หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก - ตอนที่ 128 จับได้คาหนังคาเขา
สองสามวันนี้โรงงานไม่ต้องเร่งทำสินค้า ถึงเวลาก็เลิกงาน แต่จนกระทั่งเลิกงานก็ยังไม่เห็นเฉียวเวยกลับมา
ปี้เอ๋อร์อดไม่ไหวถามขึ้นว่า “ชีเหยียง วันนี้ฮูหยินไม่กลับหรือ”
ชีเหนียงจึงตอบว่า “น่าจะใกล้กลับมาแล้ว นางเข้าไปในตัวเมือง ไม่ได้ไปเมืองหลวงเสียหน่อย”
“เช่นนั้นหรือ” ปี้เอ๋อร์วางอุปกรณ์ที่ใช้งานเสร็จกลับไปบนชั้นวางของ “ชีเหนียง วันนี้ข้า…ไม่พักที่นี่นะ”
ชีเหนียงกำลังใช้ผ้าเช็ดชั้นวางของอยู่ พอได้ยินก็หันกลับมา “เจ้าจะกลับไปดูแลมารดาเจ้าหรือ”
ปี้เอ๋อร์หลบสายตาของชีเหนียง ก้มลงไปกวาดพื้นจุดที่กวาดไปแล้วไม่รู้กี่รอบ “ใช่…ใช่แล้ว นางป่วยอยู่ เป็นลูกสาวไม่อยู่คอยดูแลข้างกายก็ฟังดูไม่เข้าท่าอยู่บ้าง”
ชีเหนียงเช็ดชั้นวางของต่อ “นั่นก็ถูก แต่ฟ้ามืดเช่นนี้แล้ว เจ้าจะไปทันหรือ ไปถึงประตูเมืองหลวงก็ปิดแล้วกระมัง”
“ไม่หรอกๆ หน้าร้อนประตูเมืองหลวงปิดดึก” ปี้เอ๋อร์ตอบอย่างมั่นใจ
ชีเหนียงไม่เคยไปตอนประตูเมืองหลวงใกล้ปิด จึงไม่ทราบเวลาปิดประตูเมืองแน่ชัด แต่ในเมื่อปี้เอ๋อร์บอกว่าไปทัน ถ้าเช่นนั้นก็น่าจะไม่ผิดพลาด ไม่เช่นนั้นก็ต้องเดินทางเสียเปล่าเที่ยวหนึ่งสิ
ปี้เอ๋อร์ไปไม่ทันประตูเมืองหลวงอยู่แล้ว แต่มีคนรอนางอยู่ที่ตัวเมือง นางเพียงส่งของถึงในตัวเมืองแล้วตกกลางคืนหาโรงเตี๊ยมสักแห่งพักก็พอ
ปี้เอ๋อร์เก็บไม่กวาด “ถ้าอย่างนั้น…ข้าไปแล้วนะ ชีเหนียง”
“ได้ เจ้าไปเถิด!” ชีเหนียงพยักหน้า
ปี้เอ๋อร์ก้มหน้าก้มตาเดินออกจากโรงงาน นางบังเอิญพบอากุ้ยที่กำลังล้างกะละมังไม้อยู่ตรงประตู นางกะพริบตาอย่างหวั่นใจ “พี่อากุ้ย”
“อืม” อากุ้ยขานรับเสียงขรึม
ปี้เอ๋อร์เดินเฉียดผ่านเขาไป
อากุ้ยมองแผ่นหลังของปี้เอ่อร์ค่อยๆ หายลับไปจากสายตา แล้วขมวดคิ้วเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
ชีเหนียงเช็ดชั้นวางของเสร็จก็หมุนตัวกลับมาซักผ้าในกะละมัง ทว่าเมื่อหันกลับมาเห็นอากุ้ยก็จับสังเกตสีหน้าบนใบหน้าเขาได้ จึงถามหยอกล้อ “เจ้าเป็นอะไร รังเกียจภรรยาแก่ๆ อย่างข้า ถูกตาต้องใจสาวน้อยเข้าแล้วหรือ”
อากุ้ยถลึงตาใส่ชีเหนียงทีหนึ่งแล้วถามว่า “นางไปที่ใด”
ชีเหนียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ “ไม่บอกเจ้าหรอก เจ้าจะได้วิ่งไปหาผู้อื่นไม่ได้”
อากุ้ยไม่เข้าใจการล้อเล่น ผู้อื่นพูดอะไรเขาก็ถือเป็นจริงเสียหมด เขาวางกะละมังไม้ลง แล้วอธิบายกับชีเหนียงอย่างจริงจัง “ข้าไม่ได้ถูกตาต้องใจนาง ข้าชอบเจ้า”
ชีเหนียงหัวเราะคำบอกรักที่ไม่มีความหวานซึ้งสักนิดของสามีตน แล้วไม่เสแสร้งพูดเหมือนหึงอีก “นางเป็นห่วงอาการป่วยของมารดาจึงจะกลับไปดูแลมารดาของนาง”
“นางอาศัยอยูในเมืองหลวงไม่ใช่หรือ ค่ำเช่นนี้ประตูเมืองปิดหมดแล้ว”
“นางบอกว่าหน้าร้อนประตูเมืองปิดดึก ไปทัน”
จะดีจะเลวอากุ้ยก็เกิดในตระกูลทหาร ต่อให้กลายเป็นบ่าวรับใช้แล้ว เขาก็ยังให้ความสนใจกับข่าวบางเรื่องอย่างยิ่งเช่นเดิม ตัวอย่างเช่นเวลาปิดประตูเมือง จากที่เขารู้มา มันไม่ได้เป็นดังนั้น หน้าร้อนปิดดึกขึ้นไม่ผิด แต่ก็ดึกขึ้นเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น จากที่นี่นั่งรถม้าไปในตัวเมือง จากตัวเมืองเดินทางไปถึงเมืองหลวง ไม่มีเวลาเกือบครึ่งวันนางไปถึงได้หรือไร
เดินทางเกือบครึ่งวัน ประตูเมืองก็ปิดนานแล้ว
“ชีเหนียง ข้าคิดว่าปี้เอ๋อร์ไม่ปกติ” อากุ้ยขมวดคิ้ว
ชีเหนียงหัวเราะ “เจ้าคิดอะไรหืม แม่นางน้อยดีๆ คนหนึ่ง ไม่ปกติที่ใดกัน มารดาของนางล้มป่วย ใจไม่อยู่ที่นี่ก็เข้าใจได้ เจ้าอย่าไปฟ้องฮูหยินส่งเดชเชียว เป็นแม่นางน้อยคนหนึ่งหาง่ายไม่”
อากุ้ยถลึงตาใส่ชีเหนียง “ข้าเป็นคนปากบอนหรือ เจ้าห่อของกินมากมายปานนั้นให้เสี่ยวเว่ยทุกครั้ง ข้าเคยพูดอะไรด้วยหรือ”
ชีเหนียงจึงว่า “เสี่ยวเว่ยมีบิดาชราแล้วยังมีลูกน้อย ในบ้านยังมีพี่สาวป่วยกระเสาะกระแสะอีกคน ชีวิตลำบาก พวกเราช่วยได้ก็ช่วยสักหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นอาหารที่ทำมาเกิน ไม่กินก็เสียเปล่า”
เรื่องนี้จะตำหนิชีเหนียงว่าเอาอาหารของเฉียวเวยมายกให้เสี่ยวเว่ยก็ไม่ได้ ความจริงก็คือเฉียวเวยประเมินความจุกระเพาะของพวกเขาสูงเกินไป นางจึงซื้ออาหารมาในปริมาณที่ทำให้พวกนายช่างเจิ้ง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำล่ำสันกลุ่มนั้นล้วนเป็นคนที่ทำงานใช้แรงงานย่อมกินจุเป็นธรรมดา แม้พวกเขาก็ทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำเหมือนกันแต่มิได้เหน็ดเหนื่อยมากเพียงนั้น
ดูจากเพียงจุดนี้ ชีเหนียงก็คิดว่าฮูหยินเป็นเจ้านายที่ดีคนหนึ่งจริงๆ
อากุ้ยเอ่ยขึ้นมาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง “ตอนเช้าปี้เอ๋อร์วิตกกังวล แต่ตอนบ่ายกลับสบายใจยิ่งนัก”
ชีเหนียงหัวเราะเขา “เจ้านี่นะ ชอบตัดสินคดีเช่นนี้ ไปเป็นตุลาการเสียเลยดีหรือไม่”
กล่าวจบ ชีเหนียงก็รู้สึกตัวว่าตนพูดผิดเข้าแล้ว อากุ้ยเป็นทาสต้องโทษ ชีวิตนี้มิอาจเป็นขุนนางได้อีกแล้ว “ข้าขอโทษ”
“ไม่เป็นไร ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”
“เอ๋ อากุ้ย! อากุ้ย!”
…
ปี้เอ๋อร์กลัวว่าจะพบเฉียวเวยที่กำลังเดินทางกลับมาจึงจงใจเลือกใช้ทางบนเขาอีกเส้นหนึ่ง ทางเส้นนี้นับว่าเดินสะดวกอยู่พอสมควร ราบเรียบและกว้างขวาง เพียงแต่ไม่มีผู้คนจึงดูน่ากลัว
ปี้เอ๋อร์เดินไปพลางก็สังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้านไปด้วย นางรู้สึกเหมือนตนเองถูกคนจับจ้องอยู่ ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาอย่างยิ่งตามมา
เพราะตอนยังเล็กเคยมีประสบการณ์ที่ไม่น่าอภิรมย์นัก ปี้เอ๋อร์จึงระแวงเสียงฝีเท้าที่ไม่รู้จักอย่างยิ่ง นางตั้งใจเร่งฝีเท้า คนด้านหลังก็เร่งฝีเท้าตาม นางผ่อนฝีเท้าลง คนผู้นั้นก็ผ่อนฝีเท้าลงด้วย
หัวใจของปี้เอ๋อร์ขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย นางเดินไปทางป่าต้นสน ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ทันเตรียมตัว หลบเข้าไปในป่า
คนผู้นั้นยังตามมาอยู่ เขาหยุดตรงจุดที่ปี้เอ๋อร์หายไปแล้วชะเง้อมองรอบด้าน
ปี้เอ๋อร์เก็บไม้มาท่อนหนึ่งแล้วย่องเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็หวดไม้ลงไป!
คนผู้นั้นจับไม้ไว้ “ข้าเอง!”
ปี้เอ๋อร์ตาค้าง “พี่อากุ้ยหรือ”
อากุ้ยแย่งไม้มาแล้วโยนทิ้งบนพื้น สายตาเย็นชามองไปยังปี้เอ่อร์ “เจ้าทำตัวลับๆ ล่อๆ คิดจะทำสิ่งใดกันแน่”
“ข้า…ข้า…ข้ากำลังกลับบ้าน” ปี้เอ๋อร์อึกอัก
อากุ้ยทำหน้าไม่เชื่อ “กลับบ้านต้องเดินทางนี้ด้วยหรือ”
“ทางนี้ใกล้กว่า” ปี้เอ๋อร์พยายามอธิบาย
“ถุงของเจ้าใส่สิ่งใดไว้” อากุ้ยถาม
ปี้เอ๋อร์ก้มหน้ามอง จึงพบว่าตนเองตื่นเต้นจนกำถุงพกไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว นางรีบปล่อยมือออกแล้วหัวเราะตอบว่า “ไม่มีอะไร มีเศษเงินนิดหน่อย”
“ให้ข้าดูหน่อย” อากุ้ยยื่นมือออกไปคว้า
ปี้เอ๋อร์หลบอย่างลนลาน
อากุ้ยเอ่ยเสียงเข้ม “สูตรทำไข่เยี่ยวม้าใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่!” ปี้เอ๋อร์ปฏิเสธโดยไม่หยุดคิด
“วันนี้เจ้าเข้าไปในห้องผสมวัตถุดิบใช่หรือไม่”
“เปล่านะ!”
“เจ้าเป็นคนขโมยกุญแจของชีเหนียง ใช้เสร็จก็โยนไว้บนกองฟืนในห้องผสมวัตถุดิบ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าไม่เคยให้ชีเหนียงเข้าใกล้เตา เพราะข้ากลัวนางถูกไฟลวก”
ปี้เอ๋อร์อ้าปากค้าง
อากุ้ยเดินเข้ามาหานางทีละก้าว นางก็ถอยหลังทีละก้าว
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสูตรนั่นมีค่าเท่าไร หนึ่งพันตำลึง หนึ่งหมื่นตำลึง หรือาจจะหนึ่งแสนตำลึง”
ปี้เอ๋อร์บื้อใบ้
อากุ้ยเอ่ยแต่ละคำด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสูตรนั่นมีค่าเท่ากับกี่ชีวิต ข้ากับชีเหนียงเป็นทาสต้องโทษที่ทำสัญญาขายชีวิตเอาไว้ พวกเราเป็นคนเก็บรักษาสูตร เมื่อสูตรถูกแพร่งพราย พวกเราย่อมเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ต่อให้ฮูหยินตีพวกเราจนตาย พวกเราก็ไปเรียกร้องความยุติธรรมที่ใดไม่ได้!”
“ไม่…ไม่ใช่นะ พี่อากุ้ย...”
“ส่งมาให้ข้า” อากุ้ยยื่นมือออกมา
ปี้เอ๋อร์กำถุงเงินแน่น นางยังอยากถอยหลังต่อแต่ติดต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว
อากุ้ยกระชากถุงที่ผูกอยู่ตรงเอวของนางออกมาเท ด้านในมีกระดาษที่พับอยู่ใบหนึ่งจริงๆ เขาเปิดออกดู แววตาชะงักนิ่ง “นี่มัน…”
เขายังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ตาข่ายขนาดใหญ่อันหนึ่งก็รวบขึ้นมาจากบนพื้น รวบตัวทั้งคู่ไว้แล้วดึงขึ้นไปแขวนไว้กลางอากาศ
“ฮ่าๆ เขาวายุทมิฬไม่มีแกะอ้วนผ่านทางมานานแล้ว วันนี้กลับเจอถึงสองตัว!” หัวหน้าค่ายหัวเราะฮ่าๆ เดินออกมาจากหลังต้นไม้ เอ่ยกับเจินเวยเหมิ่งที่จับเชือกอยู่ “มัดเชือกให้ดีเล่า”
เจินเวยเหมิ่งมัดเชือกไว้กับต้นไม้
โจรสิบกว่าเกือบยี่สิบคนเหมือนโผล่ออกมาจากดิน ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง เดินมาถึงใต้กับดัก มองเหยื่อที่ถูกขังอยู่ในตาข่าย สองตาวาววับ
พวกเขาไม่ได้เปิดกิจการมานานมากจนตนเองจำไม่ได้แล้ว แต่ละวันอาศัยเสบียงน้อยนิดจากก่อนหน้านี้กับอาหารที่เสี่ยวเว่ยนำกลับมาจากบ้านคนรวยหลังนั้นประทังชีวิต ความจริงการไม่มีเงินไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือแม้แต่ความองอาจห้าวหาญของพวกเขาก็ไม่เหลือแล้ว
พวกเขารู้สึกว่าตนไม่ต่างอะไรกับคนจนไม่เอาไหนพวกนั้น แต่พวกเขาคือโจรรุ่นที่สิบเอ็ดแห่งค่ายวายุทมิฬเชียวนะ!
พวกเขาคือโจรที่มีอุดมการณ์ยิ่งใหญ่ พวกเขาเคยสาบานว่าจะเผยแพร่จิตวิญญาณของโจรให้กว้างไกล
กล่าวกันว่าอาชีพสามร้อยหกสิบห้าสาขา แต่ละสาขาล้วนมียอดฝีมือ พวกเขาจะเป็นอันดับหนึ่งแห่งวงการโจร ชื่อเสียงดีงามเล่าลือร้อยปี ชื่อเสียงเหม็นโฉ่เล่าต่อหมื่นปี!
“หัวหน้าค่าย ดูเหมือนพวกเขาจะจนมาก” เจินเวยเหมิ่งว่าอย่างรังเกียจ
หัวหน้าค่ายเก็บสูตรที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา “ไม่ได้ยินเจ้าหนุ่มคนนั้นพูดหรือ สูตรนี่มีค่าแสนตำลึง พวกเราเอามันไปขายในเมือง รับประกันว่าต้องขายได้ราคาสูงแน่”
เจินเวยเหมิ่งนึกอะไรขึ้นได้จึงเบิกตาโต “หัวหน้าค่าย พวกเขาคือคนบนภูขาลูกนั้น!” เขามักจะนั่งเย็บปะเสื้อผ้าอยู่ที่หน้าประตู ยามพักก็มักจะมองไปทางนั้น แม้มองเห็นหน้าตาไม่ชัด แต่จดจำรูปร่างกับเสื้อผ้าได้ดีอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นหรือ” ลูกกระเดือกของหัวหน้าค่ายโจรขยับขึ้นลง
โจรสิบกว่าเกือบยี่สิบคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียง
“เช่นนั้นหรือออ” หัวหน้าค่ายหน้าดำทะมึน ลากท้ายเสียงยาว
โจรสิบกว่าคนเกือบยี่สิบคนส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง
หัวหน้าค่ายคลี่ยิ้ม “พวกเขาไม่ใช่หรอก”
ทุกคน “…”
เจินเวยเหมิ่งกระซิบเสียงเบา “พวกเราขโมยสูตรของผู้อื่นไปขาย ผู้อื่นจะมาเอาเรื่องพวกเราถึงที่หรือไม่”
หัวหน้าค่ายตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “สังหารพวกเขาเสียก็ไม่มีผู้ใดรู้แล้วมิใช่หรือ”
เจินเวยเหมิ่งยิ้มอย่างนับถือในพริบตา “หัวหน้าค่ายฉลาดนัก!”
อากุ้ยขวัญผวา เขาจะไม่ยอมตายในสถานที่เช่นนี้ ชีเหนียงยังรอเขาอยู่ที่บ้าน เขาต้องกลับไป “ท่านหัวหน้าค่าย ท่านรอก่อน สูตรแผ่นนี้มีปัญหา ถึงอย่างไรหากพวกท่านเอาสูตรไป ข้าก็คงไม่รอด ขอเพียงพวกท่านรับปากว่าจะช่วยข้ากับภรรยาข้าไถ่ตัวเป็นอิสระ ข้าจะบอกสูตรที่แท้จริงให้แก่พวกท่าน”
“หัวหน้าค่าย! ข้ากลับมาแล้ว! วันนี้เปิดกิจการใช่หรือไม่” ไม่ไกลนัก เสี่ยวเว่ยหิ้วเนื้อน้ำแดงสองห่อยิ้มร่าวิ่งเข้ามาหา
หัวหน้าค่ายยิ้มจนมองไม่เห็นดวงตา “ใช่แล้ว! เสี่ยวเว่ย หัวหน้าค่ายของเจ้าจับแกะอ้วนได้สองตัว! สูตรของพวกเขาขายได้แสนตำลึง! พวกเราจะรวยแล้ว!”
เสี่ยวเว่ยกระโดดโลดเต้นวิ่งเข้ามา จากนั้นก็หยุดยืน แหงนหน้าขึ้นจนมองเห็นชัด
“เฮ้ยยย”
“เฮ้ยยย”
“เฮ้ยยย”
ทั้งสามคนร้องออกมาพร้อมกัน
“เสี่ยวเว่ย เจ้าเป็นโจร!” ปี้เอ๋อร์เบิกตาโต
เสี่ยวเว่ยเบิกตาโตกลับ “พวกเจ้าสองคนขโมยสูตรไปขาย!”
สถานการณ์นี้ช่างน่ากระอักกระอ่วนยิ่งนัก
…
ดวงจันทร์ทอแสงสว่าง แสงดาวริบหรี่ สายลมเย็นพัดมาเป็นระยะ
คนสามคนนั่งอยู่ใต้ต้นหรงอายุร้อยปีต้นหนึ่ง คนหนึ่งมองฟ้า สองคนมองฟ้า สามคนก็ยังมองฟ้า
“อะแฮ่ม” เสี่ยวเว่ยกระแอม
อากุ้ยหัวเราะหยัน “ที่บ้านมีบิดาชรา?”
หัวหน้าค่าย
“แล้วยังมีลูกน้อย?”
งูไผ่เขียว
“กับพี่สาวป่วยกระเสาะกระแสะ?”
เจินเวยเหมิ่ง
เสี่ยวเว่ยตอบในใจทีละคำ
“ข้าไม่ได้ขโมยสูตร” ปี้เอ๋อร์ตอบ “สูตรนั่นเป็นของปลอม”
“ข้าก็ไม่ได้เป็นโจร” เสี่ยวเว่ยเอ่ยบ้าง “ข้าถูกจับมา!”
“ข้าก็ไม่เคยคิดไถ่ตัวเหมือนกัน” อากุ้ยบอกบ้าง “สิ่งที่พูดกับโจรพวกนั้นวันนี้ล้วนเป็นอุบายเฉพาะหน้า”
เสี่ยวเว่ยกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง “ในเมื่อทุกคนล้วนภักดีต่อฮูหยิน ถ้าเช่นนั้นเรื่องในวันนี้ก็เป็นการเข้าใจผิด ข้าจะไม่พูด”
ปี้เอ๋อร์พยักหน้า “ข้าก็ไม่พูด”
อากุ้ยเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ทุกคนรุ่งเรืองก็รุ่งเรืองด้วยกัน ล่มจมก็ล่มจมด้วยกัน เรื่องในวันนี้หากปูดออกไปล้วนไม่ดีต่อผู้ใดทั้งสิ้น หากตายก็ตายกันถ้วนหน้า ไม่มีผู้ใดได้มีชีวิตอยู่ดี หากมีผู้ใดคิดอยากเผยความลับก็ลองคิดถึงวิธีการจัดการผู้อื่นของฮูหยินดู นึกดูว่าติงเสี่ยวอิงมีจุดจบเช่นไรก็คงรู้แล้วว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด”
เสี่ยวเว่ยกับปี้เอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงจัง “พี่อากุ้ยท่านวางใจ พวกเราจะไม่พูดสักคำ!”
ทั้งสามคนบรรลุข้อตกลง ต่างคนต่างก็กลับขึ้นเขา
เฉียวเวยกลับมาจากตัวเมืองก็กินข้าว จากนั้นเข้าไปในห้องดูเจ้าตัวน้อยทั้งสองเล่นกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว
ทันใดนั้นศีรษะคนศีรษะหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากใต้หน้าต่าง “ฮูหยิน!”
เฉียวเวยตกใจสะดุ้งโหยง สาดน้ำชาทั้งถ้วยใส่!
เสี่ยวเว่ยถูกสาดเข้าเต็มหน้า พ่นใบชาออกมาจากปาก “ฮูหยิน ข้าเอง”
เฉียวเวยลูบหน้าอก มองเขาอย่างประหลาดใจ “เจ้าทำอะไร ดึกดื่นเที่ยงคืนไม่หลับไม่นอน ปีนหน้าต่างบ้านข้า อยากตายใช่หรือไม่”
เสี่ยวเว่ยมองรอบๆ แล้วเกาะขอบหน้าต่าง กระซิบว่า “ฮูหยิน ข้ามีความลับสำคัญจะบอกท่าน”
เฉียวเวยหันไปมองเด็กน่ารักตัวกระจ้อยที่ตีลังกาอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง “ความลับอันใด”
เสี่ยวเว่ยชะงักครู่หนึ่งแล้วว่า “ฮูหยินต้องรับปากก่อนว่าจะไม่บอกผู้อื่นว่าข้าเป็นคนแพร่งพรายความลับ”
เฉียวเวยยิ้มบางพลางพยักหน้า “ได้ ข้ารับปากเจ้า”
เสี่ยวเว่ยจึงบอกอย่างวางใจ “อากุ้ยมีปัญหา”
“เขามีปัญหาตรงไหนเล่า” เฉียวเวยถาม
เสี่ยวเว่ยกดเสียงเบาลง “เขาไม่ได้ทำงานให้ท่านอย่างจริงใจ เขาอยากเก็บเงินเพื่อไถ่ตัวเป็นอิสระ ท่านระวังสูตรของตนเอาไว้ อย่าให้เขาไถ่ตัว เขาจะเอาสูตรไปด้วย”
เขาขบคิดเรื่องในวันนี้แล้ว อากุ้ยมีปัญหาจริงๆ อากุ้ยเกิดเป็นนายท่านตระกูลขุนนาง จะยินยอมพร้อมใจเป็นทาสให้ผู้อื่นไปทั้งชีวิตได้เช่นไรเล่า แล้วฮูหยินก็ยังเคยจัดการหลานสาวของอากุ้ยด้วย ในใจอากุ้ยคงคิดแค้น เพียงแต่ปากไม่พูดออกมาเท่านั้น
ส่วนปี้เอ๋อร์ เขาเชื่อนาง แม่นางผู้อ่อนโยนเช่นนั้น ไหนเลยจะทำเรื่องอย่างการขโมยสูตรได้ นางคงเหมือนตัวเขา มีความลำบากใจที่ทำให้เลือกไม่ได้อย่างแน่นอน
ปังๆ!
ประตูถูกเคาะเสียงดัง
เฉียวเวยทำมือส่งสัญญาณให้เสี่ยวเว่ย เสี่ยวเว่ยย่อตัวกลับไปใต้หน้าต่าง
เฉียวเวยถามทางประตู “ผู้ใด”
“ข้าเอง ฮูหยิน”
เสียงของปี้เอ๋อร์
เฉียวเวยมองไปทางเตียงป๋าปู้ เด็กทั้งสองคนตีลังกาเล่นกันอยู่ไม่สนใจเสียงทางด้านนี้แม้แต่น้อย เฉียวเวยจึงเอ่ยว่า “เข้ามาเถิด ประตูเปิดอยู่”
“เจ้าค่ะ” ปี้เอ๋อร์เปิดประตูเข้ามา
เฉียวเวยมองนางแล้วถามอย่างฉงน “เจ้าไม่ได้กลับบ้านไปเยี่ยมบุพการีหรือ”
ปี้เอ๋อร์หลุบตาลง “มีบางเรื่องทำให้เสียเวลา วันพรุ่งนี้ค่อยกลับเจ้าค่ะ”
“ดึกป่านนี้แล้ว มาหาข้ามีเรื่องอะไร”
ปี้เอ๋อร์ลังเล แล้วสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง “ข้ามีความลับสำคัญต้องบอกฮูหยิน แต่ขอฮูหยินอย่าบอกว่าข้าเป็นคนพูด”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อ้อ เจ้าก็มีความลับเหมือนกันหรือ” นางคลี่ยิ้ม หยิบเมล็ดแตงเมล็ดหนึ่งขึ้นมา แล้วเอ่ยอย่างเฉื่อยชา “ไหนว่ามาฟังซิ เจ้าคงจะไม่ได้บอกว่า…อากุ้ยน่าสงสัยเหมือนกันหรอกกระมัง”
ปี้เอ๋อร์ไม่ทันสังเกตคำว่า ‘เหมือนกัน’ คำนั้น เพียงบอกว่า “ไม่ใช่พี่อากุ้ย เสี่ยวเว่ยเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเว่ยเบิกตาโต อะไรนะ!
ปี้เอ๋อร์จ้องเขม็งไม่หลบตา “เสี่ยวเว่ยความเป็นมาไม่ชัดเจน บ่าวเห็นกับตาตนเองว่าเขาอยู่กับกลุ่มคนท่าทางชั่วช้าเลวทรามกลุ่มหนึ่ง บ่าวสงสัยว่าเขาแฝงตัวมาอยู่ข้างกายฮูหยินด้วยมีจุดประสงค์อื่น หวังว่าวันหน้าฮูหยินจะระวังเขาให้มากสักหน่อย”
เสี่ยวเว่ยนึกอยากจะบีบคอปี้เอ๋อร์ให้ตาย บัดซบ ข้าเชื่อใจเจ้าปานนี้ เจ้ากลับแว้งกลับมากัดข้าเช่นนี้หรือ มโนธรรมของเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วสินะ!
ละครเรื่องนี้สนุกขึ้นทุกทีแล้ว นางไม่อยู่เพียงครึ่งวัน ในโรงงานเหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นไม่น้อย
“ฮูหยิน ฮูหยิน!”
นอกประตูมีเสียงดังขึ้นอีกหน แต่เสียงเบายิ่งนักเหมือนตั้งใจแอบซ่อน
ปี้เอ๋อร์ย่อมไม่อยากให้คนทราบว่านางมาหาฮูหยินตอนกลางดึก หากรู้ไปถึงหูเสี่ยวเว่ย เสี่ยวเว่ยต้องเดาได้แน่ว่านางมาบอกความลับแล้ว
นางมองเฉียวเวยอย่างตระหนกลนลาน เฉียวเวยผายมือ เหมือนบอกว่าอยากจะช่วยแต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร
ปี้เอ๋อร์เห็นหน้าต่างเปิดกว้างอยู่ ก็เกิดปฏิภาณไหวพริบ เหยียบเก้าอี้ปีนข้ามไป
หลังจากนั้นนางก็เห็นเสี่ยวเว่ยที่อยู่ใต้หน้าต่าง เสี่ยวเว่ยก็เห็นนางเช่นกัน
ทั้งสองคน “…”
เฉียวเวยแทะเมล็ดแตง เอ่ยตอบอย่างเกียจคร้าน “เอาล่ะๆ ไม่ต้องเรียกแล้ว เข้ามาเถอะ ข้ายังไม่นอน สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยมาก”
อากุ้ยก้มหน้าเดินเข้ามาในห้อง
เฉียวเวยมองเขาอย่างขบขัน “ดึกดื่นป่านนี้มาหาข้า มีความลับสำคัญอะไรจะบอกข้าใช่หรือไม่”
อากุ้ยตกตะลึง “ฮูหยินรู้ได้อย่างไร”
เฉียวเวยถ่มเปลือกเมล็ดแตงออกมา จิบน้ำชาใสเย็นฉ่ำคำหนึ่งเสร็จก็ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “บังเอิญข้าคาดเดาได้ดั่งเทพ ในเมื่อเป็นความลับ คงต้องการให้ข้าเก็บเรื่องให้เงียบสนิทแทนเจ้าด้วยสินะ”
“ขอรับ” อากุ้ยขานรับ จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยถูกต้องอย่างไม่รู้สาเหตุ!
เฉียวเวยกดมุมปากที่ยกโค้งลงไป “ว่ามาสิ เรื่องอะไร มีผู้ใดไม่ภักดีต่อข้าใช่หรือไม่”
อากุ้ยถอนหายใจ “ปี้เอ๋อร์”
ปี้เอ๋อร์คิดในใจ พี่อากุ้ย ข้าเชื่อใจท่านเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงสงสัยข้าเล่า!
เสี่ยวเว่ยยิ้มอย่างลำพอง ฮ่าๆ ฟ้องข้า ฟ้องสิ เจ้าเชื่อใจผู้อื่น ผู้อื่นกลับไม่เชื่อใจเจ้าสักนิด
“เสี่ยวเว่ยก็มีปัญหาเหมือนกัน”
รอยยิ้มของเสี่ยวเว่ยแข็งค้าง
บัดซบ!
พวกข้าฟ้องเพียงคนเดียว แต่เจ้าตัวบัดซบกลับฟ้องทั้งสองคน!
น่าชังยิ่งนัก!