หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 115-1 สามีภรรยา สารภาพความจริง
สีหน้าของจีหมิงซิวนิ่งสงบยิ่งนัก
ดูท่าคงมิใช่ข่าวสำคัญอันใด ทุกคนคิดในใจ คนที่กินก็กิน คนที่ดื่มก็ดื่ม คนที่สมควรชมละครก็ชมละครต่อไป
ทันใดนั้นนางกำนัลที่ยกอาหารไม่ระวังคนหนึ่งก็สะดุด แม้พยายามตั้งหลักให้เร็วที่สุดแล้วแต่ชามน้ำแกงในมือก็ยังคงแกว่งเล็กน้อยจนน้ำแกงกระฉอกออกมาหลายหยด เปื้อนบนร่างของจีหมิงซิว
นางกำนัลขวัญเสียจนเกือบจะเป็นลม สวรรค์หนอสวรรค์ นางทำหกโดนใครไม่ทำ ดันไปหกใส่อัครมหาเสนาบดี ตายแน่ๆ…
“ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีโปรดอภัยด้วย!” นางคุกเข่า โขกศีรษะอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง
“ไม่เป็นอันใด ลุกขึ้นเถิด” จีหมิงซิวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหยดน้ำแกงบนขา ไม่มีความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย
นางกำนัลเสมือนหนึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษ “ขอบพระคุณอัครมหาเสนาบดี!”
ฮ่องเต้หันมามองจีหมิงซิวอย่างสนใจ “มีเรื่องน่ายินดีหรือ”
จีหมิงซิวตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ฝ่าบาทคิดไปเองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขานตอบคำหนึ่งแล้วเลิกพระขนง จากนั้นคีบเห็ดหอมชิ้นหนึ่งขึ้นมา ทำท่าเหมือนจะวางลงในชามของจีหมิงซิว แต่ ‘ไม่ทันระวัง’ ทำร่วงลงบนขาของเขาแทน
จีหมิงซิวก็ยังไม่โกรธ ฮ่องเต้สงสัยยิ่งนักว่าจีหมิงซิวไม่ทราบจริงหรือว่าพระองค์แกล้งทำอาหารตกลงบนเสื้อผ้าของเขา
ไม่ได้เห็นเจ้าเด็กคนนี้สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้นานแล้ว ดูท่าคงมีเรื่องใหญ่สินะ…
ฮ่องเต้กำลังจะเค้นถามหมิงซิวว่าที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่ยิ่นอ๋องผู้ถูกขัดจังหวะกะทันหันหลังจากนั้นก็ถูกเมินมาตลอดอดทนจนทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงเอ่ยปากขึ้นว่า “เสด็จพ่อ ลูกมีเรื่องจะกราบทูล”
จีหมิงซิวยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “หากข้าเป็นยิ่นอ๋อง จะไม่หาเรื่องให้ตัวเองอับอาย”
ยิ่นอ๋องกำหมัดแน่น “ท่านทราบได้อย่างไรว่าข้าจะหาเรื่องให้ตัวเองอับอาย”
จีหมิงซิวคลี่ยิ้มที่ดูไม่คล้ายรอยยิ้ม “ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู”
สีหน้าของยิ่นอ๋องไม่น่าดูอย่างยิ่ง ระหว่างทั้งสองคนอัดแน่นไปด้วยไอสังหารอันแรงกล้าราวกับสองกองทัพประจันหน้ากันและกำลังเข่นฆ่ากันสุดชีวิตอยู่บนสนามรบล่องหน จีหมิงซิวมีท่าทางสบายๆ ขณะที่ยิ่นอ๋องดูเหมือนจะถูกบีบให้ร้อนรนอยู่เล็กน้อย เหงื่อเย็นไหลลงมาตามหน้าผาก แม้แต่คนที่อยู่ห่างไปหนึ่งโต๊ะก็สัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วนของเขา
จีหมิงซิวกับยิ่นอ๋องไม่ถูกกัน ทุกคนที่นั่งอยู่ล้วนทราบดีอยู่แก่ใจ ถึงอย่างไรเรื่องของคุณหนูใหญ่เฉียวเมื่อตอนนั้นก็ลือกระฉ่อนไปทั่ว ผู้คนที่อยู่ตรงนี้ไม่มีใครไม่เคยได้ยิน ฮ่องเต้กับองค์ชายหลายพระองค์ในที่นี้ยังนับว่าเป็น ‘ประจักษ์พยาน’ อยู่กึ่งหนึ่งเสียด้วยซ้ำ ทุกคนต่างรู้สึกว่าจีหมิงซิวไม่ชักกระบี่ออกมาฟันยิ่นอ๋องสักหนก็เห็นแก่หน้าฮ่องเต้แล้ว
เพียงแต่ว่าจีหมิงซิวไม่เคยเผยความโกรธออกมาให้เห็น เขาชมชอบผู้ใด เกลียดชังผู้ใดล้วนเก็บซ่อนอยู่ในใจ เฉกเช่นเดียวกับยามกลางวันเขาอาจร่ำสุราสนทนาอย่างสนุกสนานกับขุนนางใหญ่สักคน ตกกลางคนก็อาจส่งสือชีไปลอบสังหารอีกฝ่ายได้เช่นนั้น
ความเกลียดชังที่มีต่อยิ่นอ๋องก็เป็นเช่นนี้
เห็นยิ่นอ๋องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่เขา ก็ทราบได้แล้วว่าเขาลอบทำลายเรื่องดีงามของยิ่นอ๋องไปมากเท่าใด แต่ยิ่นอ๋องดันจับจุดอ่อนของเขาไม่ได้จึงได้แต่ถูกเขารังแกอยู่ฝ่ายเดียว
ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาเพิ่งหักหน้ายิ่นอ๋องต่อหน้าธารกำนัลเช่นค่ำคืนนี้เป็นครั้งแรก
ปฏิกิริยาแรกของทุกคนกลับมิใช่การหันไปมองยิ่นอ๋อง แต่เป็นการหันไปมองฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธาน
ถึงอย่างไรยิ่นอ๋องก็เป็นโอรสของพระองค์ บุตรของตนถูกอัครมหาเสนาบดีหักหน้า จะมากจะน้อยก็คงต้องขุ่นเคืองพระทัยสักนิดกระมัง
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนผิดหวังก็คือ สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ไม่เปลี่ยนไปสักนิด ราวกับว่าไม่ได้ยินถ้อยคำที่จีหมิงซิวกล่าวเสียดสียิ่นอ๋องประโยคนั้น
ฝั่งยิ่นอ๋องกลับเหมือนถูกยั่วโทสะ แววตาเย็นยะเยือกอย่างยิ่ง แต่เขาฝืนอดทนอดกลั้นไว้ เขาตั้งใจแล้วว่าจะแจ้งเรื่องลูกทั้งสองคนกับเสด็จพ่อ ต่อให้คุณหนูใหญ่เฉียวปฏิเสธอีกเท่าใดก็เปลี่ยนความจริงที่เขากับนางเป็นสามีภรรยากันในคืนนั้นไม่ได้
ส่วนจีหมิงซิว หากเขาอยากเป็นบิดากำมะลอของลูกเขา ก็ต้องลองถามดูก่อนว่าเสด็จพ่อของเขาจะเห็นด้วยหรือไม่!
สายเลือดขัตติยะ คนนอกจะแย่งชิงไปได้หรือ
จีหมิงซิวยิ้มหยัน “มืดเช่นนั้น ยิ่นอ๋องอาจจำผิดคนก็เป็นได้”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร!”
“ยิ่นอ๋องลองใคร่ครวญดูเองเถิด” จีหมิงซิวลุกขึ้นยืน ทูลฮ่องเต้ว่า “ข้าน้อยยังมีธุระส่วนตัวบางเรื่องต้องจัดการ ขอพระราชทานอภัยที่ข้าน้อยต้องขอตัวจากไปก่อน”
รีบร้อนจากไปเช่นนี้ เป็นไปได้แปดส่วนว่าคงจะเกี่ยวข้องกับกระดาษแผ่นนั้นเมื่อครู่สินะ ฮ่องเต้ไม่เค้นถามว่าบนกระดาษเขียนสิ่งใด พระองค์ตามใจจีหมิงซิวมามิใช่เพียงวันสองวัน เรื่องที่ไม่สนขนบธรรมเนียมยิ่งกว่านี้ จีหมิงซิวก็เคยทำมาก่อน แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่นับเป็นอะไร
ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างใจกว้าง “ไปเถิด หวังว่าเจ้าคงมิได้หนีไปเพราะไม่อยากถูกเร่งให้แต่งงานหรอกนะ ข้าทราบว่าข้ารีบร้อนไปบ้าง แต่ข้าหวังดีต่อเจ้า เจ้ากลับไปขบคิดข้อเสนอของข้าให้ดี จะอยู่ลำพังทั้งชีวิตมิได้ เข้าใจหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ หมิงซิวจดจำไว้แล้ว”
หายากที่เขาจะไม่เถียงฮ่องเต้
ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ ให้เขาออกไป
จะไปเช่นนี้หรือ ยังไม่ทันได้เปิดศึกกับยิ่นอ๋องเลยนะ! ยิ่นอ๋องกำลังจะพูดสิ่งใดที่ทำให้ตนเองอับอาย เจ้ากลับมาพูดให้มันชัดเจนก่อนสิเฮ้ย!
ผู้คนทั้งหลายที่รอคอยชมละครอยู่ยังไม่ทันได้ชม ละครก็ปิดม่านลงเสียแล้ว ทุกคนอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ แล้วมองส่งจีหมิงซิวจากไปอย่างหมดสนุก
ไม่เสียทีเป็นคนงามอันดับหนึ่งแห่งต้าเหลียง แม้แต่ภาพแผ่นหลังโดดเดี่ยวก็เสมือนหนึ่งภูตพรายใต้แสงจันทร์
แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดไปเองหรือไม่ รู้สึกว่าค่ำคืนนี้ท่าทางการเดินของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีดูแปลกไปเล็กน้อย เหมือนจะ…เดินกระโดดโลดเต้นอยู่!
ทุกคนมองจนตาค้าง พวกเขาคงจะตาลายแน่เลยสินะ ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีผู้หยิ่งยโสเย็นชาจะทำท่าทางเหมือนเด็กโง่เช่นนั้นได้อย่างไรเล่า
ทุกคนขยี้ตาแรงๆ อยากจะมองจีหมิงซิวให้ชัดอีกหน ทว่าจีหมิงซิวเลี้ยวหายไปท่ามกลางรัตติกาลอันไร้ที่สิ้นสุดแล้ว
…
บนภูเขา ควันไฟจากการหุงหาอาหารลอยอ้อยอิ่ง
เฉียวเวยกำลังทำอาหารเย็นให้พวกเด็กๆ อยู่ในห้องครัว หากเป็นปกติเวลานี้คงทานอาหารกันเสร็จแล้ว แต่วันนี้เข้าเมืองไปซื้อของจึงเที่ยวเล่นนานไปหน่อย
นับตั้งแต่โรงงานมีอากุ้ยกับชีเหนียง เวลาว่างของเฉียวเวยก็มากกว่าเดิม อากุ้ยกับกู้ชีเหนียงต่างเป็นคนคล่องแคล่ว ทั้งทำงานว่องไวแล้วยังแสวงหาความก้าวหน้า เวลาไม่กี่วันก็เพิ่มปริมาณการผลิตไข่เยี่ยวม้าขึ้นมาก จากผลิตวันละสามร้อยห้าสิบฟองก็เพิ่มมาเป็นสี่ร้อย ดังนั้นจำนวนสินค้าที่เฉียวเวยส่งมอบให้หรงจี้จึงเพิ่มจากสองวันห้าสิบฟองเป็นหนึ่งวันแปดสิบฟอง
วันนี้เพิ่งไปส่งสินค้าที่หรงจี้ เถ้าแก่หรงยิ้มหน้าบานจะพาพวกเขาไปดูละครให้ได้ จนปัญญาที่ละครร้องเพลงเสียงแหลมปรี๊ด เด็กๆ ฟังไม่เข้าใจ นั่งสัปหงกกันอยู่ตรงที่นั่ง เฉียวเวยจึงได้แต่พาพวกเขากลับก่อน
เมื่อถึงบ้านฟ้าก็มืดแล้ว เฉียวเวยรีบต้มน้ำให้เด็กๆ อาบ ส่วนตัวเองมาจัดการอาหารเย็นของคนทั้งบ้านอยู่ในห้องครัว
ในห้องกว้างขวาง อ่างไม้สามใบวางเรียงไล่จากใหญ่ไปเล็ก จิ่งอวิ๋น วั่งซูกับเสี่ยวไป๋นั่งอยู่ในอ่างอย่างเชื่อฟัง
“อาบน้ำอย่างไรหรือ ท่านพี่” วั่งซูถามอย่างน่าสงสาร “ท่านอาบให้ข้าดีหรือไม่”
จิ่งอวิ๋นเอ่ยอย่างอดทน “อาบน้ำง่ายดายยิ่งนัก ข้าจะสอนเจ้าเองสระผมก่อน เจ้าหยิบสบู่ขึ้นมา”
วั่งซูหยิบสบู่ขึ้นมาอย่างว่าง่าย ทว่ามือนางลื่น พอออกแรงครั้งหนึ่ง สบู่ก็ลื่นหลุด
สบู่ร่วงลงในอ่างไม้ของจิ่งอวิ๋นอย่างพอดิบพอดี
“ข้าไม่มีสบู่แล้ว” วั่งซูแสร้งทำหน้าเศร้า
จิ้งอวิ๋นควานหาสบู่ขึ้นมาแล้วโยนเบาๆ ลงไปในอ่างของวั่งซูอย่างแม่นยำ หยาดน้ำกระเด็นถูกหน้าของวั่งซู
ท่านพี่แย่มาก!
วั่งซูเบ้ปากน้อยสีแดงเรื่อ มือสองข้างควานหาสบู่ขึ้นมาโยนเบาๆ กลับไปไว้ในอ่างของจิ่งอวิ๋นเลียนแบบพี่ชาย
จิ้งอวิ๋นขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วโยนกลับไปให้น้องสาว วั่งซูก็โยนกลับมาอีกเช่นนี้ ทั้งสองตั้งอกตั้งใจโยนอย่างยิ่ง วั่งซูยิ่งเล่นยิ่งสนุก จนกระทั่งโยนออกไปรอบที่สิบ นางควบคุมแรงไม่ดี สบู่จึงไม่ได้ตกลงในน้ำ แต่กระแทกดังปั้กบนหน้าผากของจิ่งอวิ๋น หลังจากนั้นก็เห็นจิ่งอวิ๋นหงายหลังดังโครมไปพร้อมกับอ่างไม้เหมือนกับตุ๊กตาตัวหนึ่ง
วั่งซูหัวเราะเสียงดังลั่น
จิ่งอวิ๋นลุกขึ้นมาทั้งอายทั้งโกรธ
เสียงหัวเราะของวั่งซูดังไปถึงหูของหญิงสาวในครัว เฉียวเวยสวมผ้ากันเปื้อนเดินออกมา นางมองลูกสาวผู้หัวเราะจนตัวโยก แล้วหันไปมองลูกชายที่ใบหน้าแดงก่ำ นางรีบตักน้ำสะอาดมาล้างตัวให้ลูกชาย พออาบน้ำเสร็จก็อุ้มลูกชายเข้าห้อง
วั่งซูหัวเราะไม่ออกแล้ว เหตุใดไม่อาบให้นางเล่า นางก็อยากให้อาบให้เหมือนกันนะ
เฉียวเวยเดินออกมา แล้วมองวั่งซูด้วยสีหน้าจริงจัง “แกล้งพี่ชายไม่ได้รู้หรือไม่”
“ข้าไม่ได้แกล้งนะ ข้ากำลังเล่นกับท่านพี่อยู่” วั่งซูเอ่ยอย่างน้อยใจ
ไม่ได้จงใจขว้างใส่พี่ชายเสียหน่อย อย่างมากก็ให้พี่ชายขว้างคืนก็ได้แล้วนี่
จีหมิงซิวยืนอยู่นอกรั้วบ้าน มองภาพนี้ตาไม่กะพริบ ในหัวใจมีคลื่นอารมณ์อันอธิบายไม่ถูกโหมซัด
ผู้หญิงของเขา ลูกของเขา
ราวกับเป็นความฝัน ร่างกายเหมือนจะล่องลอย
เขาอยากเดินเข้าไป แต่ไม่ทราบว่ากลัวสิ่งใดจึงยืนนิ่งอยู่ที่นั่น
ปากน้อยๆ ของวั่งซูยื่นยาว
เฉียวเวยหยิบสบู่ขึ้นมาวางบนเส้นผมของนางแล้วนวดจนเกิดฟอง “อาบน้ำให้ดีๆ จะโยนสบู่ทำไมเล่า หลังจากนี้ห้ามเล่นไม่รู้เรื่อง เข้าใจหรือไม่”
สบู่แพงมากนะ โดยเฉพาอย่างยิ่งสบู่มันแพะที่ใส่กลิ่นดอกไม้ยิ่งแพง เด็กสองคนโยนมาโยนไปในอ่าง สบู่ก็บางลงไปรอบใหญ่แล้ว
“ท่านพี่ก็โยน…” วั่งซูตัวน้อยเอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจ
เฉียวเวยดุพี่ชายในห้องไปแล้ว แต่วั่งซูตัวน้อยไม่รู้ นางรู้สึกว่าท่านแม่ลำเอียงเข้าข้างพี่ชาย นางเสียใจยิ่งนัก
นางบึนปาก ใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ
เฉียวเวยหัวเราพรืด “โอ๊ะ ร้องไห้เสียด้วย เสียใจปานนั้นเชียวหรือ”
วั่งซูสูดจมูกแล้วหันหน้าหนี นางจึงเห็นจีหมิงซิวที่ยืนอยู่นอกรั้วทันที
เมื่อดวงตาเศร้าสร้อยน่าสงสารนั่นหันมามอง จีหมิงซิวกลับเกร็งไปทั้งตัวด้วยความตื่นเต้น หลังจากนั้นก็เห็นวั่งซูลุกขึ้นจากอ่าง พาศีรษะที่มีฟองเต็มไปหมดวิ่งตึงตังมาหาเขา
ร่างเล็กล่อนจ้อนถลาเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
หัวใจสะเทือนไหว
จีหมิงซิวอุ้มก้นเปลือยเปล่าของวั่งซูขึ้นมา มือน้อยๆ ของวั่งซูโอบรอบลำคอของเขา ศีรษะน้อยซุกเข้าที่ลาดไหล่ สะอื้นอย่างน่าสงสาร
เฉียวเวยมองลูกสาวของตนออดอ้อนอยู่ในอ้อมแขนของจีหมิงซิวอย่างไม่มีคำจะพูด “วั่งซูรีบลงมา เจ้าทำตัวท่านลุงหมิงเปียกหมดแล้ว”
“ไม่เอา” วั่งซูบิดก้นน้อยอันจ้ำม่ำ ซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของจีหมิงซิว
จีหมิงซิวกอดนางแน่น หัวในถูกเจ้าตัวน้อยนุ่มนิ่มคนนี้เติมจนเต็ม
จีหมิงซิวกอดแน่นขึ้นเรื่อยๆ วั่งซูเห็นท่านลุงหมิงกอดแน่นเช่นนี้จึงกอดท่านลุงหมิงแน่นๆ บ้าง นางใช้เรี่ยวแรงทุกหยาดหยด จากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง ก๊อก!
คอ ‘เคล็ด’ เสียแล้ว…
เฉียวเวยพาจีหมิงซิวเข้ามาในห้องนอน จากนั้นหยิบน้ำมันรักษาอาการฟกช้ำออกมาจากลิ้นชักของเตียงป๋าปู้ แล้วทาลงบนลำคอของเขาอย่างแผ่วเบา “พวกท่านคนยุคโบราณ หนึ่งไม่เล่นคอมพิวเตอร์ สองไม่เล่นมือถือ เหตุใดกระดูกคอจึงไม่ดีเช่นนี้ ยืนอยู่ดีๆ ยังจะเคล็ดได้อีก จริงหรือไม่ วั่งซู”
วั่งซูกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสาพลางพยักหน้า
“ท่านทนหน่อย ข้าจะจับกลับเข้าที่ให้ท่าน” เฉียวเวยวางน้ำมันลง จากนั้นจับศีรษะของจีหมิงซิวแล้วออกแรงบิด!
ก๊อก!
ศีรษะของจีหมิงซิวบิดไปทางหัวไหล่ขวาเก้าสิบองศา
เฉียวเวยยกมือปิดปาก “ขออภัยๆ ดูเหมือนจะบิดผิดด้าน”
จีหมิงซิว “…”
มิน่าถึงเจ็บ เช่น นี้!
เฉียวเวยหน้าแดง กระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่งก็เอ่ยว่า “ท่านทนอีกสักหน่อย ข้าจะบิดกลับมาให้ท่าน”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รีบหน่อย” เขายังอยากจะมองดูภรรยากับลูกๆ ของตนเองอยู่นะ จะคอเอียงอยู่เช่นนี้ได้อย่างไร
ครั้งนี้เฉียวเวยบิดกลับมาถูกแล้ว
ก๊อก!
ลำคอบิดกลับมาตรงครึ่งหนึ่ง
ก๊อก!
ลำคอกลับมาตรงตำแหน่งทั้งหมด
เฉียวเวยปัดมือเหมือนจัดการภาระหนักหนาเสร็จสิ้น “เสร็จแล้ว!”
จีหมิงซิวเจ็บจนเหงื่อเย็นเฉียบไหลลงมา
เขามิใช่คนกลัวความเจ็บปวด แต่รสชาติความเจ็บปวดครั้งนี้ช่างเหมือนวิญญาณจะหลุดจากร่าง ชีวิตนี้ไม่อยากพบเจออีกเป็นครั้งที่สอง
เฉียวเวยไปทำอาหารในห้องครัว
“ท่านลุงหมิงท่านดีขึ้นหรือไม่” วั่งซูถามอย่างระมัดระวัง ท่านแม่บอกว่าท่านลุงหมิงคอเคล็ดเอง แต่ แต่นางรู้สึกเหมือนนางจะเป็นคนทำ
จีหมิงซิวอุ้มนางขึ้นมาบนตัก
“ข้าเป่าให้ท่าน” วั่งซูขยับเข้าไปใกล้ลำคอของเขา ปากน้อยเป่าลมเบาๆ เป่าอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งก็เบิกตาโตน้ำตาคลอมองเขา “ยังเจ็บหรือไม่เจ้าคะ ท่านลุงหมิง”
“ไม่เจ็บแล้ว” จีหมิงซิวบอก เห็นศีรษะน้อยๆ คอตก ท่าทางเหมือนมีเรื่องหนักอกหนักใจ จึงถามเสียงเบา “วั่งซูเป็นอันใด โกรธท่านแม่หรือ”
วั่งซูส่ายศีรษะ
“ถ้าเช่นนั้นเป็นอะไรเล่า” จีหมิงซิวถาม
วั่งซูก้มหน้าลง มือเล็กๆ กำชายเสื้อ “ข้า…ข้า…ข้าทำท่านบาดเจ็บ ข้าเสียใจนัก”
เด็กน้อยอายุห้าขวบก็รู้จัก ‘เสียใจ’ แล้ว จีหมิงซิวถูกคำพูดราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อยของนางทำให้ขบขัน “เจ้ามิได้เป็นคนทำ ไม่ต้องเสียใจหรอก”
วั่งซูเบิกตาโต “ข้าไม่ได้ทำจริงหรือ”
จีหมิงซิวลูบศีรษะน้อยๆ ของนาง “แน่นอนว่าไม่ใช่ เจ้าตัวเล็กเช่นนี้ ไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงมากมายปานนั้น”
วั่งซูคิดครู่หนึ่งก็ยิ้มจนตาหยี “ข้าก็คิดเช่นนั้น!”
กล่าวจบก็โถมเข้าไปหาจีหมิงซิว
ก๊อก!
‘เคล็ด’ อีกแล้ว…
ระหว่างทานอาหาร ลำคอของจีหมิงซิวมีเครื่องป้องกันหน้าตาประหลาดเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชิ้น
จิ่งอวิ๋นหันไปมองน้องสาว
วั่งซูผายมือ “ไม่ใช่ข้านะ ข้าไม่มีเรี่ยวแรงมากมายปานนั้นเสียหน่อย”
จิ่งอวิ๋นลูบหน้าผากที่ปูดเป็นลูก แล้วแสร้งว่าตนเองเชื่อ