หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 12 ต้องทำการค้า
เรื่องรับเป็นลูกบุญธรรม ป้าหลัวไม่ได้ปรึกษากับเฉียวเวยก่อน นางกังวลอยู่ว่าเฉียวเวยอาจไม่ชอบใจ ทว่าในความเป็นจริงความกังวลของนางกลับเป็นเรื่องเสียเปล่าอย่างสิ้นเชิง เฉียวเวยไม่มีที่พึ่งที่ใด การได้พบกับผู้อาวุโสอย่างป้าหลัวเป็นสิ่งที่ปรารถนาอย่างยิ่ง แต่ในยุคโบราณการรับลูกบุญธรรมถือเป็นเรื่องใหญ่ นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ป้าหลัว เรื่องนี้ต้องปรึกษาลุงหลัวก่อนหรือไม่”
ป้าหลัวตบหลังมือของนางเบาๆ “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ เรื่องใดเขาก็ฟังข้าทั้งนั้น ข้าเคยเอ่ยถึงเจ้ากับเขาแล้ว เขาก็สงสารเจ้าเช่นกัน ยังบอกให้ข้าดูแลเจ้าให้มากอยู่เลย”
เฉียวเวยซาบซึ้ง “ลุงหลัวเป็นคนดี”
ป้าหลัวมองค้อน “ยังจะเรียกลุงอีกหรือ”
สีหน้าของเฉียวเวยขัดเขินเล็กน้อย “พ่อบุญธรรม”
แล้วป้าหลัวก็ชี้ตนเอง “ถ้าเช่นนั้นข้าเล่า”
“แม่บุญธรรม”
ป้าหลัวยิ้มอย่างพออกพอใจ
เรื่องการรับเป็นลูกบุญธรรมจึงเป็นอันตกลงเช่นนี้
ตกค่ำเฉียวเวยทำอาหารมื้อใหญ่แล้วรั้งป้าหลัวไว้ทานอาหารด้วยกัน สามีของป้าหลัวทำงานอยู่กับที่ว่าการอำเภอ เดือนหนึ่งจะกลับมาสักครั้ง บุตรชายคนโตแต่งงานย้ายออกไปแล้ว บุตรชายคนเล็กร่ำเรียนวิชาอยู่ที่เมืองหลวง ส่วนใหญ่นางจึงอยู่เพียงลำพัง สาเหตุที่รับเสี่ยวเฉียวเป็นลูกบุญธรรม แน่นอนว่าเพราะสงสารสามแม่ลูกอยู่ส่วนหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วตัวนางเองก็เหงาด้วย
เสี่ยวเฉียวรั้งตัวนางให้อยู่ทานอาหาร นางจึงอยู่ต่ออย่างเต็มอกเต็มใจ
เด็กๆ เร่งรีบกลับมาก่อนอาหารเสร็จราวกับว่าพวกเขาได้กลิ่นหอมโชยมาจากบ้าน เมื่อเห็นป้าหลัวที่จัดวางชามและตะเกียบอยู่ในห้องโถง พวกเขาก็เอ่ยเรียกเสียงหวานว่า “ท่านยายหลัว”
เฉียวเวยยกแกงวุ้นเส้นเนื้อแพะชามหนึ่งออกมาจากในห้องครัว เมื่อได้ยินคำเรียกนี้ก็แย้มรอยยิ้ม “หลังจากนี้ไม่ต้องเรียกว่าท่านยายหลัวแล้ว เรียกท่านยายก็พอ”
ในความรู้สึกของเด็กน้อยมีแซ่เพิ่มมาตัวหนึ่งหรือน้อยลงตัวหนึ่งไม่แตกต่างกันมากมายนัก พวกเขาขานรับอย่างว่าง่าย เฉียวเวยคิดในใจอีกเดี๋ยวต้องสอนเรื่องครอบครัวบุญธรรมให้เด็กๆ สักหน่อย ให้พวกเขารู้ว่าท่านยายหลัวกับท่านยายคนอื่นไม่เหมือนกัน
เฉียวจิ่งอวิ๋นเดินเข้าไปเทน้ำล้างมือในลานบ้านเอง ตั้งแต่ก่อนสามแม่ลูกย้ายมาที่นี่ ในลานบ้านก็มีบ่อน้ำบ่อหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว เด็กๆ จึงรู้ว่าจะตักน้ำจากในบ่ออย่างไร แต่เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน เฉียวเวยจึงปิดปากบ่อไว้ ยามปกติจะให้พวกเขาใช้น้ำจากในโอ่งแทน
สองพี่น้องล้างมือเสร็จก็เข้าไปทานอาหารในบ้าน
เฉียวเวยทำกับข้าวสี่อย่างน้ำแกงหนึ่งชามได้แก่ ไข่ผัดพริกหยวก หมูสามชั้นน้ำแดงใส่หูหลัวปัว มันฝรั่งเส้นผัดแห้ง ผัดผักกาดขาว น้ำแกงวุ้นเส้นเนื้อแพะ แล้วบนเตาก็นึ่งขนมเหนียวถั่วแดงไว้อีกหนึ่งเข่ง
ป้าหลัวไม่เคยชิมอาหารฝีมือเสี่ยวเฉียวมาก่อน แต่มองสีสันของอาหารแล้วรู้สึกว่าไม่ธรรมดา นางคีบมันฝรั่งเส้นผัดแห้งขึ้นมาหนึ่งคำ “นี่คืออะไร”
เฉียวเวยยิ้ม “มันฝรั่ง”
“มันฝรั่งก็ทำเช่นนี้ได้หรือ” ป้าหลัวกัดเข้าปาก รสเผ็ดชาซาบซ่านเต็มปาก มันแต่ไม่เลี่ยน หวานติดปลายลิ้น รสชาติไม่เลว หลังจากนั้นนางก็ลองไล่ชิมไข่ หมูสามชั้นน้ำแดงและผักกาดขาว ยิ่งกินก็ยิ่งตกตะลึง เมื่อได้ดื่มน้ำแกงวุ้นเส้นเนื้อแพะ สีหน้าตกตะลึงนั่นก็เก็บกลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป “เสี่ยวเฉียว ฝีมือทำอาหารของเจ้าใช้ได้เลยนี่!”
เฉียวเวยยิ้มอย่างสงวนท่าที “แค่พอไปวัดไปวาได้บ้าง ข้าทำอาหารตั้งแต่เล็ก”
“ทำอาหารตั้งแต่เล็กหรือ” ป้าหลัวเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ แล้วเอ่ยด้วยท่าทางประหลาดใจ “ตอนเจ้าเพิ่งเข้ามาในหมู่บ้าน แม้แต่ล้างผักยังทำไม่เป็น”
แม้แต่ล้างผักยังทำไม่เป็น เจ้าของร่างเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงมหรืออย่างไร เฉียวเวยยิ้มโดยไม่แสดงสีหน้าอันใด “หลังจากตั้งครรภ์ก็ไม่ได้ทำแล้วจึงไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง สองปีนี้เพิ่งรื้อฟื้นกลับมาได้”
ป้าหลัวไม่ติดใจสงสัยอันใดอีก นางทานอาหารมื้อนี้กับเฉียวเวยอย่างเบิกบานใจ เฉียวเวยเพิ่งเคยลองทำน้ำแกงวุ้นเส้นเนื้อแพะ แต่เด็กๆ บอกว่าอร่อยกว่าที่กินในตัวเมืองเสียอีก ป้าหลัวก็คิดเช่นนั้น เสี่ยวเฉียวของนางไม่อวดตัว แต่ทำอาหารได้ยอดเยี่ยมปานนี้เชียว
หลังอาหารเฉียวเวยยกขนมเหนียวถั่วแดงออกมา เด็กๆ รักของหวานที่นางทำเป็นที่สุด แม้แต่สัตว์กินเนื้ออย่างเจ้าเพียงพอนหิมะตัวน้อยก็ชื่นชอบยิ่งนัก อุ้งมือสามข้างยื่นมาที่ถาดอย่างรวดเร็ว
ความจริงป้าหลัวทานไม่ลงแล้ว แต่ขนมเหนียวนั่นทำเป็นรูปกระต่ายขาวตัวน้อย น่ารักยิ่งนักจริงๆ นางอดไม่ไหวจึงทานลงไปหนึ่งชิ้น แล้วก็อีกชิ้น จากนั้นก็อีกชิ้น ทานจนสุดท้ายตนเองรู้สึกเขิน
นางไม่ใช่คนตะกละเสียหน่อย เหตุใดมาที่บ้านเสี่ยวเฉียวแล้วทำตัวเหมือนไม่ได้กินข้าวมาแปดร้อยปีเสียเล่า
หลังทานอาหาร เด็กๆ กับเพียงพอนหิมะตัวน้อยก็ออกไปเล่นในลานบ้าน ป้าหลัวอยู่ช่วยเฉียวเวยเก็บกวาดห้องครัวแล้วถือโอกาสคุยเรื่องการหาเลี้ยงชีพหลังจากนี้ “เจ้าคิดจะทำงานอะไร ทำนาตลอดไปก็คง…”
เฉียวเวยขัดชามไปพลางก็เอ่ยไปด้วย “ข้าจะทำนาต่อ หากอากาศดีก็จะขึ้นเขาไปลองล่าสัตว์”
“เจ้า ดูเจ้าสิ ข้าเคยบอกว่าอะไรฮึ ห้ามเจ้าขึ้นเขาคนเดียวอีก” ป้าหลัวถลึงตามองเฉียวเวยแล้วเอ่ยว่า “ข้าช่วยคิดหาวิธีให้เจ้าแล้ว ไม่รู้เจ้าจะเห็นด้วยหรือไม่”
เฉียวเวยหัวเราะนุ่มนวล “เชิญแม่บุญธรรมพูด”
ป้าหลัวรับชามที่เฉียวเวยขัดแล้วใช้ผ้าฝ้ายสะอาดเช็ดอย่างถี่ถ้วน “ครั้งก่อนข้ากินขนมหัวไชเท้าที่เจ้าให้แล้วคิดว่าฝีมือทำอาหารของเจ้ายอดเยี่ยม เจ้าเห็นตลาดนัดแล้วสินะ เจ้าคิดว่าของที่ตัวเองทำเทียบกับของพวกนางแล้วเป็นอย่างไร”
เฉียวเวยคิดครู่หนึ่ง “ทั้งสี กลิ่น รสชาติน่าจะดีกว่าเล็กน้อย”
ป้าหลัวเหล่มอง “เล็กน้อยหรือ เจ้าให้เกียรติพวกเขามากไปแล้ว!”
เฉียวเวยถูกชมจนเขิน มุมปากยกโค้งขึ้น “แม่บุญธรรมหมายความว่าของที่ข้าทำนำไปขายได้”
“อืม” ป้าหลัวพยักหน้า
ความจริงแล้วเฉียวเวยก็คิดว่านี่เป็นหนทางหนึ่ง ทำนารายได้ไม่พอกับรายจ่าย ย่อมไม่อยู่ในรายการงานที่ทำเพื่อหาเลี้ยงตัว การล่าสัตว์พอสร้างรายรับได้ส่วนหนึ่ง แต่ความไม่แน่นอนสูงเกินไป ไม่ใช่ว่าทุกครั้งจะล่าสัตว์ได้ ความจริงแล้วนางต้องการรายได้ที่มั่นคงสักทาง
เฉียวเวยเป็นคนลงมือฉับไว เรื่องที่เพิ่งคุยกันเมื่อวานเย็น เช้าวันรุ่งขึ้นนางก็ลงมือทำจนได้ของมาแล้ว เพราะวัตถุดิบที่ซื้อจากในเมืองครั้งก่อนมีจำกัด นางจึงทำเพียงขนมเหนียวถั่วแดงกับไชเท้าทอด ขนมหัวไชเท้าไม่ได้ทำไว้ขาย แต่ให้ตนเองกับลูกๆ กิน
ฟ้าเพิ่งสว่างนางก็ถือถาดขนมสองถาดลงจากเขาไปพร้อมเด็กๆ
เด็กๆ รักวันที่ได้ ‘ตระเวนไปทั่ว’ กับมารดาเช่นนี้ที่สุด ก่อนหน้านี้มารดามักจะเก็บตัวอยู่ในบ้าน นอกจากทำนาก็ไม่ลงจากเขาแม้แต่น้อย เวลาเกินกว่าครึ่งของพวกเขาจึงต้องอยู่ในลานบ้านจนรู้สึกเหงาอยู่บ่อยครั้ง ต่อมาแม้จะลงเขามาได้ ทว่าความรู้สึกย่อมไม่เหมือนกับได้ลงจากเขาพร้อมมารดา!
ป้าหลัวไปด้วยกันเป็นเพื่อนเฉียวเวย พวกเขานั่งรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อเช่นเดิม
ตอนนี้เฉียวเวยเป็นบุตรสาวของป้าหลัวแล้วย่อมนับเป็นคนในหมู่บ้านของตน ตาเฒ่าซวนจื่อจึงคิดราคาถูกกว่าเมื่อวานสักหน่อย คนหนึ่งราคาสิบอีแปะ ส่วนเด็กน้อยทั้งสองไม่คิดเงิน
ทั้งสี่คนไม่ได้ไปที่ตลาดนัด แผงร้านค้าที่นั่นมีแต่เช่ารายเดือน รายฤดูหรือรายปี ไม่มีที่ว่างเหลือให้เฉียวเวย เฉียวเวยจึงมายังจุดที่ทานอาหารกลางวันเมื่อวาน จำนวนคนที่เดินผ่านไปมาที่นี่ก็ไม่เลว ที่ตั้งร้านยังเก็บค่าเช่ารายวัน หนึ่งวันยี่สิบอีแปะ
เฉียวเวยจ่ายเงินค่าเช่า แล้วช่วยกันยกโต๊ะตัวเล็กกับม้านั่งตัวน้อยออกมาตั้งกับป้าหลัว
เด็กน้อยสองคนเป็นเด็กดีนั่งอยู่ด้านหลัง ไม่เอะอะไม่โวยวาย รู้ความจนชวนให้คนปวดใจ