออก แล้วยัดยาลูกกลอนเข้าปาก “หากไม่พูดความจริงแล้วเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับข้า จะไม่มีผู้ใดมอบยาแก้พิษแก่เจ้า เจ้าก็ไม่รอดเหมือนกัน!”
ขันทีหลิวเป็นคนที่กลัวตายมากที่สุด ไม่ต้องพูดถึงว่าสิ่งนี้คือ ‘ยาพิษ’ ต่อให้เป็นยาลูกกลอนทำจากน้ำตาล เขาก็กลัวจนอกสั่นขวัญแขวนได้ครึ่งวันแล้วด้วยกลัวว่าจะเผลอไปกินของไม่สะอาด จนเป็นเหตุให้พรากชีวิตน้อยๆ นี้ไป
เขาเปลี่ยนคำพูดโดยไม่ลังเล “มีองครักษ์ชิงอีเว่ยสี่นาย! องครักษ์ทั่วไปอีกสี่นาย!”
ช่างเห็นคุณค่าลูกของนางจริงๆ ถึงกับส่งคนมาเฝ้าดูมากขนาดนี้
เฉียวเวยปล่อยมือที่บีบคางของเขา “จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าคนชั่วนั่นไม่ได้ทำอะไรพวกเขาใช่หรือไม่”
เจ้า คนชั่ว…
มุมปากของขันทีหลิวกระตุก “เลือดเนื้อเชื้อไขของตน ท่านอ๋องจะทำให้พวกเขาลำบากหรือ”
เครื่องเคลือบลายครามทั้งห้องโดนทำลายย่อยยับ ท่านอ๋องกำลังกระอักเลือดอยู่ในห้องหนังสือคนเดียว ขนาดนั้นเขาก็ยังไม่จับพวกเด็กซนไปทำร้ายแต่อย่างใด สิ่งที่ท่านอ๋องทำยังไม่เรียกว่าดีกับพวกเขาอีกหรือ
เฉียวเวยมองขันทีหลิวอย่างมีเลศนัย แล้วกล่าวว่า “เจ้าไปพาองครักษ์ชิงอีเว่ยออกไป”
ขันทีหลิวตกใจมาก “เจ้าบอกว่าจะไม่บังคับให้ข้าทำในสิ่งที่ข้าทำไม่ได้มิใช่หรือ”
เฉียวเวยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา แล้วเช็ดมือข้างที่จับยาลูกกลอนด้วยสีหน้าราบเรียบ “นั่นมันก่อนที่เจ้าจะกินยาพิษลงไป ตอนนี้เจ้าหักหลังท่านอ๋องก็ตาย ไม่ได้ยาถอนพิษจากข้าก็ตายเช่นกัน เจ้าลองพนันดู ทางไหนจะตายเร็วกว่ากัน”