หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 108-1 ครอบครัวสี่คนที่แสนอบอุ่น
ช่วงเย็นเขาโดนเจ้าลูกตุ้มเหล็กน้อยวั่งซูร่วงลงมาใส่จนตอนนี้ยังปวดแขนอยู่เลย แต่กลับยกน้ำอย่างไม่เหลาะแหละสักนิด เขาถือน้ำถังละข้างอย่างมั่นคง ท่าทางองอาจกล้าหาญดุจดั่งพยัคฆ์!
เฉียวเวยอาบน้ำให้เด็กๆ อยู่ในห้อง แล้วจับสวมเสื้อผ้าสมัยเด็กของจีหมิงซิวกับพี่สาวของเขา ชุดเหล่านั้นเป็นเสื้อผ้าชุดเก่ากว่ายี่สิบปีแต่กลับดูเหมือนใหม่ เนื้อผ้าและรูปแบบอาภรณ์ล้วนงดงาม กระทั่งเสื้อผ้าที่ขายอยู่ในร้านผ้ายังเทียบไม่ติด เมื่อสวมแล้วมีกลิ่นอายของคุณชายน้อยคุณหนูน้อยจากเมืองหลวงขึ้นมาทันตา
“เจ้าไปอาบน้ำเถิด ข้าจะเช็ดผมให้พวกเขาเอง” จีหมิงซิวหยิบผ้าจากมือของเฉียวเวย
นางก็อยากอาบน้ำอยู่เหมือนกัน แต่นางไม่ได้เอาเสื้อผ้ามา!
เฉียวเวยเม้มริมฝีปาก “ยังมีชุดพี่สาวของท่านเหลืออยู่หรือไม่”
จีหมิงซิวนั่งอยู่ด้านหลังของเด็กสองคน มือทั้งสองข้างถือผืนผ้าเช็ดผมให้เจ้าซาลาเปาน้อยข้างละคน “เจ้าโตขนาดนี้ ไม่มีหรอก ตอนนางออกเรือนก็เอาไปหมด เหลือไว้แต่ชุดตอนเด็กเท่านั้น”
ลี่ว์จูมาถึงหน้าประตูแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงนำชุดกระโปรงคาดเอวสีเหลืองอ่อนของจีหว่านที่ถือมากลับไป
เฉียวเวยถอนหายใจด้วยความผิดหวัง และถามอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้น…ข้าจะไปขอยืมจากลี่ว์จู ข้าตัวพอๆ กับนาง ตอนข้ามาที่นี่ครั้งแรกก็ยืมชุดของนางใส่”
จีหมิงซิวกล่าวว่า “นางก็ไม่มีชุดเหลือแล้ว”
ลี่ว์จูที่เดินมาถึงประตูอีกครั้ง ได้ยินเช่นนั้นก็ถือเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ยังไม่ได้ใส่กลับไปเก็บเงียบๆ…
จีหมิงซิว ‘โยน’ เสื้อสีขาวให้เฉียวเวย
“นี่อะไร” เฉียวเวยคลี่ออกดู “นี่มิใช่ชุดนอนของท่านหรือ”
จีหมิงซิวตอบเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ใส่ไปพลางๆ ก่อนสักคืนเถิด คืนนี้ซักเสื้อผ้าของเจ้าไว้ พรุ่งนี้ก็แห้งแล้ว”
เฉียวเวยก้มมองชุดนอนในมือ บนเสื้อยังมีกลิ่นหอมสะอาดอยู่ กลิ่นนั้นหอมเหมือนกลิ่นบนกายของเขาอย่างไรอย่างนั้น “ท่านไม่ได้ตั้งใจใช่หรือไม่”
จีหมิงซิวตอบอย่างเคร่งขรึม “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
ตนคิดมากเกินไปเช่นนั้นหรือ เหตุใดรู้สึกว่าชายผู้นี้ดูแปลกๆ เหมือนมี…เจตนาไม่ดี
เฉียวเวยออกมาจากห้องอาบน้ำ สวมเสื้อบุรุษในยุคโบราณชุดนั้น มันมีความยาวเพียงแค่เข่าของนาง
บางทีอาจเป็นเพราะแช่น้ำร้อน เข่าจึงปรากฏรอยแดงจางๆ เล็กน้อย
จีหมิงซิวกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก หาเรื่องดีนัก ตอนนี้ชาดีบัวเข้มๆ หนึ่งถ้วยก็เอาไม่อยู่แล้ว
พ่อครัวหยางทำอาหารมื้อดึกอย่างรวดเร็ว แต่เด็กๆ เหนื่อยมากจริงๆ เมื่ออาหารมื้อดึกถูกยกออกมา ศีรษะเล็กก็เริ่มผงกอย่างง่วงงุน จิ่งอวิ๋นถือช้อนตักรังนกทานได้สองคำ เขาก็ปีนขึ้นเตียงนอนหลับแล้ว
ทางด้านวั่งซูก็กำลังนอนกรนคร่อกๆ อยู่ในอ้อมแขนของเฉียวเวย
เฉียวเวยให้เด็กๆ บ้วนปาก เด็กๆ ทำตัวเหมือนก้อนแป้ง ปล่อยให้นางนวดไปมาทำอย่างไรก็ไม่ตื่น
ดวงตาของจีหมิงซิวไหวระริกเล็กน้อย ผู้หญิง เด็ก ตะเกียงน้ำมัน อาหารและห้องอันอบอุ่น ช่างเหมือนกับ…จู่ๆ ก็มีกลิ่นอายอันอบอุ่นและหวานชื่น นั่นคือกลิ่นอายของบ้าน
จีหมิงซิวไม่ได้อยู่นานนัก เมื่อเฉียวเวยจัดการดูแลเด็กๆ ทั้งสองจนเรียบร้อย เขาก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
แสงจันทร์สาดส่องต้องตัวเขาจนเห็นเงาของเขาทอดยาว ทำให้เขาดูอ้างว้างอยู่ในลานบ้านอันเงียบสงบ
“นายท่านกลับมาเซ่นไหว้องค์หญิงกระมัง” จู่ๆ เสียงของลี่ว์จูก็ดังขึ้นที่หน้าประตู นางทอดสายตามองไปยังห้องหนังสืออย่างครุ่นคิด
เฉียวเวยถามด้วยความสงสัย “องค์หญิงหรือ”
ลี่ว์จูนำตะเกียงไข่มุกราตรีขนาดเล็กมา “มารดาของนายท่านเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยประหลาดใจเล็กน้อย “มารดาของเขา…ล่วงลับไปแล้วหรือ” เมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่เฉียวเวยห่วงใยมากที่สุดคือการตายของมารดาเขา มิใช่ความเป็นองค์หญิง
มารดาจากไป ในใจคงรู้สึกขมขื่นอยู่บ้างกระมัง แต่ดูจากท่าทางของเขาไม่เหมือนเด็กที่ขาดแม่เลยสักนิด
เขามักจะซ่อนอารมณ์ของเขาไว้ลึกยิ่งนัก ลึกจนไม่มีผู้ใดสามารถมองทะลุหัวใจของเขาได้
ลี่ว์จูถอนหายใจเกือบจะพร้อมกับเฉียวเวย แล้วกล่าวว่า “จากไปหลายปีแล้ว ว่ากันว่าตอนที่นายท่านอายุพอๆ กับจิ่งอวิ๋น องค์หญิงเจาหมิงก็จากไปแล้ว ในช่วงนี้ของทุกปี นายท่านจะอยู่ในเมืองหลวงอย่างสงบ คราวนี้คงมีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนจึงเดินทางไปเจียงหนานอย่างผิดแผกจากปกติ แต่ข้าได้ยินองครักษ์เยี่ยนกล่าวว่านายท่านเหมือนยังมีธุระที่สะสางไม่เรียบร้อย ดังนั้นข้าจึงเดาว่าเหตุที่นายท่านรีบกลับเมืองหลวงกลางคันก็เพราะมาเซ่นไหว้องค์หญิงเจ้าค่ะ”
เช่นนี้นี่เอง นางก็คิดอยู่ว่าเหตุใดเขาจึงกลับมาอย่างกะทันหัน
แม้ว่าจะไม่เคยเห็นองค์หญิงเจาหมิง แต่กลับรู้สึกราวกับว่าวิญญาณของนางบนสรวงสวรรค์เป็นคนพาหมิงซิวกลับมา
วันรุ่งขึ้น เฉียวเวยกล่าวลาจีหมิง
จีหมิงซิวไม่รู้ว่าเฉียวเวยทราบเรื่องการจากไปของมารดาเขาแล้ว เฉียวเวยแสร้งทำเป็นไม่รู้เหมือนที่ผ่านมา เมื่อเห็นเขาสั่งให้คนขนกล่องใบใหญ่ขึ้นรถม้าหลายใบ นางก็รู้จักกาลเทศะมิถามว่าของเหล่านั้นเป็นเครื่องเซ่นไหว้องค์หญิงเจาหมิงหรือไม่
จีหมิงซิวโบกมือเรียกวั่งซูกับจิ่งอวิ๋น เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองวิ่งกระดุ๊กกระดิ๊กไปหาเขา เขาโน้มตัวลงแล้วกระซิบบางอย่างกับทั้งสองคน ทั้งคู่เบิกตาโพลง มองไปทางเฉียวเวยอย่างประหลาดใจ
เฉียวเวยเลิกคิ้วด้วยความสงสัย
อึดใจต่อมามิรู้ว่าเขาพูดอันใดอีก วั่งซูปิดปากเล็กๆ แล้วยิ้มอย่างมีลับลมคมในพร้อมกับเหลือบมองเฉียวเวยด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เป็นครั้งคราว
หลังจากกระซิบเสร็จแล้ว เจ้าซาลาเปาน้อยก็วิ่งผละออกไป เฉียวเวยจึงเดินเข้าไปหา “เมื่อครู่ท่านแอบนินทาอะไรข้ากับพวกเขา”
จีหมิงซิวตอบอย่างคลุมเครือ “นี่เป็นความลับของพวกเราสามคน บอกเจ้ามิได้”
เฉียวเวยเบ้ปาก ขนาดนางยังไม่มีความลับร่วมกับเจ้าพวกตัวน้อยเลยนะ
จีหมิงซิวอารมณ์ดี นัยน์ตาฉายแววยินดี “ประเดี๋ยวหมิงอันก็จะมาแล้ว เขาจะไปส่งเจ้ากลับ ข้ายังมีธุระอีก คงไม่ได้ส่งเจ้ากลับหมู่บ้าน”
เฉียวเวยปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก ต้าเต้ามีรถม้า พวกเรานั่งรถม้าของเขากลับได้”
ขืนนั่งรถม้าของเขาเข้าไปในหมู่บ้านแล้วถูกชาวบ้านเห็นเข้า คงมีพวกปากหอยปากปูเอาไปโพนทะนาอีก ต่างจากเฉินต้าเตา เขามาทำงานในทุ่งนาบ่อยๆ ทุกคนต่างรู้จักเขา รู้ว่านางกับพรรคชิงหลงมีความสัมพันธ์กันอย่างไร นอกจากน้าหลิวผู้ปากมากแล้วก็ไม่มีผู้ใดคิดในทางอกุศลอีก
จีหมิงซิวเหลือบมองนาง “เช่นนั้นก็ได้”
เฉียวเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ท่านทำยิ่นอ๋องมีสภาพเช่นนั้น ยิ่นอ๋องจะไม่กลับมาแก้แค้นท่านหรอกหรือ”
จีหมิงซิวยิ้ม “เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”
เฉียวเวยพึมพำ “ผู้ใดเป็นห่วงท่านกัน” มารดาของท่านเป็นองค์หญิง ท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ มีคนหนุนหลังแข็งแกร่งปานนั้น…
จีหมิงซิวมองนาง กระตุกมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ต้องการพูดอันใดกันแน่”
เฉียวเวยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่สามารถกล่าววาจาปลอบประโลมเรื่องการสูญเสียออกมาได้ “ไม่มีอันใด แค่จะถามว่าท่านรู้จักกับนายท่านหกได้อย่างไร เขาบอกว่าท่านมีบุญคุณต่อเขา”
จีหมิงซิวรู้อยู่เต็มอกว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการจะพูด แต่ก็ตอบอย่างอดทน “ยิ่นอ๋องจะทำการค้าร่วมกับเขา แต่เขาเปลี่ยนใจครึ่งทางทำให้ยิ่นอ๋องขุ่นเคือง ข้าจึงช่วยเขาซ่อนตัวอยู่พักหนึ่ง”
ที่นายท่านหกยุติการร่วมมือกับยิ่นอ๋องคงไม่ใช่เพราะเชื่อคำยั่วยุของนางกระมัง หากเป็นเช่นนั้นก็น่าชื่นใจยิ่งนัก
ใครใช้ให้เขารังแกนาง!
ใครใช้ให้เขาลักพาตัวลูกของนาง!
ใครใช้ให้เขาไร้ยางอาย!
ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า กิจการล่มจม
เมื่อเฉียวเวยดีใจ นางก็แสดงสีหน้าพออกพอใจอันน่ารักน่าชังออกมา
เมื่อจีหมิงซิวเห็นนางเช่นนั้น ริมฝีปากก็ยกยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ไม่ถามบ้างหรือว่าข้าไปทำอันใดที่เจียงหนาน”
เฉียวเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าท่านอยากบอกก็คงบอกข้าเอง ถ้าท่านไม่อยากบอก ข้าถามไปท่านก็โกหกอยู่ดี ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ติดเครื่องดักฟังไว้กับตัวท่าน ท่านจะทำอันใดข้าย่อมไม่รู้”
คำศัพท์คำใหม่หลุดออกมาจากปากของนางอีกแล้ว แต่จีหมิงซิวชินเสียแล้ว หากวันหนึ่งนางเป็นเหมือนสตรีทั่วไป ดวงอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตก
ครั้นแล้วจีหมิงซิวจึงกล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกเจ้า แล้วข้าจะแจ้งให้เจ้าทราบเมื่อผลลัพธ์ปรากฏออกมาแล้ว”
เฉียวเวยชี้ไปที่ตัวเอง “มันเกี่ยวกับข้าหรือ”
ดวงตาของจีหมิงซิวเป็นประกาย “นับว่าเกี่ยวข้องอยู่กระมัง”
…
หลังจากก้าวเข้าไปในรถม้า เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถามจีหมิงซิวขณะที่กำลังกัดผลผิงกั่วว่า “นายน้อย นับว่าเกี่ยวข้องกับนางหมายความว่าอย่างไร ท่านคงไม่สงสัยจริงกระมังว่าเมื่อห้าปีก่อนแม่นางคนนั้นจะเป็นนังหนูคนนี้ ถ้าเป็นนางจริงก็จัดการได้ง่ายหน่อย แต่ถ้าเกิดไม่ใช่ แล้วถึงเวลานั้นนางถามขึ้นว่า ‘วันนั้นท่านจะพูดอะไรกับข้า ท่านว่าไปเจียงหนานครานั้นเกี่ยวกับเรื่องของข้า เกี่ยวอะไรหรือ’ ท่านจะตอบว่าอย่างไร จะตอบนางไปตามจริง หรือว่าโกหกนาง”
“ข้าจะไม่โกหกนางและจะไม่ปิดบังนาง”
ไม่ว่าคืนนั้นจะใช่นางหรือไม่ก็ตาม
…
ทางด้านเฉียวเวย หลังจากที่ทุกคนเดินทางออกจากเรือนสี่ประสานก็ไม่ได้กลับหมู่บ้านทันที แต่ไปที่ร้านคนโปรดก่อน
ตรอกร้านคนโปรดผจญเหตุการณ์อันแสนระทึกมาหนึ่งวัน แต่เมื่อพวกเขาเหยียบเข้ามา ณ ที่แห่งนี้อีกครั้ง ทุกอย่างกลับเป็นปกติราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทุกอย่างดูเป็นปกติเรียบร้อยดี ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนเอง ไม่มีผู้ใดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ท่านอ๋องผู้มีชื่อเสียงองค์หนึ่งปล้นชิงลูกของหญิงชาวบ้านกลางถนน
เฉียวเวยให้เฉินต้าเตากับเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองรออยู่ที่ร้านน้ำชาฝั่งตรงข้าม ส่วนนางเข้าไปในร้านคนโปรดคนเดียว
ที่นี่ดูเหมือนคฤหาสน์ส่วนตัวของครอบครัวตระกูลใหญ่ ลานบ้านเต็มไปด้วยดอกไม้แปลกตา นกกระจอกกับนกขุนทองวางเป็นแถวเรียงรายอยู่ตามทางเดิน สาวใช้กำลังได้รับการสอนมารยาทจากมามาทั้งหลาย พวกนางต่างกำลังเรียนการเยื้องย่างอย่างสง่างามอยู่ตามลานบ้านและโถงทางเดิน
ผู้ที่มาต้อนรับเฉียวเวยเป็นสตรีที่มีอายุพอประมาณ แต่งกายสุภาพเรียบร้อยแต่ไม่โอ้อวด แวบแรกที่เห็น นางดูไม่ต่างจากสตรีสูงศักดิ์ที่มาจากตระกูลใหญ่
“สามีข้าแซ่เฉียน ไม่ทราบว่าจะให้เรียกแม่นางว่าอย่างไร” เฉียนฮูหยินพาเฉียวเวยไปนั่งตรงตำแหน่งเจ้าบ้าน พร้อมกับยกน้ำชามาให้อย่างเป็นกันเอง
เฉียวเวยรับถ้วยน้ำชา “ข้าแซ่เฉียว”
เฉียนฮูหยินยิ้มหวาน “ที่แท้ก็แม่นางเฉียว”
เฉียวเวยไม่ชอบทำผมตามแบบสตรีที่ออกเรือนแล้ว ประการแรกเพราะวิญญาณของนางในร่างนี้เป็นหญิงที่ยังไม่แต่งงาน ประการที่สองผมทรงนั้นทำยากเกินไป ไม่ว่าอย่างไรนางก็ทำไม่เป็นเสียที
นอกจากท่วงท่าอันสุขุมหนักแน่นกว่าคนส่วนใหญ่แล้ว ใบหน้านางกลับดูอ่อนเยาว์กว่าหญิงสาวแรกรุ่นเสียอีก ไม่แปลกที่เฉียนฮูหยินจะคิดว่านางเป็นแม่นางน้อย แต่แม่นางน้อยผู้นี้ดูน่ามองยิ่งนัก มิใช่ว่าใบหน้างามเลิศเลอมากมาย แต่ท่าทางมีชีวิตชีวากลับทำให้คนสะดุดตา
หากร้านคนโปรดของนางมีคนหน้าตาสะสวยเช่นนี้บ้าง เกรงว่าตระกูลขุนนางเหล่านั้นคงยื้อแย่งเป็นการใหญ่
เฉียนฮูหยินยิ้ม “แม่นางเฉียวต้องการซื้อคนหรือขายคน”
“ซื้อคน” เฉียวเวยกล่าว
เฉียนฮูหยินถามด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางเฉียวต้องการซื้อไปทำสิ่งใด เก็บกวาด ปรนนิบัติรับใช้ หรือไว้คอยติดตามตอนออกเรือน ต้องการคนที่แข็งแรง หน้าตาโดดเด่น หรือว่าฉลาดหลักแหลม”
เพิ่งรู้ว่าตลาดค้าทาสฉบับแปลงโฉมจะพิถีพิถันขนาดนี้ เฉียวเวยเหมือนได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ
“ข้าว่าอายุอานามของแม่นางน่าจะถึงวัยออกเรือนแล้วกระมัง” เฉียนฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้มต่อว่า “ที่นี่พวกเรามีสาวใช้ไว้คอยติดตามออกเรือนโดยเฉพาะ ทั้งหน้าตางดงามและจริงใจ หากพาไปอยู่ด้วยทั้งช่วยมัดใจสามีของเจ้า ทั้งยังช่วยจัดการเรื่องบ้านเล็กบ้านน้อยให้ได้ด้วย ที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีใจคิดเป็นอื่น”
ทั้งสวยทั้งจริงใจ แถมยังสามารถดูแลบ้านเล็กบ้านน้อยได้ นี่มันผิงเอ๋อร์ในนิยายเรื่องความฝันในหอแดงชัดๆ ถึงมีคนอยากเป็นผิงเอ๋อร์ แต่นางไม่อยากเป็นหวังซีเฟิ่งที่มีสามีร่วมกับผู้หญิงอื่นหรอกนะ แค่คิดก็รับไม่ได้แล้ว
เฉียวเวยปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม “เฉียนฮูหยินเข้าใจผิด ข้าไม่ได้มาซื้อสาวใช้ไว้ติดตามออกเรือน ข้าต้องการซื้อคนงาน คนที่ทำงานหนักได้”
คนส่วนใหญ่จะหาคนงานจากการรับสมัครเพราะค่าแรงถูกกว่า ทุกคนในร้านคนโปรดไม่ว่าจะเป็น สาวใช้ก็ดี เด็กรับใช้ก็ช่าง แม้กระทั่งแม่นมหรือมามาก็ตาม พวกเขาล้วนเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดี ราคาค่าตัวสูงลิ่ว หากจะเอาไปเป็นคนงานก็ดูจะไม่คุ้มอยู่บ้าง
เฉียวเวยก็เคยพิจารณาเรื่องต้นทุนเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับการจ้างคนที่ไว้ใจไม่ได้ ทำให้สูตรรั่วไหลและถูกคนอื่นเลียนแบบได้ง่ายจนสินค้าของนางสูญราคาอย่างรวดเร็ว หากเป็นเช่นนั้นจะมีมูลค่าความเสียหายมากกว่าอีก
ในทางตรงกันข้าม การใช้เงินซื้อบ่าวรับใช้ที่สามารถควบคุมได้เป็นวิธีที่ฉลาดและประหยัดกว่า
แม้ว่าเฉียวเวยจะแต่งตัวเรียบง่าย แต่เฉียนฮูหยินก็ไม่กล้ามองเฉียวเวยด้วยสายตาดูถูก เพราะนางเคยพบเจอคนมานักต่อนักแล้ว นางเคยเห็นคนที่ขาเลอะโคลนตม แต่เวลาจ่ายเงินกลับควักทองหาบใหญ่ออกมาได้ ครั้นแล้วจึงเรียกเด็กรับใช้เข้ามาหลายคน “นี่คือบ่าวรับใช้ที่ร้านคนโปรดเพิ่งอบรมมาใหม่ พวกเขาทำงานว่องไว อดทนต่อความลำบากได้ เหมาะสำหรับการทำงานหนักที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นงานที่สกปรกหรืองานที่หนักหนาสาหัสพวกเขาก็สามารถทำได้!”
เฉียวเวยมองคนทั้งห้าอย่างพิจารณา และถามเฉียนฮูหยินว่า “มีคนงานหญิงหรือไม่”
“ผู้หญิงอ่อนแอ” เฉียนฮูหยินกล่าว
“ข้าไม่ได้ให้ทำงานหนัก” เฉียวเวยบอก
ไม่ใช่ว่านางเลือกปฏิบัติ แต่เด็กรับใช้เหล่านี้ดูไม่ค่อยดีนัก ท่าทางของแต่ละคนดูเซ่อๆ ไม่มีชีวิตชีวา ขืนซื้อกลับไปจริง จะทำงานเสร็จทันตามคำสั่งซื้อหรือไม่นางก็ยังไม่แน่ใจ
เฉียนฮูหยินกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าต้องการแต่ผู้หญิงเท่านั้นหรือ”
เฉียวเวยตอบว่า “ได้ทั้งชายและหญิง อยากได้คนที่ดูมีชีวิตชีวาหน่อย ท่าทางใจดี อายุมากไปหน่อยก็ไม่เป็นไร”
“หากพาไปทั้งครอบครัวจะเป็นอันใดหรือไม่” เฉียนฮูหยินถามขึ้นทันใด
เฉียวเวยมองนางอย่างแปลกใจ
นางอธิบายอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ตามเกณฑ์ที่เจ้าเพิ่งพูดถึง ข้ามีผู้ที่เหมาะสมอยู่ พวกเขาเป็นอากับสะใภ้ของขุนนางที่ต้องโทษคนหนึ่ง แต่พวกเขามีเด็กด้วย คนทั่วไปไม่ค่อยซื้อทาสแบบนี้กัน บอกว่ายุ่งยาก ข้าเห็นว่าเจ้าท่าทางจิตใจดี ไม่ทราบว่ารังเกียจหรือไม่ที่พวกเขาจะพาเด็กไปด้วย”
หากเป็นเมื่อก่อนเฉียวเวยอาจคิดหนัก แต่ตอนนี้เฉียวเวยเป็นคนมีลูกแล้ว ผู้ที่ต้องพาลูกออกไปทำมาหากินด้วย นั่นก็เพราะว่าจนปัญญาจริงๆ เช่นเดียวกับที่ตอนนางทำการค้าแรกๆ ก็จำใจต้องพาลูกชายกับลูกสาวออกไปทำงานด้วยมิใช่หรือ
เมื่อเอาใจเขามาใส่ใจเรา นางก็ไม่รังเกียจที่พวกเขามีเด็กมาด้วย
แต่นางไม่ใช่แม่พระ หากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ตรงตามความต้องการของนาง นางก็จะไม่ซื้อกลับบ้าน