หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 113-1 กิจวัตรประจำวันของเศษสวะ
เขาวายุทมิฬ หรืออีกชื่อหนึ่งคือเขามนตรา ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณสามสิบลี้ มันเป็นสถานที่งดงามดุจแหล่งรวมพลังงานแห่งความดีงาม แต่บนภูเขากลับเป็นที่ตั้งของค่ายวายุทมิฬ ในค่ายมีคนอาศัยอยู่สิบกว่าถึงยี่สิบคน พวกเขาไม่หักร้างถางพงทำนา มุ่งแต่จะออกปล้นสะดมชาวบ้าน
ตอนแรกพวกเขาปล้นสะดมขุนนางและพ่อค้าที่ผ่านทางมา ต่อมาขุนนางและพ่อค้ารู้ทันจึงเริ่มไม่เดินทางผ่านเขาวายุทมิฬ แต่ใช้ถนนของหมู่บ้านที่เชิงเขาอีกแห่งแทน
อยากรวยต้องสร้างถนนก่อน เพื่อที่จะปล้นสะดมได้มากขึ้น พวกเขาจึงซ่อมแซมถนนที่ตัดผ่านภูเขาทั้งหมด แต่ไม่กี่วันผู้คนก็เลิกเดินทางผ่านอีก
ชาวเขาวายุทมิฬโกรธจัดและตัดสินใจพาเหล่าพี่น้องไปปล้นหมู่บ้าน
แต่น่าเสียดายที่ทุกคนไปและกลับมามือเปล่า
พวกนั้นยากจนกว่าค่ายบนเขาของพวกเขาอีก จะไปปล้นสะดมอะไรได้
แต่ไม่นานมานี้ ในที่สุดหมู่บ้านก็มีครอบครัวร่ำรวย พวกเขาสร้างบ้านคล้ายพระราชวังบนภูเขา ขุดสระน้ำเหมือนบ่อปลา แล้วยังสร้างโรงงานอีกด้วย แต่ละวันสามคนนั้นจะต้องขนไข่เป็ดหลายร้อยฟองเข้าไปในโรงงาน ท่าทางคงเป็นกิจการที่ขายดีมาก
แต่ละมื้อพวกเขาได้กินเนื้อปลาเนื้อสัตว์ แต่บรรดาพี่น้องในค่ายวายุทมิฬกลับมีโอกาสได้กินเนื้อหมูสามชั้นคนละเล็กคนละน้อยในทุกวันคู่เท่านั้น ส่วนวันคี่ได้กินเนื้อติดมัน วันที่หนึ่งของเดือนได้กินเนื้อไม่ติดมัน สิ้นเดือนไม่มีเนื้อสัตว์ให้กิน
ครอบครัวนั้นยังทำอาหารหอมมาก ขนาดพวกเขาอยู่ภูเขาลูกถัดไปยังได้กลิ่น
โจรสิบถึงยี่สิบคนน้ำลายสอจากกลิ่นที่โชยมาจากบ้านหลังเล็กๆ กลิ่นนั้นอย่าหอมหวนชวนหิวมากกว่านี้ได้หรือไม่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตัดสินใจว่าจะปล้นครอบครัวร่ำรวยนั่นเสีย หากทำเช่นนี้พี่น้องทั้งหลายก็จะได้กินเนื้อ
ทุกคนกำลังหมอบซุ่มอยู่บนเนินเขาไม่ไกลนัก รอคอยโอกาสอย่างเงียบๆ
“ลูกพี่ ข้าได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนั้นร้ายกาจมาก ขนาดพรรคชิงหลงยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง” เสี่ยวเว่ยผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวสารรายงาน
หัวหน้าค่ายตบหน้าผากเขา “อย่ายกยอผู้อื่นมาข่มขวัญตนเองสิ! ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งปานใดนางก็เป็นเพียงสตรี! จะเอาชนะพวกเราห้าคนได้หรือ แล้วในบรรดาพวกเรายังมีเจินเวยเหมิ่งจอมพลังอยู่ด้วย”
เจินเวยเหมิ่งเบ่งกล้ามให้ดู
“มีตู้ซานเชียนที่เป็นปรมาจารย์แห่งพิษสังหาร!”
ตู้ซานเชียนค่อยๆ พ่นควันพิษออกมาจากปาก
“มียอดฝีมือแห่งการฝึกงู…เจ้าชื่ออะไรนะ” หัวหน้าค่ายถามผู้มาใหม่
ผู้มาใหม่หรี่ดวงตาพร่ามัวที่มองเห็นไม่ชัดว่าใบหน้าของหัวหน้าค่ายหน้าตาเป็นเช่นไร แล้วกล่าวว่า “ข้าชื่อเจียงเสี่ยวซื่อ ชาวยุทธ์เรียกข้าว่า…เจ้าแห่งอสรพิษขอรับ”
ว่าแล้วเขาก็จับงูไผ่เขียวออกมาจากตะกร้า งูไผ่เขียวเป็นงูพิษชนิดหนึ่ง ตัวของมันเป็นสีเขียวเหมือนมรกต ดูภายนอกมันเป็นงูที่มีลักษณะน่าดึงดูด มีพิษในระดับหนึ่ง แม้เทียบไม่ได้กับงูพิษร้ายแรงชนิดอื่น แต่ถ้าถูกกัดจะปวดแผลมาก ปากแผลยับเยิน คลื่นไส้ เวียนศีรษะ สูญเสียความสามารถในการต่อสู้ ร้ายแรงที่สุดอาจหลงเหลือพิษทำให้พิกลพิการ
ค่ายวายุทมิฬเคยโจมตีพ่อค้าที่จัดการยากหลายคนโดยอาศัยงูไผ่เขียวของเจียงเสี่ยวซื่อ ทุกครั้งพวกเขาล้วนทำสำเร็จ
ดังนั้นหัวหน้าค่ายจึงฝากความหวังไว้กับลูกรักของเจียงเสี่ยวซื่อ
หัวหน้าค่ายพูดกับเสี่ยวเว่ยว่า “และข้า หัวหน้าค่ายของเจ้า มีชื่อเสียงมากในด้านวรยุทธ์ พวกเรามียอดฝีมือมากมายเช่นนี้ เจ้ากลัวว่าพวกเราจะเอาชนะผู้หญิงไม่ได้หรือ”
เสี่ยวเว่ยพยักหน้าด้วยเข้าใจแล้ว “หัวหน้าค่ายพูดถูก แค่ผู้หญิงคนหนึ่งไม่มีอะไรที่ต้องกลัวจริงๆ พวกเราไปฆ่านางเดี๋ยวนี้เลยดีหรือไม่!”
“เดี๋ยว” หัวหน้าค่ายตอบ “รอให้ผู้หญิงคนนั้นไปก่อนค่อยว่ากันอีกที”
เสี่ยวเว่ย “…”
…
นอกคฤหาสน์ เด็กสองคนเล่นดีดลูกแก้วกับจงเกอร์จนเหงื่อออกท่วมตัว ตอนอยู่ในตระกูลขุนนางจงเกอร์เป็นเพียงลูกอนุที่ไม่ได้รับความสนใจ จึงไม่ได้ถูกเลี้ยงจนกลายเป็นเด็กเย่อหยิ่งจองหอง ต่อมาหลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับขุนนางตระกูลนั้น เขาก็อาศัยอยู่กับอากุ้ยและชีเหนียงจึงยิ่งกลายเป็นคนระมัดระวังและเชื่อฟังมากขึ้น ตอนเขาเล่นกับวั่งซูและจิ่งอวิ๋นล้วนถ่อมตัวยอมอ่อนข้อให้เด็กสองคนอยู่บ้าง ไม่เคยเล่นอย่างเอาเป็นเอาตาย
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เฉียวเวยเรียกเด็กสองคนไปทานอาหาร จงเกอร์ก็ถูกกู้ชีเหนียงเรียกให้กลับห้อง
“ท่านแม่เจ้าคะ ทำไมจงเกอร์กับชีเหนียงทานข้าวกับพวกเราไม่ได้” วั่งซูถามอย่างไม่เข้าใจ
เฉียวเวยตอบวั่งซูอย่างตรงไปตรงมา “เพราะพวกเราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน การทานอาหารร่วมกันคงไม่สะดวก เจ้ากับจงเกอร์เป็นเพื่อนกัน เจ้าชวนเขามาเล่นที่บ้านหรือชวนเขาทานอาหารค่ำได้ แม่จะต้อนรับแขกตัวน้อยของเจ้าอย่างดี แต่แม่ไม่สามารถถือว่าเขาเป็นคนในครอบครัวเหมือนพวกเจ้าสองคน หรือเหมือนกับครอบครัวท่านยายได้ แม่พูดเช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
วั่งซูไม่เข้าใจ “ถ้าเช่นนั้นท่านลุงหมิงเป็นครอบครัวเดียวกันกับเราหรือเจ้าคะ พี่สือชีก็เป็นครอบครัวเดียวกันใช่หรือไม่”
“เอ่อ…” เฉียวเวยไม่รู้จะตอบนางอย่างไร
“ไม่ใช่อยู่แล้ว” แต่กลับเป็นจิ่งอวิ๋นที่พูดขึ้นมา “ท่านลุงหมิงไม่ใช่พ่อของเรา ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่ครอบครัว”
“อ๋อ” วั่งซูรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางอยากเป็นครอบครัวเดียวกับลุงหมิงนี่นา
ความสนใจของเด็กๆ มาเร็วไปเร็ว หลังจากกินไก่ผัดเกาลัดที่เฉียวเวยทำไปสองสามชิ้น พวกเขาก็ลืมปัญหาทั้งหมดและทานอาหารอย่างมีความสุข
เฉียวเวยเก็บจานชาม จากนั้นไปต้มน้ำร้อนที่ห้องครัวเตรียมให้ลูกๆ อาบน้ำ ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ เฉียวเวยก็ไม่ยอมให้เด็กสองคนอาบน้ำในอ่างเดียวกัน จิ่งอวิ๋นอาบเองได้ ขณะที่วั่งซูต้องให้เฉียวเวยอาบให้
อาบไปได้ไม่นานถึงรู้ว่าถาดสบู่หายไป เฉียวเวยลุกขึ้นและเดินไปเอาถาดสบู่ที่ห้องของลูกชาย
หลังจากที่จิ่งอวิ๋นอาบน้ำเสร็จ หนุ่มน้อยรูปงามก็ออกมาจากอ่างอาบน้ำ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยหยดน้ำ ตัวสีชมพูราวกับแป้งปั้นสีชมพู เฉียวเวยรู้สึกว่าลูกน่ารักมาก อดไม่ได้ที่จะมองดูนานๆ
แต่จู่ๆ จิ่งอวิ๋นก็เอามือปิดนกเขาน้อย หันหลังหนีด้วยใบหน้าแดงก่ำ “ท่านแม่อย่ามองสิ!”
เจ้าเด็กน้อย อายุเพียงเท่านี้ก็ไม่ยอมให้แม่มองแล้ว จะเก็บไว้ให้ภรรยาในอนาคตของเจ้ามองอย่างนั้นหรือ
แล้วอีกอย่างนางยังไม่ได้มองตรงนั้นเสียหน่อย
เฉียวเวยเบะปากอย่างหมั่นไส้ จากนั้นหยิบถาดสบู่เดินจากไป
ท่านแม่โกรธแล้ว แต่เหตุใดท่านแม่จึงโกรธเล่า ตรงนี้ท่านแม่ก็ไม่ควรมองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ลุงหมิงบอกว่า ห้ามให้ผู้หญิงเห็นนกเขาน้อย ท่านแม่ก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน ดังนั้นท่านแม่จึงมองไม่ได้ มิฉะนั้น นกอินทรีจะเข้ามากินของเขา เขาไม่อยากให้นกเขาน้อยถูกนกอินทรีกินหรอกนะ…
ด้านนี้จิ่งอวิ๋นพยายามอย่างหนักเพื่อปกป้องนกเขาน้อยของตน อีกด้านหนึ่งหลังจากที่เฉียวเวยอาบน้ำให้วั่งซูเสร็จแล้ว วั่งซูก็แดงไปทั้งตัวเหมือนซิ่วท้ออายุยืนที่เพิ่งออกจากเตา ซิ่วท้ออายุยืนกลิ้งเล่นบนเตียงป๋าปู้ กลิ้งไปกลิ้งมาจนกลิ้งไปชนเข้ากับผนัง
เตียงหลังนี้มั่นคงแข็งแรงมาก ไม่ว่าคนจะขยับหรือกระโดดบนที่นอนอย่างไร เตียงนอนก็นิ่งสนิทเหมือนหิน ไม่สั่นสะเทือนเช่นเตียงอื่นๆ
เฉียวเวยเทน้ำทิ้ง แล้วหยิบเอี๊ยมสีแดงสดออกมาจากตู้ “มา สวมเสื้อผ้า”
วั่งซูกลิ้งเล่นอย่างสนุกสนาน นางกลิ้งหลบ ‘กรงเล็บของท่านแม่’ แล้วตอบว่า “ไม่สวมเจ้าค่ะ”
“จะสวมหรือไม่สวม” เฉียวเวยทำหน้าจริงจัง
วั่งซูหัวเราะคิกคักจากนั้นก็กลิ้งมาหา พอเฉียวเวยคิดว่านางจะยอมให้แต่งตัวแต่โดยดี นางก็กลิ้งหนีออกจากมือของเฉียวเวย
เฉียวเวยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่ก่อนหนูน้อยคนนี้เป็นเด็กดีมาก เชื่อฟังมาก ตอนนี้กลับดื้อเป็นแล้ว ไม่รู้ว่าผู้ใดตามใจจนเสียคน
เฉียวเวยไล่คว้าตัววั่งซู แต่วั่งซูกลิ้งหนีไปทั่วเตียง ทุกครั้งที่มือของเฉียวเวยเอื้อมมาหา นางก็จะหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน!
เล่นไปเล่นมาเช่นนี้ เล่นสนุกจนไม่ยอมเลิก
เฉียวเวยปีนขึ้นไปบนเตียงไล่จับเจ้าตัวเล็กที่มุดหนีไปตรงนั้นตรงนี้ เจ้าตัวจ้อยยังยิ้มให้นางอย่างอ่อนหวาน เหมือนอยากโดนฟาดสักเพียะ เฉียวเวยปาดเหงื่อออกจากหลังของนาง “ดูสิ เพิ่งอาบน้ำเสร็จก็เหงื่อออกอีกแล้ว”
“เหงื่อออกตัวข้าก็หอมเหมือนเดิมเจ้าค่ะ” เด็กดื้อตัวน้อยพูดอย่างหน้าด้าน
เฉียวเวยจับนางไว้ในอ้อมแขนและสวมเอี๊ยมให้นาง “ใครบอกเจ้า”
“ท่านลุงหมิงน่ะสิเจ้าคะ” วั่งซูกางแขนเพื่อให้แม่ผูกสายรัดให้นาง
เฉียวเวยไม่รู้จะพูดอะไรดี เจ้าหมอนั่นกรอกยาเสน่ห์ให้ลูกของนางดื่มไปมากเท่าใดกัน ลูกของนางเปิดปากครั้งใดจึงเอาแต่พูดถึงเขา ผ่านไปอีกสองสามเดือนคงจะลืมมารดาอย่างนางแล้วกระมัง
เฉียวเวยสวมกางเกงขาสั้นให้วั่งซู แล้วตบก้นเล็กๆ กลมๆ ของนางอย่างเอ็นดู “เลิกเล่นได้แล้ว ถ้าเล่นจนตื่นเต้นแล้วจะนอนไม่หลับเอานะ”
วั่งซูตอบรับอย่างน่าสงสาร “…เจ้าค่ะ”
ไม่นาน จิ่งอวิ๋นก็เข้ามานอนข้างๆ น้องสาวอย่างเชื่อฟัง
เฉียวเวยกางมุ้งให้ทั้งสองคนและเตรียมจะอาบน้ำ ในตอนนี้เองเสียงของอากุ้ยก็ดังขึ้นข้างนอก “ฮูหยิน ออกมาหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีธุระกับท่าน”
เฉียวเวยจึงบอกเด็กๆ ว่า “เจ้าสองคนไปนอนก่อน แม่ออกไปสักประเดี๋ยว”
เด็กน้อยทั้งสองพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เฉียวเวยปิดประตูแล้วออกไป เห็นอากุ้ยยืนอยู่หน้าประตูเรือนด้วยท่าทางกังวลใจ “มีอะไรหรือ อากุ้ย”
อากุ้ยพูดอย่างกังวล “ชีเหนียงป่วย ข้าอยากถามว่าในหมู่บ้านมีหมอหรือไม่”
“ในหมู่บ้านเราไม่มี หมู่บ้านข้างๆ มี แต่เวลานี้เขาอาจนอนแล้ว” เฉียวเวยเงียบครู่หนึ่งก็เอ่ยต่อว่า “เจ้าพาข้าไปดูหน่อย”
อากุ้ยไม่อยากพานางไปดูสักเท่าไร เพราะนางไม่ใช่หมอ เสียเวลาเปล่าๆ ชีเหนียงกำลังเจ็บอยู่นะ
เด็กน้อยสองคนเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง เมื่อพวกเขาเห็นมารดาเข้าไปในโรงงาน วั่งซูก็พูดกับพี่ชายว่า “ท่านพี่ ข้านอนไม่หลับ”
จิ่งอวิ๋นก็นอนไม่หลับเช่นกัน เขานอนกลางวันมากไปหน่อย พอตกกลางคืนจึงไม่รู้สึกง่วง
“ข้าปวดฉี่” วั่งซูพูดออกมาอีกครั้ง
จิ่งอวิ๋นคิดครู่หนึ่ง “ข้าก็ปวด”
เด็กน้อยสองคนกระโดดลงพื้น ใส่รองเท้าแตะที่เฉียวเวยเป็นคนทำให้แล้วไปที่สวนด้านหลัง
บนยอดเขา มีโจรหลายคนกำลังรออย่างง่วงงุน จู่ๆ เสี่ยวเว่ยที่ตื่นอยู่ก็ตบแขนหัวหน้าค่าย “ลูกพี่! พวกเขาออกไปกันแล้ว!”
หัวหน้าค่ายสะดุ้ง “ใคร ใคร…ใครออกไปแล้ว”
เสี่ยวเว่ยจึงบอกว่า “ทุกคนเลย ทั้งผู้หญิงกับเด็กสองคนไม่อยู่ในบ้านแล้ว”
หัวหน้าค่ายตื่นตัวทันที “เตรียมพร้อมลงมือ!”
กลุ่มโจรปล้นทรัพย์ปลุกพรรคพวก เตรียมพร้อมจะปล้นคฤหาสน์ให้เกลี้ยง แต่พวกเขาเพิ่งเดินออกมาได้เพียงสองก้าวก็เห็นร่างสีดำโฉบออกมาจากจุดที่ไม่ไกลนัก รูปร่างคล้ายสุนัขจิ้งจอก ปราดเปรียวประหนึ่งกระต่าย จากนั้นก็เหินเข้าไปในคฤหาสน์อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
เสี่ยวเว่ยผงะ “ลูกพี่! มีคนตัดหน้าเรา! รีบบุกเถอะ! ไม่อย่างนั้นของดีจะถูกเขากวาดไปหมดนะ!”
หัวหน้าค่ายเอื้อมมือไปห้ามเหล่าพี่น้องที่กำลังรีบวิ่งลงจากภูเขา “จะรีบร้อนอะไร รอดูสถานการณ์ให้ชัดก่อนค่อยว่ากัน! เขามาปล้มของหรือมาฆ่าคนก็ยังไม่รู้! ถ้าหลับหูหลับตาวิ่งเข้าไปแล้วเกิดต้องสู้กับเขาจนชาวบ้านละแวกนี้รู้ตัวขึ้นมาก็ไม่ต้องปล้นกันพอดี”
“ถ้าอย่างนั้นเราจะนั่งงอมืองอเท้าอยู่เช่นนี้หรือ หากเขามาเพื่อปล้น คงไม่เหลือของอะไรให้พวกเราฉวยแล้ว!” เสี่ยวเว่ยกล่าวอย่างเป็นกังวล
หัวหน้าค่ายยิ้มเยาะ “ใครว่าไม่เหลือ ถ้าเขามาปล้นจริง หลังจากเขาขนสมบัติออกมาแล้ว พวกเราก็ค่อยปล้นเขาสิ ไม่เสียเวลาค้นบ้านด้วย แต่ถ้าเขามาฆ่าคน เราก็รอให้เขาฆ่าเสร็จก่อนแล้วค่อยปล้นสมบัติ ทำเช่นนี้ไม่ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือหรอกหรือ”
เสี่ยวเว่ยยกนิ้วโป้งให้ “ลูกพี่หลักแหลม ลูกพี่หลักแหลมจริงๆ!”
กลุ่มโจรผู้ชาญฉลาดเลือกที่จะนิ่งรอดูสถานการณ์
บุรุษอาภรณ์สีดำผู้ปิดบังใบหน้ารีบเข้าไปในบ้าน จุดประสงค์ของเขาไม่ใช่การขโมยทรัพย์สมบัติ แต่คือการสั่งสอนหญิงม่ายตัวน้อยที่อาศัยอยู่บนภูเขาตามคำสั่งของลุงเฉวียน เขาตามหาทุกห้องแล้ว เหมือนหญิงม่ายน้อยจะไม่อยู่บ้าน ไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร ยังมีลูกอีกสองคน รอให้เขาจับพวกเด็กๆ ได้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าหญิงม่ายน้อยจะไม่ยอมให้จับแต่โดยดี!
ชายชุดดำเดินเข้าไปในสวนหลังบ้านพร้อมกับสีหน้าถมึงทึง
ในสวนหลังบ้าน จิ่งอวิ๋นไปปัสสาวะจริงๆ แต่วั่งซูนั่งซนบนชิงช้า
เฉียววั่งซูที่กำลังนั่งอยู่บนชิงช้ารู้สึกตื่นเต้นมาก นางเหวี่ยงชิงช้าสูงจนรู้สึกเหมือนกำลังโบยบินบนก้อนเมฆ
ชายชุดดำย่องทีละก้าวเข้าไปด้านหลังชิงช้าอย่างระมัดระวัง แล้วเอื้อมมือเตรียมคว้าตัววั่งซูออกจากชิงช้า!
วั่งซูไม่รู้ว่ามี ‘สิงโตกินคน’ ยืนอยู่ข้างหลัง ชิงช้าแกว่งลงมาขณะที่นางยิ้มร่า ชายชุดดำอ้าแขนออก คะเนว่าวั่งซูต้องชนเข้ากับอ้อมแขนของเขาอย่างแม่นยำไม่มีพลาดแน่นอน ทว่ายังไม่ทันหุบแขนคว้าตัวเด็กไว้ เขาก็รู้สึกเหมือนถูกพละกำลังมหาศาลกระแทกเข้าใส่จนตัวปลิว…
ร่างของเขาลอยเป็นเส้นโค้งอันงดงามกลางอากาศ ฟิ้ว! เขาร่วงกระแทกไหล่เขาจากนั้นกลิ้งหลุนๆ ลงไปถึงตีนเขา
วั่งซูรู้สึกเหมือนตัวเองชนใครบางคน แต่เมื่อหันศีรษะกลับไปก็มองไม่เห็นผู้ใด จึงกลับไปเล่นต่ออย่างมีความสุข
โจรภูเขา “…”
ชายชุดดำกระดูกซี่โครงหักสองซี่ แต่เขาลุกขึ้นมาอย่างเด็ดเดี่ยว ปีนขึ้นภูเขาอย่างทรหดแล้วเข้าไปในคฤหาสน์อย่างกล้าหาญ เขาไม่เชื่อว่าเด็กหญิงตัวเล็กๆ จะมีพละกำลังมากมายเช่นนั้น ต้องมีสิ่งใดซ่อนอยู่ในที่นั่งของชิงช้าเป็นแน่ เขาตัดสินใจยอมแพ้จากเด็กหญิง เปลี่ยนไปลักพาตัวเด็กผู้ชายร่างเล็กแทน
เด็กชายตัวน้อยกลับเข้ามาในบ้านก็นั่งอ่านตำราเงียบๆ อยู่ข้างเตียง มี ‘สุนัข’ ตัวเล็กสีขาวนอนอยู่หน้าประตู
เขามองลูกสุนัขยังไม่หย่านมตัวนั้น เจ้าลูกสุนัขตัวจ้อยก็มองมาที่เขาเช่นกัน
หากเป็นในเวลาปกติ ชายชุดดำคงไม่เห็นลูกสุนัขตัวน้อยเช่นนี้อยู่ในสายตา แต่ในเวลานี้เขาบาดเจ็บ เขาคงต้องใช้ไหวพริบสักหน่อยเพื่อไม่ให้ลูกสุนัขตัวน้อยเห่าเสียงดังมากเกินไป
เขาหยิบขวดกระเบื้องเคลือบจากอกเสื้อ เทเม็ดยาสีดำออกมาจากนั้นโยนมันไปหน้าลูกสุนัขตัวน้อย
สิ่งนี้คือยาสลบเคลือบน้ำตาล กินเข้าไปหนึ่งเม็ดก็เพียงพอที่จะทำให้สิงโตขนาดโตเต็มวัยหลับ ลูกสุนัขตัวเล็กขนาดนี้ เลียไม่กี่หนก็หมดปัญหาแล้ว
ต่อมาชายชุดดำเห็นว่าสุนัขตัวน้อยไม่เพียงเลียเท่านั้น แต่ยังกินหมดในคำเดียว!
เสี่ยวไป๋ อร่อย! อร่อยกว่าลูกงูอีก!
เสี่ยวไป๋เดินเข้ามาใกล้ชายชุดดำสองสามก้าว แล้วนั่งมองเขาอย่างแสนเชื่อง
ชายชุดดำคิดว่าตัวเองหยิบยาผิด เหตุใดสุนัขตัวนี้จึงไม่เป็นอะไรเลย
ชายชุดดำเทยาอีกเม็ดหนึ่งออกมา ครั้งนี้เป็นสารหนูเคลือบน้ำตาลทรายแดง
เขาโยนยาลูกกลอนที่ทำจากสารหนูลงบนพื้น
เสี่ยวไป๋กินอีกหมดแล้ว!
อร่อยจริงๆ!
ดีกว่าลูกกวาดเมื่อครู่อีก!
เสี่ยวไป๋ขยับเข้าไปใกล้ชายชุดดำอีกสองสามก้าว
ชายชุดดำตกตะลึง หรือว่าเขาจะหยิบยามาผิดจริงๆ นี่อาจไม่ใช่ยาพิษ แต่เป็นก้อนน้ำตาลของจริงเช่นนั้นหรือ
ชายชุดดำเทสารหนูออกมาอีกเม็ดแล้วหักครึ่งดู สีขาว ก็เป็นสารหนูนี่นา!
เสี่ยวไป๋ทำตัวเหมือนลูกแมวน้อยน่ารักน่าชัง นั่งแทบเท้าของเขาพลางมองลูกกวาดในมือเขาอย่างตะกละตะกลาม
ชายชุดดำขว้างลูกกวาดที่หักลงบนพื้น
เสี่ยวไป๋เลียแผล่บเข้าปากจนหมด
อันที่จริงหักครึ่งอร่อยกว่าอีก!
หวานๆ!
ยาวิหคพิษ ยาห้าก้าวล้ม ยาเม็ดหัวใจดับสลาย…ยาพิษหนึ่งขวดเต็มๆ เข้าไปอยู่ในท้องของเสี่ยวไป๋ เสี่ยวไป๋ค้นพบเป็นครั้งแรกว่ามีของอร่อยๆ เช่นนี้อยู่ในโลกนี้ สิ่งนี้ทำให้มันหยุดปากไม่ได้ยิ่งกว่าถังหูลู่กับงูพิษเสียอีก!
เสี่ยวไป๋ตกหลุมรักลุงชุดดำคนนี้ เดิมทีเห็นลุงชุดดำเข้ามาอย่างลับๆ ล่อๆ คิดว่าลุงชุดดำเป็นคนเลว แต่ลุงชุดดำให้ขนมมันกินมากมาย ลุงชุดดำเป็นคนดี!
เสี่ยวไป๋เป็นเด็กดีที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ มันส่ายก้นเล็กๆ เดินอาดๆ เข้าไปในบ้านแล้วคาบงูพิษสองตัวที่ซ่อนอยู่ในคลังสมบัติออกมา ตัวแรกเป็นงูหางกระดิ่ง อีกตัวคืองูเห่า มันยัดใส่มือของลุงชุดดำด้วยความใจกว้าง
ทันทีที่ผิวเย็นๆ ของงูสัมผัสผิวของเขา ผิวสัมผัสลื่นๆ ตอนพวกมันเลื้อยก็ทำให้ชายชุดดำหวาดกลัวจนขนลุกขนชันไปทั้งร่าง!
ชายชุดดำสะบัดงูออก! มันบังเอิญไปตกอยู่ที่ปลายเท้าของวั่งซู งูน้อยรีบเลื้อยหนี แต่ถูกวั่งซูจับไว้ตัวละข้าง