หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 116-1 จากท่านพ่อ!
หลังจากย้ายเข้าบ้านใหม่ เวลาที่เฉียวเวยได้อยู่กับบ้านก็มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มิใช่เพราะนางไม่มีงานต้องทำ ความจริงแล้วหลังจากเด็กๆ ไปสำนักศึกษา นางก็ยังมีงานยุ่งวุ่นวายอยู่ ตอนเช้าทำงานบ้าน ทำเสร็จก็ตรวจดูไร่นา ดูว่าแตงโมเป็นเช่นไรบ้าง ดูว่าข้าวฟ่างหวานเป็นเช่นไรบ้าง ตอนเที่ยงรับเด็กๆ กลับมาทานอาหาร ยามบ่ายก็ไปโรงงานช่วยงานอากุ้ยกับกู้ชีเหนียงอีกแรง ตกค่ำเด็กๆ กลับมา นางก็ต้องยุ่งวุ่นวายอีกน
แต่ระยะนี้จำนวนครั้งที่นางไปหรงจี้น้อยลง จึงมีเวลาอยู่บ้านเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
นางชอบเดินตระเวนภายในตัวบ้าน แวะชมดูห้องแต่ละห้องอยู่บ่อยๆ ยิ่งมองก็รู้สึกว่ายิ่งสวย
เด็กๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ทุกวันหลังจากเลิกเรียน สิ่งแรกที่ทำก็คือการเดินตระเวนทุกห้องจนครบ หลังจากนั้นจึงกลับไปห้องหนังสือเพื่อทำการบ้าน เมื่อทำเสร็จแล้วจึงวิ่งไปเล่นที่สวนด้านหลัง
กล่าวกันว่าแผนการมักตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลง แผนการเดิมของเฉียวเวยคือกันพื้นที่ส่วนหนึ่งของสวนด้านหน้ากับสวนด้านหลังมาปลูกผัก ทว่านับตั้งแต่ผูกชิงช้าตัวหนึ่งไว้ที่สวนด้านหลัง สวนด้านหลังก็กลายเป็นโลกของเด็กๆ ต้นอ่อนที่เฉียวเวยปลูกตอนกลางวัน ตกกลางคืนก็ถูกเท้าของวั่งซูเหยียบจนกลายเป็นซากผัก
นางเลี้ยงอีท่าไหนลูกแมวน้อยตัวสั่นระริกถึงกลายเป็นสิงโตน้อยแสยะเขี้ยวกางกรงเล็บ หากให้เล่าคงได้หลั่งน้ำตา
สวนด้านหลังใช้ไม่ได้แล้ว เฉียวเวยจึงเริ่มวุ่นวายกับสวนด้านหน้า ก่อนอื่นพลิกหน้าดิน ปรับสภาพดินสักหน่อย หลังจากนั้นจึงปลูกผักสดใหม่ ตัวอย่างเช่นฟักทอง ฟักเขียว กุยช่าย ต้นหอมเป็นต้น
แต่เฉียวเวยกลับคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายสวนหน้าบ้านเองก็ยังปลูกผักไม่ได้
เรื่องต่อจากนั้นขอยังไม่เล่า เล่าก่อนว่าตอนที่เฉียวเวยก้มหน้าก้มตาทำสวนอยู่ในลานบ้าน เถ้าแก่หรงก็มาหาเองถึงประตู
เฉียวเวยวางจอบลง “โอ๊ะ ลมอะไรหอบเถ้าแก่หรงมาเล่า”
เถ้าแก่หรงกลอกตา “แน่นอนว่าต้องมีธุระสิถึงมาหาเถ้าแก่รอง เถ้าแก่รองไม่แวะมาหรงจี้ หลบมานอนสบายอยู่ในบ้าน ข้าจึงได้แต่เดินทางมาเยี่ยมเยือนถึงบ้านด้วยตนเอง”
เฉียวเวยชี้แปลงดินที่ตนไถพรวนอยู่ตลอดบ่าย “ข้านอนสบายหรือ พูดจาเช่นนี้ มโนธรรมของท่านไม่เจ็บปวดบ้างหรือ”
เถ้าแก่หรงกระแอม กล่าวตามตรง เขาคิดจริงๆ ว่าเสี่ยวเฉียวเกียจคร้านแอบอู้อยู่ที่บ้าน เสี่ยวเฉียวซื้อทาสสองคนมาทำงานในโรงงานมิใช่หรือ ถ้าเช่นนั้นเรื่องมากมายล้วนมิต้องลงแรงทำเองแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่าพอมาถึงที่นี่กลับพบนางตากแดดร้อนๆ ทำงานใช้แรงงานอยู่
นี่เหนื่อยยากกว่าทำอาหารที่หรงจี้มากนัก
“ทาสของเจ้าเล่า เหตุใดจึงไม่เห็นพวกเขาออกมาทำงาน” น้ำเสียงของเถ้าแก่หรงแฝงแววตำหนิ
เฉียวเวยวางจอบลงด้านข้างแล้วเชิญเถ้าแก่หรงเข้ามาในห้องโถง “พวกเขากำลังทำงานอยู่ ไม่ได้ยินเสียงจากในโรงงานหรือ”
ประการแรกเถ้าแก่หรงมาถึงก็สนใจแต่มองหาเฉียวเวยจึงไม่ได้สนใจโรงงานที่อยู่ไกลออก เวลานี้ได้ยินเฉียวเวยเอ่ยขึ้นมาจึงหันไปมองฝั่งโรงงาน เริ่มแรกตอนนายช่างเจิ้งสร้างคลังสินค้า เขาคิดว่าจะสร้างใหญ่เอาไว้ก่อน ทั้งที่เฉียวเวยยังเป็นกิจการเจ้าของคนเดียวอยู่แท้ๆ แต่ไม่รู้เขาไปเอาความเชื่อมั่นมาจากที่ใด จึงสร้างคลังสินค้าใหญ่จนเกือบจะเท่าคฤหาสน์ให้เฉียวเวยเสียอย่างนั้น วันที่เฉียวเวยเชิญแขกมาวันนั้นมีคนมากมาย เถ้าแก่หรงจึงไม่ทันมองสำรวจให้ดี ตอนนี้พอมาเห็นคลังสินค้าแห่งนั้นอีกครั้งขณะที่รอบด้านเงียบสงบก็รู้สึกว่ามันช่างตั้งตระหง่านใหญ่โตน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก
สร้างคลังสินค้ากระจอกงอกง่อยออกมาให้รู้สึกใหญ่โตน่าเกรงขามได้ ต้องขอบอกว่าความสามารถในการออกแบบของนายช่างเจิ้งล้ำเลิศจริงๆ
ประตูของโรงงานปิดสนิท ได้ยินเสียงดังออกมาจากด้านในเพียงแผ่วเบา
“เจ้าปิดประตูไว้ ไม่กลัวพวกเขาแอบเกียจคร้านอยู่ด้านในหรือ” เถ้าแก่หรงถาม
เฉียวเวยตอบอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ “เรื่องนี้มีสิ่งใดให้กลัว ทำงานให้เสร็จตามจำนวนและได้คุณภาพก็พอแล้ว หากทำมากกว่างานขั้นต่ำจะมีรางวัล หากทำไม่เสร็จก็หักเงิน พวกเขาอยากได้เงินมากหน่อยหรือจะยอมเสียเงินให้ข้า ก็ล้วนแล้วแต่ตัวพวกเขาเอง”
ผู้คนในสังคมศักดินามีสำนึกความเป็นทาสอย่างแรงกล้า ในหมู่คนยากคนจนเรื่องทำนองเจ้านายสั่งลูกน้องเล่นแง่มิยอมทำพบเห็นได้ค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอากุ้ยกับชีเหนียงผู้ที่ทำสัญญาซื้อชีวิตมาแล้วเช่นนี้ ความเป็นความตายล้วนอยู่ในกำมือของนาง โดยพื้นฐานแล้วนางพูดอันใด ทั้งสองก็ล้วนต้องทำตามนั้น สงสัยการตัดสินใจของนางไม่ได้ โอดครวญว่าเหนื่อยหรือลำบากก็ไม่ได้
ดังนั้นต่อให้เฉียวเวยไม่จับตามองพวกเขา พวกเขาก็ยังจะทำงานที่นางจัดสรรให้จนเสร็จอยู่ดี
มาตรฐานในการประเมินคนงานคนหนึ่งว่าดีหรือไม่ของเถ้าแก่หรงไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำงานได้มีประสิทธิภาพหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเขาทำงานล่วงเวลามากหรือไม่ ตัวอย่างเช่น เหตุที่เสี่ยวลิ่วได้รับความโปรดปรานจากเถ้าแก่หรงอย่างยิ่ง เป็นเพราะว่าเสี่ยวลิ่วมักจะเป็นคนที่มาเช้าที่สุดและกลับดึกที่สุด
ส่วนเฉียวเวยกลับไม่เห็นอย่างนั้นโดยสิ้นเชิง เสี่ยวลิ่วใช้เวลาทำงานมากที่สุด แต่งานที่ทำกลับน้อยที่สุด เมื่อเถ้าแก่หรงกับนางอยู่ชั้นล่าง เสี่ยวลิ่วมักจะวิ่งวุ่นทำงาน แต่เมื่อทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบนแล้ว เสี่ยวลิ่วก็จะไปนั่งหลบอยู่ในมุม
ความคิดเห็นไม่ตรงกันพูดไปก็เท่านั้น ประเด็นเรื่องการจัดการคนงาน เถ้าแก่หรงกับเฉียวเวยเห็นไม่ตรงกันสักหน เถียงกันจนหน้าดำหน้าแดงทุกครั้งไป ดังนั้นจึงตัดปัญหาด้วยการไม่พูดกันเรื่องนี้
เถ้าแก่หรงเปลี่ยนประเด็น “ข้ามาหาเจ้าเพราะมีเรื่องงาน”
เฉียวเวยล้างมือที่ท้ายเรือนแล้วรินชาเย็นถ้วยหนึ่งให้เถ้าแก่หรง “เรื่องอันใด”
เถ้าแก่หรงไม่ชอบอากาศร้อน ปีนขึ้นเขามาเที่ยวหนึ่งก็เกือบจะเป็นลมแดดแล้ว เขารับน้ำชามาดื่มอึกๆ จนเกินครึ่งถ้วยแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดปาก “จำนวนไข่เยี่ยวม้าที่ส่งให้น่ะ เพิ่มขึ้นอีกสักนิดได้หรือไม่”
เฉียวเวยมองเขาอย่างประหลาดใจ “ข้าเพิ่มจากสองวันห้าสิบฟอง เป็นหนึ่งวันแปดสิบฟองแล้วนี่”
เถ้าแก่หรงเอ่ยว่า “ข้ารู้ แต่นี่ก็ยังขายไม่พอไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยมองเขาอย่างสงสัย “ท่านไปคุยโม้โอ้อวดอะไรไว้อีก”
“แค่กๆ เปล่าเสียหน่อย!” เถ้าแก่หรงสีหน้าขัดเขินในทันใด “ก็แค่…คนข้างนอกไม่รู้ไปได้ยินเรื่องการค้าขายกับในวังมาจากที่ไหน ของที่ในวังแย่งชิงอยากจะได้ เจ้าคิดว่ามันจะขายไม่ดีได้หรือ”
“ไม่รู้ไปได้ยินมาจากที่ไหนอะไรกัน ข้าว่าท่านไปกระจายข่าวเองมากกว่าเสียกระมัง”
เถ้าแก่หรงปฏิเสธทันควัน “เปล่านะ!”
เฉียวเวยถลึงตาใส่เขา “หน้าท่านเขียนอยู่ว่าท่านทำ”
เถ้าแก่หรงสะอึกจนหน้าแดงก่ำ จากนั้นดึงชายแขนเสื้อของเฉียวเวยเหมือนตัวเองเป็นภรรยาตัวเล็กตัวน้อย แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “ได้หรือไม่เล่า เสี่ยวเฉียววว”
อายุตั้งเท่านี้แล้วยังหน้าไม่อายใช้ความน่ารักมาอ้อน จะดีจริงหรือ
เฉียวเวยมองเขาอย่างดูแคลน แล้วดึงแขนเสื้อกลับ “เท่าไร”
เถ้าแก่หรงตาเป็นประกายทันใด เขาคลี่ยิ้มตอบว่า “ไม่มากๆ วันละสองร้อยก็พอ”
เฉียวเวยพองขนทันที “สองร้อยยังไม่มากอีกหรือ ข้าส่งให้ในวังเพียงวันละสามร้อยเท่านั้นเอง! ท่านจะให้ข้าเหนื่อยตายหรือ!”
เถ้าแก่หรงถูกตวาดใส่จนขนหัวลุก มือชื้นเหงื่อ เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “เจ้าหาคนมาช่วยได้ไม่ใช่หรือ ข้าคำนวณให้เจ้าแล้ว เจ้าจ้างคนมาทำงานอีกสองคน ค่าแรงก็ยังไล่ตามกำไรที่เจ้าได้ไม่ทัน เจ้ามีแต่ได้กำไรไม่ขาดทุนแน่”
เฉียวเวยยิ้มหยัน “ท่านทักษะคำนวณกระจอกงอกง่อยเช่นนั้นยังจะมาคำนวนแทนข้าอีกหรือ”
เถ้าแก่หรงเบะปากเหมือนเป็นภรรยาตัวน้อย “คนเขาก็แค่ลองคำนวนดู”
เฉียวเวยขนลุกกับท่าทางของเขา
“สองร้อยน่านะ เสี่ยวเฉียว” เถ้าแก่หรงถามรบเร้า
ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงสองร้อยจะได้หรือไม่ แต่เถ้าแก่หรงทำให้นางฉุกคิดอีกเรื่องหนึ่ง หนึ่งเดือนหลังจากนี้ แต่ละวันอาจมีไข่เยี่ยวม้าที่หมักสำเร็จสามร้อยถึงสี่ร้อยฟองก็จริง แต่ไข่เยี่ยวม้าที่นางนำไปขายล้วนเป็นไข่เยี่ยวม้าที่กะเทาะเปลือกโคลน เคลือบขี้ผึ้งแล้ว ทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยรักษาความสดใหม่ แต่ยังช่วยรักษาสูตรไว้เป็นความลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอนนี้อากุ้ยกับชีเหนียงยังทำงานทันอยู่เพราะพวกเขาทำเพียงหมักเท่านั้น ไม่ต้องล้าง ไม่ต้องเคลือบขี้ผึ้ง ไม่ต้องบรรจุใส่หีบห่อ รอจนถึงตอนที่เริ่มขนสินค้าออกไปส่ง การล้าง เคลือบขี้ผึ้งและบรรจุไข่หลายร้อยฟองใส่บรรจุภัณฑ์ในแต่ละวันย่อมต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมากนัก อาศัยเพียงพวกเขาสามคนไม่พออย่างแน่นอน
ดังนั้นหากกล่าวในทางทฤษฎีแล้ว นางจำเป็นจะต้องจ้างคนมากกว่านี้จริงๆ และเมื่อนางจ้างคนมาแล้ว การจะเพิ่มจำนวนสินค้าที่ส่งให้ฝั่งเถ้าแก่หรงก็มิใช่ปัญหายากเย็นอันใดอีก
“เสี่ยวเฉียวๆๆๆ…” เถ้าแก่หรงทำเสียงเล็กเสียงน้อยตื๊อ
เฉียวเวยเหล่มองเขา “จ้างคนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายปานนั้น จ้างได้แล้วก็ยังต้องสอนงานก่อนเริ่มทำงาน ผู้ใดจะรู้ว่าวันไหนจึงจะทำถึงจำนวนที่ท่านต้องการ”
เถ้าแก่หรงคลี่ยิ้มอย่างฉับพลัน “วันไหนก็ไม่สำคัญ ข้ารอได้อยู่แล้ว ขอเพียงเจ้าพยักหน้าก็พอ”
เรื่องคนงานจึงตกลงเช่นนี้ คนงานในคราวนี้รับผิดชอบเพียงพอกเปลือกไข่ ล้างเปลือกไข่ เคลือบขี้ผึ้งและบรรจุลงหีบห่อเท่านั้น ไม่ได้เข้ามายุ่งกับสูตรที่ใช้ในขั้นตอนก่อนหน้า ดังนั้นจะจ้างวานจากข้างนอกก็ไม่เป็นปัญหา
ข่าวในหมู่บ้านแพร่ไปไวนัก เฉียวเวยบอกเรื่องจ้างงานกับบ้านตระกูลหลัวตอนเที่ยง ตกบ่ายทั้งหมู่บ้านก็ทราบข่าวแล้ว พลบค่ำหลัวหย่งจื้อออกไปรับซื้อกุ้ง แปดหมู่บ้านในระยะสิบลี้ก็รู้กันทั่ว
ข่าวสำคัญเช่นนี้ย่อมหนีไม่พ้นตาทิพย์ของผู้เชี่ยวชาญด้านข่าวสารอย่างเสี่ยวเว่ย เสี่ยวเว่ยได้ยินข่าวว่าคหบดีครอบครัวนั้นจะจ้างคนงานก็วิ่งไปรายงานหัวหน้าค่ายทันที
วันนั้นหลังจากเห็นวั่งซูกระแทกมือสังหารคนหนึ่งจนปลิวแล้วใช้มือเปล่าจับงูพิษ หัวหน้าค่ายก็หวาดกลัวเล็กน้อย แม้เขาเห็นคนชุดดำป้อนบางสิ่งให้ลูกสุนัขน้อยกิน แต่เห็นว่าสุนัขสีขาวตัวน้อยไม่เพียงไม่เป็นอันใด แต่ยังทำท่าเพลิดเพลินยิ่งนัก จึงคาดเดาว่าคนชุดดำให้ของกินเล่นอย่างลูกชิ้นเนื้อหรือลูกกวาดเพื่อเอาใจสุนัขน้อย หากเขาทราบว่าสิ่งเหล่านั้นความจริงแล้วคือยาพิษ น่ากลัวว่าตอนนี้คงกลัวจนหนีกลับบ้านเมียแล้ว
“หัวหน้าค่ายๆ!” เสี่ยวเว่ยวิ่งเข้ามาในห้องโถงใหญ่ของค่ายวายุทมิฬซึ่งความจริงแล้วเป็นเพียงบ้านหลังคารั่วที่ยามฝนตกน้ำรั่วลงมาหลังหนึ่ง
สีหน้าของหัวหน้าค่ายยังซีดเผือดอยู่บ้าง แต่เขาไม่มีทางยอมรับว่าเกิดจากความกลัว
เขาหันไปมองเสี่ยวเว่ยแล้วถามด้วยท่าทางสุขุม “มีอันใด มีพ่อค้าเงินหนามาอีกแล้วหรือ”
“มิใช่ขอรับ หัวหน้าค่าย” เสี่ยวเว่ยกล่าว “กิจการของเศรษฐีครอบครัวนั้นเหมือนจะใหญ่ขึ้นอีกแล้ว จ้างคนงานเพิ่มอีกแล้ว!”
“อะไรนะ ใหญ่ขึ้นอีกหรือ” หัวหน้าค่ายเมินผ่านเรื่องจ้างคนงานอย่างสิ้นเชิง ในสมองมีแต่ภาพก้อนเงินกำลังกระโดดโลดเต้น กล่าวไปแล้วก็บังเอิญ เขาวายุทมิฬกับเขาลูกนั้นมองเห็นกันจากไกลๆ ค่ายวายุทมิฬอยู่บนยอดเขา ส่วนคฤหาสน์คนรวยหลังนั้นอยู่ตรงไหล่เขา หากมองคฤหาสน์หลังนั้นจากค่ายวายุทมิฬสามารถมองเห็นทุกสิ่งได้พอดี
พวกเขาเฝ้าดูสามแม่ลูกย้ายเข้ามาในบ้านฟางที่ถูกทิ้งร้างแห่งนั้น มองพวกเขาใช้ชีวิตยากจนลงเรื่อยๆ สตรีนางนั้นวันทั้งวันเอาแต่นั่งร่ำไห้อยู่ในเรือน เด็กน้อยก็ร่ำไห้ด้วยแต่นางไม่สนใจ ปล่อยให้เด็กน้อยร้องไห้อยู่นอกห้องเสียครึ่งค่อนวัน นางอารมณ์ร้าย หากรำคาญขึ้นมาก็ตีเด็กๆ มีครั้งหนึ่งเด็กผู้หญิงฉี่ราดกางเกง นางก็ขังเด็กหญิงตัวน้อยไว้นอกบ้าน เดือนสิบสองอากาศหนาวเหน็บ เด็กหญิงตัวน้อยร้องไห้จนคนฟังใจจะขาด
เด็กหญิงตัวน้อยเท้าเปล่าเปลือย สวมกางเกงเปียกปัสสาวะ ร้องไห้พลางสะอึกสะอื้น “ท่านแม่…ข้าผิดไปแล้ว…ข้าจะไม่ฉี่ราดกางเกงอีกแล้ว…”
เฮ้อ เด็กน้อยเพิ่งจะอายุสองสามขวบเท่านั้น
พวกเขาเป็นโจร ยังเกือบจะทนมองไม่ได้
แต่สตรีนางนั้นก็มิได้เป็นเช่นนี้ตลอด เวลาส่วนใหญ่นางก็เป็นมารดาที่ค่อนข้างเมตตา
หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ชะเง้อมองสถานการณ์ฝั่งนั้นอีก มัวแต่ตั้งอกตั้งใจออกปล้น จนกระทั่งบนภูเขาฝั่งตรงข้ามมีเสียงดังตึงตัง พวกเขาจึงพบว่าที่ตรงนั้นเริ่มสร้างบ้านแล้ว
พวกเขาคิดว่าครอบครัวก่อนหน้านี้คงย้ายออกไปแล้วมีครอบครัวใหม่มาอาศัย
ครอบครัวใหม่ก็มีสามแม่ลูกเหมือนกัน ช่างบังเอิญจริงเชียว
สามแม่ลูกมีชีวิตมั่งคั่งสุขสันต์ ตรงกับเงื่อนไขที่พวกเขาจะปล้นยิ่งนัก
จนปัญญาที่พอจะยกทัพครั้งแรกก็ตกใจกลัวจนล่าถอยหมดทั้งกองทัพเสียก่อน ทุกครั้งที่นึกย้อนถึงท่าทางขี้ขลาดในค่ำคืนนั้น ความจริงหัวหน้าค่ายก็โกรธอยู่เล็กน้อย แต่จะให้ไปปล้นอีกครั้ง เขาก็เหมือนจะไม่กล้า แต่ความกล้าย่อมขยายใหญ่ขึ้นตามขนาดของสิ่งล่อลวง ตัวอย่างเช่นเมื่อเสี่ยวเว่ยเล่าว่ากิจการของอีกฝ่ายใหญ่โตขึ้นอีกแล้ว ความคิดที่หัวหน้าค่ายล้มเลิกไปแล้วจึงกลับมาอีกครั้งในชั่วพริบตา
“ครั้งนี้พวกเราจะใช้เล่ห์กล!” หัวหนาค่ายกล่าว
“ยัง ยัง ยังจะปล้นอีกหรือ” จวบจนตอนนี้เสี่ยวเว่ยก็ยังหวาดกลัวเด็กประหลาดในค่ำคืนนั้นอยู่ กระแทกบุรุษฉกรรจ์คนหนึ่งจนปลิว นี่ต้องมีกำลังมากปานใด เขากล้ารับประกันว่ากำลังภายในของเด็กคนนั้นจะต้องล้ำลึกมากแน่ หนึ่งฝ่ามือก็คงบีบเขาตายแล้ว
หัวหน้าค่ายหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ข้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าจะใช้เล่ห์กล”
“ใช้ ใช้เล่ห์กลเช่นไรเล่า” เสี่ยวเว่ยถามอย่างหวาดผวา
หัวหน้าค่ายตบต้นขาดังฉาด “พวกเราไม่ปล้น! แต่พวกเราจะไปขโมย!”
“ขโมยหรือ” นี่…นี่ขายหน้าเกินไปแล้วกระมัง! ในฐานะกองโจรผู้มีจรรยาบรรณ เสี่ยวเว่ยดูแคลนพวกลักเล็กขโมยน้อยเหล่านั้นยิ่งนัก ลูกผู้ชายตัวจริงต้องถือดาบออกศึกสิ แน่นอนว่าคำพูดนี้กล่าวในใจก็พอแล้ว หากพูดออกไปจริงๆ หัวหน้าค่ายคงกำจัดเขาแน่ “บ้านของพวกเขามีคนอยู่ตลอดคงขโมยไม่ง่าย”
หัวหน้าค่ายจึงว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่ากิจการของนางใหญ่ขึ้นเลยต้องจ้างวานคนสินะ”
เสี่ยวเว่ยพยักหน้าอย่างมึนงง เรื่องนี้เกี่ยวกับขโมยของด้วยหรือ
“เสี่ยวเว่ยยย” หัวหน้าค่ายยิ้มอย่างชั่วร้ายพลางตบหัวไหล่เขา “หัวหน้าค่ายคนนี้คิดวิธีการอันยอดเยี่ยมออกวิธีหนึ่ง แต่ต้องลำบากเจ้าสักหนแล้ว”
…
ระยะนี้สถานการณ์ของสวีซื่อไม่ดีนัก จวนเอินปั๋วมีทั้งหมดสี่เรือน เรือนใหญ่ไม่อยู่แล้ว เรือนรองจึงกลายเป็นใหญ่ในจวน นางเองก็กลายเป็นลูกสะใภ้คนโตด้วย
นางเจ้าเล่ห์ ปากหวาน ตกรางวัลอย่างใจกว้าง ปรนนิบัติเหล่าไท่ไท่อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง เหล่าไท่ไท่จึงพอใจกับลูกสะใภ้คนนี้พอสมควร ทว่านับตั้งแต่นายท่านรองเข้าคุกครานั้น เหล่าไท่ไท่ก็ชิงชังนาง
แม้เหล่าไท่ไท่ไม่พูด แต่คนมีตาทุกคนล้วนมองออกว่าเหล่าไท่ไท่โทษนางว่าไม่รีบไปช่วยสามี แต่กลับไป ‘สำเริงสำราญ’ อยู่ข้างนอก
สวรรค์เป็นพยาน นางซื้อข้าวของมากมายปานนั้นก็เพื่อจะไปมอบให้จีเหล่าฮูหยินหวังให้นางรีบช่วยนายท่านรองออกมามิใช่หรือไร
ต้องคืนหนังสือหมั้นหมายเพียงวิธีเดียวเท่านั้นหรือไร
ช่างสมกับประโยคที่ว่า ‘คนทำดีร้อยหนมิเท่าผิดพลาดหนเดียว’
นางทุ่มเทใจปรนนิบัติเหล่าไท่ไท่มาตั้งหลายปีดีดัก แต่เพราะเรื่องนี้เรื่องเดียว ความพยายามก่อนหน้านี้ล้วนมลายหายดั่งหมอกควัน
ผลจากการที่เหล่าไท่ไท่ชังน้ำหน้านางก็คือสถานะของนางในจวนเอินปั๋วกระอักกระอ่วนมากขึ้น
“พี่สะใภ้รอง เบี้ยรายเดือนของเดือนนี้เหมือนจะไม่ถูกนะเจ้าคะ” ระหว่างที่มาคารวะเหล่าไท่ไท่ ฮูหยินสามก็อมยิ้มเอ่ยขึ้นมา
สวีซื่อเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มีสิ่งใดไม่ถูก ก่อนหน้านี้กำหนดไว้เท่าใดก็มอบให้เท่านั้น”
ฮูหยินสามยิ้มหวานกล่าวว่า “ข้าจำได้ว่าแต่ละฤดูกาล แต่ละเรือนจะได้เงินพิเศษเพิ่มต่างหาก แต่เหตุไฉนฤดูนี้ไม่เห็นมี”
เงินพิเศษที่ให้เพิ่มเป็นรายได้จากร้านรวงซึ่งปันผลกำไรมาให้ตอนท้ายปี จากนั้นแบ่งให้แต่ละเรือน เรือนละเล็กเรือนละน้อยเป็นค่าใช้จ่าย เจ้านายของจวนเอินปั๋ว ไม่ว่าจะเป็นนายท่านหรือฮูหยินล้วนมีสมบัติส่วนตัวอยู่เล็กน้อย สมบัติส่วนตัวเหล่านี้ไม่ถูกนับรวมกับของส่วนรวม เงินปันผลที่เพิ่มให้ส่วนมากมาจากหอหลิงจือ
สวีซื่อตอบอย่างไม่ร้อนรน “ฤดูที่ผ่านมาหอหลิงจือกิจการซบเซา เงินที่ได้มาไม่พอแบ่งให้ทุกคน จึงทบไปมอบให้พร้อมกับฤดูกาลหน้า”
ฮูหยินสามประชด “หอหลิงจือกิจการดีปานนั้นจะไม่พอแบ่งให้พวกเราหรือ พี่สะใภ้รอง ท่านคงไม่ได้นำเงินของหอหลิงจือไปมอบให้นางคนต่ำช้าผู้นั้นหรอกกระมัง”
สวีซื่อมุ่นคิ้ว “เจ้าพูดเหลวไหลอันใด”