หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 126-1 วีรบุรุษช่วยหญิงงาม
ฝนตกหนักขึ้น ลุงจูปิดประตูแล้วกางร่มเดินกลับไปยังห้องครัว
อาหารถูกกินไปมากกว่าครึ่งแล้ว พ่อครัวเห็นเขาเข้ามาก็รีบเปิดซึ้ง ยกกับแกล้มที่ใส่จานไว้เรียบร้อยแล้วออกมาสองจาน
“เจ้ามันยุ่งไม่เข้าเรื่อง หมาแมวที่ไหนก็ต้องเข้าไปช่วยตลอด” พ่อครัวหัวเราะเขา
ลุงจูคีบซี่โครงนึ่งข้าวเหนียวกินพลางเอ่ยว่า “เขาเป็นหมอต่างหาก อยู่ข้างนอกคงลำบาก ไม่ใช่ว่าจะพบเรื่องเช่นนี้ทุกวันเสียหน่อย”
คฤหาสน์บนภูเขาแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างไกล คนเดินทางผ่านน้อยนัก พบแมวจรหมาจรมากกว่าคนพเนจรมาก
พ่อครัวหัวเราะแล้วไม่พูดสิ่งใดอีก
พวกเขาพากันกินดื่ม ทุกคนล้วนสนุกสนาน ทันใดนั้นจีอู๋ซวงก็เปิดประตูพรวดเข้ามา!
ทุกคนตกใจจนกายสะท้าน เสียงหัวเราะหยุดลงทันที
ตุ้บ! ซี่โครงในมือลุงจูร่วงตกพื้น
ทุกคนลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง “นายท่าน!”
พ่อครัวกวาดสายตามองอาหารเต็มโต๊ะ หัวใจเต้นตึกตัก แอบขโมยกินอาหารดีๆ เช่นนี้ รนหาที่ตายชัดๆ…
“นายท่าน พวกเรา…พวกเราทำงาน…เสร็จหมดแล้ว…” พ่อครัวเอ่ยอึกอัก
จีหมิงซิวกลับไม่ชายตาแลอาหารบนโต๊ะสักนิด สายตาวาววับถามว่า “เมื่อครู่มีผู้ใดมาเยือนหรือไม่”
ทุกคนมองหน้ากัน นายท่านเจ้าของคฤหาสน์เป็นวิญญาณหรือ กระทั่งเรื่องนี้ก็ยังรู้
ลุงจูหนอลุงจู เจ้าทำร้ายพวกเราแล้ว
ลุงจูรวบรวมความกล้าแล้วตอบว่า “หมอที่เดินทางผ่านมาคนหนึ่งขอรับ เขามาขอสุรากับข้า”
“ทราบหรือไม่ว่าเขานามว่าอันใด บ้านอยู่ที่ใด” จีอู๋ซวงถามด้วยสีหน้าร้อนรน
“ไม่ทราบขอรับ” ลุงจูตอบ
จีอู๋ซวงสีหน้าเคร่งขรึม “เขาเดินทางไปทิศใด”
ลุงจูยกมือชี้ “ตะวันออกขอรับ”
จีอู๋ซวงฝ่าฝนไปทางประตูหลัง เปิดพรวดก้าวออกไป ค่ำคืนสายฝนโปรยปราย ไหนเลยจะยังมีเงาคนอยู่
…
ทิวทัศน์ของขุนเขางดงาม ดวงจันทร์คืนแรมลอยสูงบนฟ้า
เฉียวเวยเดินเข้ามาในรั้วของโรงงาน เคาะประตูห้องของชีเหนียงเบาๆ “ชีเหนียง เจ้าหลับหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ” ชีเหนียงเปิดประตูให้เฉียวเวย ดูจากเสื้อผ้าก็คงยังไม่นอนจริงๆ “ข้ากำลังปะชุนเสื้อผ้าอยู่ ฮูหยินเรียกหาข้ามีธุระหรือเจ้าคะ”
เฉียวเวยกระแอม “คืออย่างนี้ ข้าอยากเย็บเสื้อสักตัว แต่ข้าทำไม่ค่อยเป็น เจ้าทำเป็นหรือไม่”
ชีเหนียงคลี่ยิ้ม “เป็นเจ้าค่ะ ฮูหยินรอประเดี๋ยว ข้าบอกอากุ้ยสักคำ”
กล่าวจบก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง บอกอากุ้ยที่เอนพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่ว่า “ข้าจะไปคฤหาสน์ของฮูหยินประเดี๋ยว เจ้านอนไปก่อน ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามจงเกอร์ต้องเข้าส้วม เจ้าจำไว้ว่าต้องปลุกเขา อย่าให้เขาฉี่รดที่นอน”
จุดสำคัญที่อากุ้ยจับประเด็นได้กับสิ่งที่ชีเหนียงต้องการจะสื่อไม่ค่อยตรงกันนัก “ครึ่งชั่วยาม เจ้าจะยังไม่กลับมาอีกหรือ”
ชีเหนียงบอกเสียงเบา “หากข้ากลับมา ข้าก็จะปลุกเอง เพียงบอกไว้เผื่อกลับมาไม่ทัน เจ้าอย่าลืมเล่า”
“เข้าใจแล้ว” อากุ้ยรับปาก แต่ในใจกลับขุ่นเคืองเล็กน้อย เป็นผู้หญิง กลางค่ำกลางคืนยังจะออกไปนอกบ้าน ทำตัวไม่เข้าท่าขึ้นทุกที
เมื่อชีเหนียงกับเฉียวเวยเข้ามาในคฤหาสน์ เจ้าตัวจ้อยทั้งสองคนก็หลับไปแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ชีเหนียงเห็นท่านอนกางแขนขาอ้าซ่าของวั่งซู นางหัวเราะขำอยู่พักใหญ่
ทั้งสองคนนั่งลงริมหน้าต่าง ชีเหนียงปรับไส้โคมให้สว่างที่สุด เฉียวเวยชงชาใสสองถ้วย
ชีเหนียงรับมาแล้วถามว่า “ฮูหยินต้องการทำเสื้อแบบใดเจ้าคะ”
“อยากทำเสื้อนอนสักตัว”
“ให้ผู้ใด วัดขนาดแล้วหรือไม่”
เฉียวเวยไม่ตอบ แต่หยิบเสื้อที่ตัดเสร็จแล้วตัวหนึ่งออกมาจากในตะกร้าแล้วส่งให้ชีเหนียง
“ฮูหยินอยากทำเหมือนตัวนี้ทุกประการเลยหรือไม่” ชีเหนียงหยิบเสื้อนอนขึ้นมา สัมผัสนุ่มลื่นนั่นทำให้หัวใจของชีเหนียงสั่นไหว เนื้อผ้าดีเช่นนี้ แม้แต่ตอนอยู่ในจวนผู้ว่าราชการมณฑล นางก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
เมื่อกางออกดูก็พบว่าเป็นเสื้อของบุรุษ
ชีเหนียงตะลึง เพียงพริบตาเดียวก็คล้ายเข้าใจบางสิ่ง
เฉียวเวยดื่มชาด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน สีหน้าสุขุมยิ่งนัก แต่ผู้ที่ละเอียดอ่อนเช่นชีเหนียง ไฉนจะสัมผัสมิได้ว่าแววตาของนางแปลกไป
“บุรุษที่อยู่ในน้ำครั้งก่อนหรือเจ้าคะ” ชีเหนียงถาม
บุรุษที่อยู่ในน้ำครั้งก่อนมีมากไป แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เฉียวเวยจึงสัมผัสได้ว่าชีเหนียงหมายถึงหมิงซิว
เฉียวเวยขานอืมตอบอย่างผ่านๆ
ชีเหนียงยิ้ม
คุณชายท่านนั้นสินะ
วันนั้นตอนจีหมิงซิวเดินผลุนผลันขึ้นมาบนเรือ ชีเหนียงก็สังเกตเห็นเขาแล้ว ไม่ใช่ว่าชีเหนียงตัวอยู่กับบุรุษคนนี้แต่ใจสนใจบุรุษคนอื่น แต่คนผู้นั้นรูปโฉมและท่าทางโดดเด่นยิ่งนักจนยากจะไม่ให้คนสังเกต
ตอนที่เขากระโดดลงน้ำว่ายไปหาเฉียวเวย ในสายตาคนนอก เขาอาจเป็นเพียงคนจิตใจดีคนหนึ่งที่อยากจะลากเฉียวเวยผู้หมดเรี่ยวแรงขึ้นฝั่งเท่านั้น แต่ชีเหนียงเห็นความน้อยใจที่ปรากฏวูบหนึ่งในดวงตาของเฉียวเวยอย่างชัดเจน
ฮูหยินเป็นคนเข้มแข็งปานนั้น นางเคยเผยความรู้สึกของตนยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นเสียที่ไหน
เพียงแต่ว่าชีเหนียงไม่ปากมาก สังเกตเห็นแต่ก็เก็บไว้ในใจเท่านั้น แม้แต่กับอากุ้ยก็ไม่บอก
“เขาเป็นเจ้าของเรือนสี่ประสานด้วยสินะเจ้าคะ” ชีเหนียงถาม
เฉียวเวยพยักหน้า “อืม”
ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจอย่างยิ่ง!
ชีเหนียงหัวเราะ
ชีเหนียงไม่คิดว่าบุรุษคนนี้จะเป็นบิดาของจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู ชีเหนียงเองก็คิดเหมือนทุกคนในหมู่บ้านว่าสามีของเฉียวเวยจากโลกไปแล้ว ชีเหนียงเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน ย่อมไม่คัดค้านหากเฉียวเวยจะหาความรักครั้งใหม่ ตัวนางเองก็เคยคิดอยู่ว่าฮูหยินเป็นสตรีที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ ยอดบุรุษเช่นไรจึงจะคู่ควรกับนาง บุรุษผู้นั้นหน้าตา กิริยาท่าทางล้วนไม่ธรรมดา แล้วในเมื่อมีเรือนอันหรูหราเช่นนั้นอยู่ในเมืองหลวง หากมิใช่คนมั่งคั่งก็คงเป็นคนสูงศักดิ์ เป็นคู่ครองที่ดีคนหนึ่งจริงๆ
ฮูหยินอยู่ในชนบทแต่กลับได้รู้จักคนฐานะสูงศักดิ์ปานนั้น ก็อย่างที่ว่าวาสนาของคนเรา ผู้ใดจะล่วงรู้
“ฮูหยิน ที่นี่มีสายวัดหรือไม่เจ้าคะ”
“มี”
เฉียวเวยหยิบสายวัดหนังม้วนหนึ่งออกมาจากลิ้นชักตรงเตียงป๋าปู้
ชีเหนียงสอนเฉียวเวยวัดขนาด จากนั้นจึงสอนเฉียวเวยวาดโครงตัดผ้า
ตัดออกมาทีละชิ้นๆ เวลาไหลผ่านไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หญิงสาวสองนางคุยเล่นหัวเราะคิกคักอย่างเพลิดเพลินใจ แต่อากุ้ยผู้เดียวดายเฝ้าห้องหอไม่ได้อารมณ์ดีเช่นนั้น
เที่ยงคืนแล้วยังไม่กลับอีก มีอย่างที่ไหน…
วันต่อมาเมื่อเฉียวเวยไปนับสินค้าที่โรงงาน ก็รู้สึกว่าอากุ้ยมองตนเองด้วยแววตาอิจฉาริษยา…
กำลังผลิตของโรงงานในแต่ละวันสูงกว่าที่คาด เกลือ ชาดำ ด่างกินได้และปูนขาวจึงถูกใช้ไปประมาณหนึ่งแล้ว ของเหล่านี้ไม่เหมือนขี้เถ้ากับแกลบที่รวบรวมจากในหมู่บ้านได้ จำเป็นต้องไปซื้อหาในเมือง หลังจากสะสางงานได้ประมาณหนึ่ง เฉียวเวยก็เรียกรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อแล้วขนโถสำหรับใส่วัตถุดิบขึ้นไป
ตาเฒ่าซวนจื่อเห็นโถใบแล้วใบเล่านี่ก็ทราบว่าเฉียวเวยจะซื้อของมากมายอีกแล้ว เขาลอบถอนหายใจ สาวน้อยคนนี้ช่างหาเงินเก่งเสียจริง เวลาเพียงครึ่งปีก็สร้างเนื้อสร้างตัวได้อย่างน่าตกตะลึง
หลังจากขนโถใบสุดท้ายขึ้นไปเสร็จ เฉียวเวยก็ปัดมือ “เท่านี้แหละ”
“เสี่ยวเฉียว ตอนนี้เจ้าเป็นเศรษฐีแล้ว!” ตาเฒ่าซวนจื่อชูนิ้วโป้งให้
เฉียวเวยหัวเราะ “ดูท่านพูดเข้า หากข้าเป็นเศรษฐีจริงก็คงย้ายไปอยู่ในเมืองนานแล้ว ท่านว่าใช่หรือไม่เล่า ทำกิจการขนาดเล็กอาจดูเหมือนงานยุ่ง แต่ความจริงยุ่งเสียเปล่า ได้เงินมาไม่กี่อีแปะเท่านั้น”
ตาเฒ่าซวนจื่อเชื่อนางก็ประหลาดแล้ว แต่เขาไม่ใช่พวกคนขี้อิจฉา ผู้อื่นหาเงินได้ก็เพราะผู้อื่นมีความสามารถ เขาก็เพียงอิจฉาเล็กน้อยเท่านั้น
เฉียวเวยเตรียมตัวขึ้นรถ ตอนนี้เองชีเหนียงก็เดินเข้ามาบอกว่า “ฮูหยิน ท่านจะเข้าเมืองหรือเจ้าคะ ข้าตามท่านไปด้วยได้หรือไม่ ข้าอยากซื้อรองเท้าสองคู่ให้อากุ้ยกับจงเกอร์”
“ได้สิ” เฉียวเวยอนุญาตอย่างใจกว้าง แต่เดิมนางคิดจะเรียกอากุ้ยให้ไปเดินตลาดด้วย แต่ในเมื่อชีเหนียงอยากไป ถ้าเช่นนั้นก็พาชีเหนียงไปด้วยก็แล้วกัน “อากุ้ย เจ้าอยู่เฝ้าบ้านนะ”
อากุ้ย “…”
ทิ้งเขาอีกแล้ว สตรีสองนางนี้มีอะไรกันใช่หรือไม่!
“ชีเหนียง หน้าอกของเจ้าทรงสวยจริง” เฉียวเวยเอื้อมมือจับหมับ
กลางวันแสกๆ มาลวนลามผู้หญิงของข้า เจ้าคิดจะทำอะไร!
อากุ้ยแทบคลั่ง!
…
เมื่อเข้าเมืองย่อมต้องแวะไปหรงจี้สักรอบ
เถ้าแก่หรงเห็นเฉียวเวยที่หายหน้าไปสักหลายร้อยปีได้แล้ว ใบหน้าก็บูดบึ้งอัปลักษณ์
เฉียวเวยยกขากวางรมควันที่ตนทำเองขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ “อย่าโกรธน่า มาๆ ท่านลองกินขากวาง”
“เหอะ!” เถ้าแก่หรงไม่ใช่คนหลอกง่ายเช่นนั้น!
เฉียวเวยเท้าแขนเรียวไว้บนโต๊ะ ปลายนิ้วเคาะโต๊ะแผ่วเบา มืออีกข้างหนึ่งเท้าแก้ม มองเถ้าแก่หรงที่หน้าบูดจมูกเบี้ยวอย่างมีเลศนัย แล้วเลิกคิ้วเอ่ยว่า “ตอนแรกคุยกันไว้แล้วว่าข้าไม่จำเป็นต้องมาหรงจี้ทุกวัน ตอนนี้กิจการขายกุ้งก็เข้ารูปเข้ารอยแล้ว พวกพ่อครัวทั้งหลายรับผิดชอบงานทั้งหมดเองได้ ข้าจะมาหรือไม่มาต่างอันใดกันเล่า หรือท่านอาลัยอาวรณ์ข้า ไม่พบหน้ากันหนึ่งวันดั่งแยกจากสามปี”
เปรี้ยง!
หัวใจดวงน้อยๆ ของเถ้าแก่หรงถูกอสนีบาตฟาดเข้าอย่างจัง
สาเหตุที่เขาหงุดหงิดเสี่ยวเฉียวเป็นเพราะเรื่องนี้จริงหรือ เขาคิดถึงเสี่ยวเฉียวหรือ
สตรีนางนี้ข่มเหงรังแกเขาตั้งแต่วันจรดค่ำ เขาจะไปคิดถึงนางทำไม
แต่ภรรยาของเขาก็รังแกเขาตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เขาก็ยังรักภรรยาของเขานี่…
เป็นพวกเสพติดการถูกรังแกอย่างแท้จริง
เถ้าแก่หรงน้ำตานองหน้าอยู่ในใจ
เฉียวเวยตบหัวไหล่เขา “เอาล่ะ พี่สาวไปแล้ว วันหน้าค่อยมาพบเจ้า”
เถ้าแก่หรงกระทืบเท้า “ไปดูในห้องครัวก่อนค่อยไป!” กว่าจะมาได้สักหน ผู้ใดจะทราบว่าหนหน้าจะเป็นเมื่อใด หลังจากนี้ครึ่งเดือน? หนึ่งเดือน? หรือว่าครึ่งปี!
เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ได้สิ”
แต่เดิมก็คิดจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว
เฉียวเวยแวะไปห้องครัว เหยาชิงเลื่อนขั้นจากลูกศิษย์น้อยคอยล้างจานกับล้างผักกลายมาเป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่ช่วยพ่อครัวลงมือปรุงอาหารแล้ว เขาขยันขันแข็ง อดทนและเฉลียวฉลาด มือไม้ก็ว่องไวยิ่งนัก พ่อครัวทั้งหลายจึงชมเขาไม่ขาดปาก
“เถ้าแก่รอง” เหยาชิงทักทายอย่างกระตือรือร้น
“เป็นอย่างไรบ้าง คุ้นเคยหรือยัง” เฉียวเวยถามอย่างอ่อนโยน
เหยาชิงตอบอย่างเบิกบานใจ “ดีทีเดียว” เริ่มแรกอยากรีบๆ เรียนวิชาปรุงกุ้งแล้วก็ออก ตอนนี้ต่อให้ไล่เขา เขาก็ไม่อยากไป
เฉียวเวย ‘ตรวจตรา’ การทำงานในห้องครัวอยู่ครู่หนึ่ง พ่อครัวถูกแบ่งเป็นสองกะ พ่อครัวเหอไม่อยู่ แต่มีใบหน้าไม่คุ้นตาสองคนอยู่ เมื่อถามไถ่ดูจึงทราบว่าเป็นพ่อครัวที่ซื้อตัวมาจากเหลาสุราเย่ว์ไหล
เถ้าแก่หรงก็ไม่เลวนี่ รู้จักเอาคืนสาวใหญ่เจ้าเสน่ห์จากเย่ว์ไหลคนนั้นแล้ว
เฉียวเวยเห็นผู้อื่นทำเนื้อน้ำแดงก็คันมือ สั่งให้เหยาชิงหั่นเนื้อหมูสามชั้นอย่างดีออกมาสามเฉียน ต้มลงหม้อ แล้วตักออกมาเจี๋ยนกับน้ำมัน
เหยาชิงถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ชิ้นใหญ่เช่นนี้ ไม่หั่นก่อนค่อยทำหรือขอรับ รสจะไม่เข้าเนื้อเอากระมัง”
“จะหั่นเดี๋ยวนี้แหละ” เฉียวเวยวางหมูสามชั้นชิ้นโตลงบนเขียงแล้วหั่นเป็นแผ่น จากนั้นใช้เครื่องปรุงเช่นเต้าซี่ น้ำตาลกรวด อบเชย ต้นหอมกับฝักถั่วแห้งเป็นต้นผัดเป็นน้ำซอสใส่ไว้ในจาน จากนั้นวางเนื้อน้ำแดงไว้ด้านบน แล้วสั่งเหยาชิง “นึ่งสักหน่อย”
เหยาชิงวางจานไว้ในซึ้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉียวเวยก็เปิดซึ้ง กลิ่นหอมยั่วยวนคนลอยออกมาอย่างเชื่องช้าจนกลบกลิ่นหอมของกุ้งตุ๋นน้ำมันจนหมด
เฉียวเวยราดน้ำซอสที่ผัดเรียบร้อยแล้วลงไป หลังจากนั้นส่งตะเกียบคู่หนึ่งให้เหยาชิง “ชิมดู”
เหยาชิงชิมคำหนึ่ง เนื้อนุ่มแน่น ละลายในปาก รสเค็มชัดผสมรสหวานเล็กน้อย ฝักถั่วแห้งก็นุ่มเคี้ยวกรุบ “อร่อยมาก!”
เฉียวเวยก็รู้สึกว่าอร่อยมากจึงให้พ่อครัวทั้งหลายลองชิมด้วย จากนั้นก็แอบบอกว่าหากมีเหมยกานไช่จะอร่อยขึ้นอีก
เฉียวเวยทำออกมาไม่มาก พ่อครัวทั้งหลายกินกันคนละคำก็เกือบหมดแล้ว เมื่อเถ้าแก่หรงได้กลิ่นหอมวิ่งมาถึงก็เหลือเพียงฝักถั่วชิ้นเล็กกระจิ๋วชิ้นเดียว
ระหว่างที่เฉียวเวยทำอาหารอยู่ที่หรงจี้ ชีเหนียงก็ซื้อรองเท้าคู่ใหม่อยู่ที่ร้านผ้าตรงถนนข้างๆ
ร้านนั้นคือร้านผ้าที่เฉียวเวยไปบ่อยๆ ราคาสูงเล็กน้อย แต่ชนะที่คุณภาพดี เถ้าแก่เนี้ยก็จิตใจดี ไม่เหยียดหยามผู้คนด้วยอคติ
เถ้าแก่เนี้ยทราบว่านางมาด้วยกันกับมารดาของเด็กแฝดคู่นั้น จึงดูแลนางอย่างกระตือรือร้นอย่างยิ่ง “ฮูหยินท่านนั้นเป็นลูกค้าประจำของร้านข้า ของที่ใส่ตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนซื้อจากร้านข้าทั้งสิ้น ท่านลองดูถูกใจอะไรก็บอก ข้าจะลดราคาให้ท่าน”
“ข้าต้องการซื้อรองเท้า” ชีเหนียงบอก
เถ้าแก่เนี้ยพานางไปหน้าชั้นวางของ “สองสามชั้นนี้ล้วนเป็นรองเท้า ของเด็กของผู้ใหญ่อยู่ตรงนี้ทั้งหมด! ฮูหยินซื้อให้ตัวเอง หรือว่าซื้อให้สามีของท่าน”
ชีเหนียงเห็นว่ารองเท้าของตัวเองยังไม่พัง จึงคิดว่าซื้อให้อากุ้ยกับจงเกอร์ก็พอแล้ว “ซื้อให้สามีกับลูกชายของข้า คนละสองคู่”
เถ้าแก่เนี้ยไม่ประหลาดใจกับการที่ชีเหนียงมีลูกแล้ว ชีเหนียงรูปร่างดี หน้าตาสะสวย ผิวพรรณก็ขาวผ่อง แต่ไม่ได้หน้าตาดุจเด็กสาววัยสิบสี่สิบห้าเช่นเฉียวเวย นางมองดูแล้วเหมือนสตรีแต่งงานแล้วที่อ่อนโยนและวางตัวเหมาะสมนางหนึ่ง
เถ้าแก่เนี้ยคลี่ยิ้มถาม “มีขนาดมาหรือไม่”
“มี” ชีเหนียงแจ้งขนาดกับเถ้าก่เนี้ย
“สามีของท่านใส่ทำงานหรือใส่ออกไปนอกบ้าน” เถ้าแก่เนี้ยเห็นเสื้อผ้าของนางดูไม่เหมือนภรรยาของคนร่ำรวย จึงคิดว่าสามีที่บ้านคงต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ
ชีเหนียงจึงบอกว่า “คู่หนึ่งไว้ใส่ทำงาน คู่หนึ่งไว้ใส่ออกนอกบ้าน”
เถ้าแก่เนี้ยเลือกรองเท้าผ้าสีดำที่ทนทานมาคู่หนึ่งกับรองเท้าผ้าพื้นขาวลายใบไผ่ออกมาคู่หนึ่ง “ท่านดูสองคู่นี้เป็นอย่างไร”
ชีเหนียงชอบใจมาก จึงถามว่า “เท่าไรหรือ”
“คู่สีดำห้าสิบอีแปะ คู่สีขาวหนึ่งร้อยอีแปะ”
ชีเหนียงไม่เคยซื้อข้าวของข้างนอกมาก่กอน จึงไม่ทราบว่าราคานี้แพงหรือไม่ แต่ในมือตนเองมีเงินอยู่สี่ตำลึง เพียงแค่หนึ่งร้อยห้าสิบอีแปะเล็กน้อยจึงควักออกมาได้
เถ้าแก่เนี้ยเตรียมตัวถูกต่อรองราคาเอาไว้แล้ว ไหนเลยจะคิดว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่พร่ำพูดคำใดก็ควักเงินออกมา
เถ้าแก่เนี้ย “…”
ชีเหนียงซื้อให้จงเกอร์ด้วยสองคู่ รองเท้าของเด็กราคาถูก สองคู่ยังไม่ถึงหนึ่งร้อยอีแปะ
นางไหนเลยจะทราบว่าเวลาเฉียวเวยซื้อรองเท้า ต้อง ‘ซื้อสองแถมหนึ่ง’ ตลอด แต่ละครั้งต่อราคาจนเถ้าแก่เนี้ยอยากจะกระอักเลือด